ลีแทจินพาบิดากลับมายังอพาร์ตเม้นท์ กะว่าให้พักจนสร่างเมาก่อนแล้วค่อยพากลับไปส่งบ้านทีหลัง
เขามองชายวัยกลางคนที่นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วก็ถอนหายใจ ไม่รู้ทำไมพอเห็นสภาพของลีซางมินแล้วเหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับขึ้นมารางๆ
ตอนเขาเมาก็คงจะมีสภาพไม่จืดอย่างนี้เหมือนกันสินะ
“พ่อนะพ่อ เมื่อไหร่จะเลิกทำตัวอย่างนี้สักทีนะ”
เขาบ่นพึมพำไปตามเรื่อง คนเมาส่งเสียงอ้อแอ้ราวกับว่ารับรู้คำบ่นของลูกชาย
“ไอ้ลูกไม่รักดี! แกมันทำวงศ์ตระกูลอับอาย เลี้ยงเสียข้าวสุก!...งืมๆๆ”
“เหมือนพ่อนั่นแหละ”
ลีแทจินหัวเราะเบาๆ เขาโกรธบิดาไม่ลงเลยจริงๆ ถึงแม้ว่าลีซางมินจะไม่ใช่พ่อที่มีความประพฤติดีนักหรือเป็นต้นแบบที่ดีสำหรับลูกไม่ได้ แต่ตั้งแต่ที่มารดาของลีแทจินจากโลกนี้ไปตั้งแต่เขาอายุเพียงสิบขวบ ลีซางมินก็อดทนกัดฟันเลี้ยงดูลูกชายมาด้วยตัวเองตลอดโดยการรับจ้างเป็นพนักงานขับรถส่งสินค้าของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง แม้ว่าในตอนนี้ลีแทจินจะเป็นนักร้องดังและเขาก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ทว่าลีซางมินก็ยังตั้งหน้าตั้งตาทำอาชีพเดิม ไม่ยอมอยู่เฉยๆ ตามคำขอร้องของบุตรชายที่ตั้งใจจะเลี้ยงดูเขาให้สุขสบาย ซ้ำยังไม่ยอมมาอยู่ด้วยโดยอ้างเหตุผลว่าเขาไม่ชินกับการอยู่ในบ้านหลังเดิมแคบๆ ที่เคยอาศัยกับภรรยาที่จากไปมากกว่า
“เอาล่ะ เสร็จสิ้นเรื่องของพ่อนายแล้ว เราก็มาคุยเรื่องของนายกัน”
ยืนมองบิดาได้เพียงอึดใจเดียว เสียงของผู้จัดการใหม่ที่คอยกำกับบทให้เขาทำโน่นทำนี่ตั้งแต่เจอหน้ากันวินาทีแรกก็ดังแทรกขึ้นมา ลีแทจินหันไปมองด้วยสายตารำคาญ
“ทำไมนายยังไม่ไสหัวไปอีก”
“ก็บอกแล้วไงว่าต้องคุยเรื่องของนาย ฟังภาษาเกาหลีไม่ออกหรือไง”
เป็นครั้งแรกที่ลีแทจินถูกชาวต่างชาติต่อว่าอย่างนี้
“คุยเรื่องอะไร”
“เรื่องแถลงข่าวพรุ่งนี้ แล้วก็ทำความรู้จักเพื่อการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น” นัชฌานว่า ก่อนเขาจะเดินไปนั่งบนโซฟาตัวเล็กอีกตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามบิดาของลีแทจินและพูดสั้นๆ “นั่งสิ”
“จะให้นั่งตรงไหนไม่ทราบ” ลีแทจินถามเสียงขุ่น ห้องนั่งเล่นของเขามีโซฟาแค่สองตัวเท่านั้น ตัวแรกคือโซฟายาวที่ตอนนี้มีร่างเมาแอ๋ของลีซางมินนอนอยู่ ส่วนอีกตัวคือโซฟาตัวเล็กที่นัชฌานเข้าไปครอบครองเมื่อกี้นี้
“อยากนั่งตรงไหนก็นั่ง พื้นมีที่ว่างเหลือเยอะแยะ”
“ว่าไงนะ!” คำตอบของคนตัวเล็กเมื่อครู่ทำเอาลีแทจินชักสีหน้า
“ไม่อยากนั่งก็ตามใจ ยืนตามสบาย” นัชฌานว่าเสียงเรียบพลันยกขาข้างหนึ่งขึ้นมานั่งไขว่ห้างพลางยักคิ้วให้ข้างหนึ่งราวกับท้าทาย
ลีแทจินถอนหายใจแรงๆ พลันกอดอก “มีอะไรก็ว่ามา”
เขาพยายามเก็บอารมณ์ที่เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้งให้ดูเป็นปกติที่สุด เลือกที่จะไม่โวยวาย แต่มองนัชฌานด้วยสายตาหวาดระแวงแทนด้วยเกรงว่าคนตรงหน้าจะงัดลูกไม้อะไรมามัดมือชกเขาโดยไม่ทันระวังตัวอีก ทั้งที่ในใจอยากจะเข้าไปลากคนตรงหน้าออกไปนอกห้องให้รู้แล้วรู้รอด!
“ตารางงานของนายวันนี้ที่ผู้จัดการควอนรับไว้ให้ครั้งก่อนถูกยกเลิกชั่วคราวเพราะนายไปก่อเรื่องไว้ ท่านประธานคิมจะให้นายแถลงข่าวพรุ่งนี้และฉันมีหน้าที่ซ้อมให้นายตอบคำถาม จะได้ไม่ทำพังเหมือนครั้งก่อน”
สมองของนักร้องหนุ่มประมวลผลไปยังการแถลงข่าวครั้งล่าสุดของตัวเองทันทีก่อนจะร้องอ๋อ เพราะจำได้ว่าในการแถลงข่าวครั้งที่แล้วนั้น เขาทำร้ายนักข่าวรายหนึ่งไปอย่างลืมตัวเพราะนักข่าวคนนั้นดันถามจี้จุด กวนประสาทเขาเข้าอย่างจัง สุดท้ายการแถลงข่าวก็ล้มไม่เป็นท่า แถมชื่อเสียงของเขาก็ถูกประโคมข่าวไปในทางลบยิ่งกว่าเดิมจนถึงขั้นถูกสำนักข่าวบันเทิงต่างๆ แบน ยังดีที่เขามีกลุ่มแฟนคลับค่อนข้างใหญ่และเหนียวแน่น ทำให้เขายังไม่หลุดออกจากวงการบันเทิงอย่างที่ควรจะเป็น
หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ลีแทจินสำนึกเลยสักนิด พลันตอบกลับอย่างถือดี
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าพวกนักข่าวหน้าโง่นั่นจะพูดถึงฉันยังไง”
“แต่ท่านประธานคิมสนเพราะเขาลงทุนกับนายไปเยอะ”
พอได้ยินอย่างนั้น ลีแทจินก็เบ้หน้า ก็แน่สิ ประธานคิมต้องสนอยู่แล้วเพราะนอกจากจะลงทุนมหาศาลกับเขาแล้ว ตลอดช่วงเวลาหลายปีนี้ก็ยังได้ผลประโยชน์มากมายจากเขาเช่นกัน ป่านนี้คงจะได้ทุนคืนหลายเท่าตัวแล้วล่ะมั้ง
“ช่างหัวประธานคิมสิ ฉันจะตอบแบบที่ฉันอยากจะตอบ นายจะทำไม”
หัวคิ้วเรียวของนัชฌานกระตุกเล็กๆ ด้วยเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง เขาคิดว่าเขาเป็นคนใจเย็นแล้วนะ เจอกับดารานักร้องไม่เอาอ่าวก็มามาก แต่พอได้มาเจอกับลีแทจินเข้าก็ถึงกับต้องยอมรับในใจเลยว่าหมอนี่ขึ้นชื่อลือชาในความร้ายอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นฉันคงจะต้องจัดการกับพ่อนายให้อยู่ในที่ที่สมควรอยู่ซะมั้ง อย่าลืมนะว่าพ่อนายโดนทัณฑ์บน ต้องไปรายงานตัวตลอดเป็นเวลาหกเดือนในข้อหาเมาแล้วขับ” นัชฌานแกล้งหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
ลีแทจินหน้าเสีย รู้ทันทีว่านัชฌานกำลังขู่เขาด้วยออดิโอบันทึกเสียงเขาที่ดันไปตกลงรับปากข้อสัญญาพล่อยๆ เอาไว้ เขาเผลอกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมาตามกล้ามแขน
“เป็นอันว่าคำสั่งของฉันถือเป็นที่สิ้นสุด”
“โธ่เว้ย!”
พอนัชฌานสรุป ลีแทจินก็ได้แต่ตีอกชกลมไปตามเรื่องจนหยุดไปเอง นัชฌานยิ้มเผล่ ดีจริงๆ ที่เขาวางแผนดักจับลีแทจินไว้ทุกทางตั้งแต่ทีแรก ไม่อย่างนั้นคงจะควบคุมยากเอาการเพราะดูจากรูปการแล้ว ลีแทจินก็ดื้อด้านพอตัว
แต่ดื้อด้านหรือจะสู้เจ้าเล่ห์ได้?
“ทีนี้ก็ได้เวลามาคุยเรื่องของเราแล้ว อย่างที่บอกไป งานแถลงข่าวพรุ่งนี้ ฉันจะต้องซักซ้อมให้นายตอบคำถามเพื่อไม่ให้งานล่มตามคำสั่งของท่านประธานคิม แต่เรื่องนั้นเราเอาไว้ทีหลังก็ได้ ตอนนี้ฉันอยากให้นายกับฉันรู้จักกันให้มากขึ้นก่อน” นัชฌานปรายตามองคนตัวใหญ่ที่เหนื่อยจนสุดท้ายก็ยอมทรุดตัวนั่งบนพื้นตามที่เขาสั่งแต่ทีแรก
“จะต้องรู้จักอะไรอีก แค่นี้ยังรู้จักไม่พอหรือไงฮะคุณผู้จัดการนัชฌาน!” ลีแทจินว่าเสียงดัง สีหน้าฉุนเฉียวได้ที่
“นายต้องรู้จักด้วยว่าฉันเป็นคนยังไง มาเป็นผู้จัดการให้นายเพื่ออะไร ถึงจะทำงานด้วยกันได้”
“แล้วไม่คิดจะทำความรู้จักฉันบ้างเหรอว่าฉันเป็นคนยังไง”
“สำหรับนายคงไม่ต้องเพราะฉันรู้จักนายดี”
ลีแทจินอดหมั่นไส้ไม่ได้พอได้ยินนัชฌานว่ามาอย่างนั้น แต่คนพูดไม่ได้สนใจนัก เพียงแค่หรี่ตามองเล็กน้อย
“โอเค เริ่มจากการแนะนำตัวเองอีกครั้ง ฉันชื่อนัชฌาน เป็นคนไทย อายุสากลคือยี่สิบสี่ อายุเกาหลีคือยี่สิบห้า จบคณะนิเทศศาสตร์จากมหา’ลัยโซล ทำงานเป็นผู้จัดการดารามาประมาณสองปี ยินดีที่ได้ร่วมงานกับนาย”
คนฟังส่งเสียงอืมตอบรับเท่านั้น วางท่าเหมือนไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่นัชฌานพูดสักเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วสองหูของเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน อดตะลึงไม่น้อยที่นอกจากนัชฌานจะจบจากมหาวิทยาลัยที่ถือว่าเป็นที่หนึ่งของเกาหลีใต้แล้ว ยังก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนักร้องดังอย่างเขาทั้งๆ ที่มีประสบการณ์การทำงานเพียงแค่สองปี แถมยังเป็นชาวต่างชาติซึ่งในวงการบันเทิงของที่นี่ พวกชาวต่างชาติไม่ค่อยมีโอกาสได้แจ้งเกิดในวงการนี้สักเท่าไหร่ถ้าไม่ได้เป็นศิลปินหรือมีความสามารถพิเศษชนิดที่ใครก็ทำตามไม่ได้ ลำพังแค่คนชาติเดียวกันก็แข่งขันกันสูงจะแย่ แสดงว่านัชฌานคงจะมีฝีมือไม่น้อยทีเดียว
“ประวัติดีนี่” ลีแทจินเชิดจมูกขึ้นว่า “แล้วที่บอกว่ารู้ประวัติฉัน ไหนลองบอกมาซิว่ารู้ดีแค่ไหน”
คำพูดดุจท้าทายทำให้นัชฌานถอนหายใจสั้นๆ ก่อนจะร่ายยาวออกมา
“นายชื่อลีแทจิน มีชื่อในวงการว่าไลเกอร์ อายุยี่สิบสองปี ถ้านับแบบเกาหลีก็ยี่สิบสาม แม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก พ่อขี้เหล้า มาออดิชั่นเป็นศิลปินเพราะอยากได้เงินเยอะๆ หลังจากถูกพ่อไล่ตะเพิดออกจากบ้านตอนอายุสิบแปด โทษฐานไปตีกับเด็กโรงเรียนอื่นจนตำรวจมาตามถึงบ้าน เดบิวต์ในนามสมาชิกวง Animalz ตำแหน่งแร็ปเปอร์ เมื่อห้าปีที่แล้ว ออกจากวงเพราะไปต่อยกับเพื่อนร่วมวงจนฝ่ายนั้นดั้งหักเพราะล้อว่านายถูกหักอกกลางรายการทีวี ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วยเพราะนิสัยอวดดี อันธพาล บ้าอำนาจ ไร้สมอง แต่โชคดีดังเป็นพลุแตกด้วยลุคแบดบอยถูกใจแฟนเกิร์ลเลยยังเสนอหน้าอยู่ในวงการได้ ล่าสุดต่อยหน้าผู้จัดการควอนจนเขาต้องขอลาออกไปเอง”
ที่นัชฌานรู้ประวัติละเอียดนั้นมันไม่เท่าไหร่เพราะใครๆ ก็หาอ่านเอาจากในหนังสือพิมพ์หรือเว็บไซต์ได้ แต่ฟังดูแล้วประวัติเขาไม่มีส่วนดีเลยนี่สิที่ทำเอาลีแทจินหน้าชาอยู่ไม่น้อย แต่ยังคงแสร้งทำท่าทางปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“รู้ดีเหมือนกันนี่ ใช้ได้ๆ”
“และนี่เป็นเหตุผลที่ฉันต้องมาดูแลนาย จริงๆ จะว่าดูแลก็ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นนัก เรียกว่ามา ‘ดัดสันดาน’ ดีกว่า”
นัชฌานเน้นคำอย่างจงใจ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าอ่อนกว่าเยาว์นั่นสร้างความระแวงให้กับลีแทจินเสียเหลือเกิน เขาล่ะเกลียดนักคนที่อ่านใจไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย
และเพื่อความปลอดภัยก่อนที่เขาจะตกหลุมพรางของนัชฌานอีก ลีแทจินก็รีบตัดบทสนทนาทันที
“แนะนำตัวเสร็จแล้วก็ไสหัวกลับไปได้แล้ว จะมานั่งเสนอหน้าทำไมอีก”
ไม่ว่าเปล่า ยังทำท่าโบกมือไล่ หากแต่คนตัวเล็กปฏิเสธเสียงเรียบ
“ไม่ ฉันต้องอยู่ซักซ้อมการแถลงข่าวให้นายอีก อย่าลืมสิ”
“แต่ฉันอยากพัก ยังปวดหัวอยู่เลยเนี่ย แฮ้งค์น่ะรู้จักมั้ยแฮ้งค์ ถ้าฉันไม่ได้พัก พรุ่งนี้ฉันไปแถลงข่าวไม่ได้นะจะบอกให้” ลีแทจินแกล้งทำเป็นสำออย ยกมือขึ้นจับหน้าผาก ปั้นสีหน้าเจ็บปวดให้รู้ว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์จากเมื่อคืนยังคงเล่นงานอยู่ทั้งที่จริงมันหายไปตั้งแต่เขาเห็นหน้านัชฌานครั้งแรกแล้ว แถมรั้งท้ายด้วยการขู่เป็นนัยๆ ว่าจะไม่ทำงานซึ่งแน่นอนว่าปกติแล้วมันใช้ได้ผลทุกครั้งกับผู้จัดการคนที่ผ่านมา
ทว่าไม่ใช่กับผู้จัดการคนใหม่คนนี้...
“ได้ ฉันให้เวลาพักสองชั่วโมง ฉันจะได้เตรียมเอกสารด้วย จากนั้นเรามาคุยกัน”
นัชฌานว่าเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้น คว้ากระเป๋าเอกสารและเดินดุ่มๆ ออกจากห้องไป ...ที่ออกจากห้องนี่ไม่ได้ออกจากอพาร์ตเม้นต์ของนักร้องหนุ่มนะ แต่เดินออกจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องนอนซึ่งอยู่ถัดไปต่างหาก
คนตัวเล็กปิดประตูก่อนเสียงลงกลอนจะดังขึ้นให้ได้ยินเบาๆ ลีแทจินย่นคิ้วมองตามอย่างงุนงง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกแล้ว พลันบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย
“ให้ตาย ตื๊อจริงๆ เลยไอ้หมอนี่!”