EP.05 จ้า...พ่อนกคนดี

1262 Words
ตอนที่ ๕ วันนั้นทั้งวัน ตุลย์แทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่ามีใครบางคนอยู่ที่บ้าน คีรีธรนั่งทำสมาธิเฝ้าบ้านให้กับเขา จึงไม่อยากรบกวน พอมาทำงาน จึงลืมพ่อนกประหลาดไปเสียสนิท มานึกได้อีกที เมื่อตอนเลิกงาน บรรดาลูกน้องมาลากลับบ้าน ขณะหนึ่งในทีมสอบถาม “หัวหน้าจะให้ผมมาอยู่เป็นเพื่อนไหมครับ เผื่อคนเจ็บคนนั้นจะคิดไม่ดีกับหัวหน้า” “ไม่เป็นไรหรอก” ตุลย์ยิ้ม นึกถึงสภาพของคีรีธรแล้ว จึงวางใจ “เขาไม่ได้มีท่าทางคุกคามอะไร ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่า ผมเอาอยู่” “แน่ใจนะครับหัวหน้า” “ทุกคนไปอยู่กับครอบครัวเถอะ ถ้ามีอะไร ผมจะวิทยุเรียกหาก็แล้วกัน” ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปแล้ว ตุลย์เก็บเอกสารบนโต๊ะ จัดโต๊ะให้เรียบร้อย มองแล้วสะอาดตาจึงออกจากสำนักงาน กลับเข้าบ้านมาด้วยความสงสัยว่าเวลานี้ ตาคนครึ่งนกกำลังทำอะไรอยู่ เดินย่องเข้ามาในบ้าน มุ่งตรงเข้าไปยังห้องหอน ซึ่งคิดว่าคีรีธรจะยังอยู่ “อ้าว หายไปไหนเสียแล้วล่ะ” เงาวูบผ่านมาทางหางตา ตุลย์ไหวตัวเยือก หลบมือแข็งแรงที่ฟาดมายังตนได้อย่างฉับไว “เจ้านั่นเอง” กินนรหนุ่มยั้งมือเอาไว้ได้ทัน ขณะตุลย์ไม่ได้หยุด เขาใช้เทคนิคการต่อสู้หมุนตัวมาล็อคคอกินนรหนุ่มได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา พอเห็นว่าเป็นคีรีธร จึงคลายวงแขนออก “ขอโทษที ฉันนึกว่าคนร้าย” “เราก็ขอโทษ ที่คิดว่าเจ้าเป็นผู้ร้าย” “เป็นยังไงบ้าง...” ข้าราชการหนุ่มเดินนำมานั่งตรงเตียง มองกินนรตัวสูงที่ยืนกอดอกพิงประตู เก๊กท่าหล่ออย่างน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด “พลังเราค่อยๆ คืนมาทีละนิดแล้ว...” “แล้วคิดว่าจะหายเมื่อไหร่ล่ะ แล้วจะหาทางกลับบ้านเมืองของนายได้ยังไง” “รอให้เราหายดีเสียก่อน...” คีรีธรเดินมาหยุดตรงหน้าของตุลย์ มองวงหน้าที่ขาวสะอาด กับชุดที่แปลกตาของอีกฝ่าย ไม่อาจเก็บความสงสัย จึงถามขึ้น “เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน แล้วนี่ชุดอันใดของเจ้า ลวดลายแปลกตา” “นี่มันชุดทำงานของฉัน แล้ววันนี้ฉันก็เพิ่งกลับจากที่ทำงาน ไง...บ้านเมืองของนายไม่มีคนทำการทำงานหรือยังไง” “บรรดาข้าราชการบ้านเมืองของเราก็มีอยู่ แต่มิได้แต่งตัวแปลกประหลาดอย่างกับเจ้าในวันนี้” “ก็มันคนละบ้านเมืองไง” “เราเข้าใจแล้ว แต่ละบ้านแต่ละเมือง ย่อมมีคนทำงานที่แต่งภูษาแตกต่างกัน” “หิวหรือยัง...” ยามสบตากับตานกกึ่งเทพ ตุลย์ถึงกับหัวใจวูบไหว ราวกับมีกระแสอะไรบางอย่างกระทบถึง จนต้องหลบตาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว บ้าไปแล้ว...สายตาคู่นั้น แลดูมีพลังอะไรบางอย่าง สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาไม่อาจจะหยุดหลงใหลได้ มันเกิดอะไรขึ้น กับความรู้สึกแค่นี้ กลับมีอิทธิพลต่อเขาอย่างมากมายเชียวหรือ “เราเพิ่งกินผลไม้ในบ้านของเจ้าไป ยังมิหิว” “ชอบกินผลไม้ใช่ไหม ได้...เย็นนี้ไปตลาดด้วยกันไหมล่ะ นายจะได้เลือกซื้อว่าจะกินอะไรบ้าง กินได้แต่ผักผลไม้นี่ พ่อนกอนามัย” “เราบอกเจ้ากี่หนแล้วว่าเรามิได้เป็นนก ชาติเชื้อของเราเป็นเทพชั้นสูง เพียงแต่มีเลือดเนื้อครึ่งหนึ่งเป็นเทพสกุณา ซึ่งมิได้เป็นนกธรรมดาอย่างที่เจ้าเข้าใจ” “โอเค ยอมก็ได้วะ เทพก็เทพ” คีรีธรนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของตุลย์มาจนถึงตลาด แต่ก่อนจะออกจากบ้าน เขาครีเอทเสื้อผ้าหน้าผมให้กับคีรีธรอย่างดิบดี ให้สมกับคนในเมืองมนุษย์เสียหน่อย ยังดีที่คีรีธรกับเขาตัวพอๆ กัน จึงพอจะใส่ชุดของเขาได้อย่างพอดิบพอดี พอแต่งองค์ทรงเครื่องเทพกินนรหนุ่มแล้ว ดูแล้วสมาร์ทเท่ใช่ย่อย พอคนหน้าตาดีสองคนเดินมาด้วยกัน บรรดาคนที่มาจับจ่ายตลาดจึงมองมายังทั้งสองเป็นจุดเดียว “พวกเขามองอะไรกันหรือ” คีรีธรกระซิบถามตุลย์ ขณะข้าราชการหนุ่มมองไปโดยรอบก็พบกับสายตาของบรรดาผู้คน เขายิ้มแล้วว่า “คงมองนายล่ะมั้ง นายไม่เหมือนคนเมืองนี้นี่” “มนุษย์พวกนี้รู้รึว่าเราเป็นเทพกินนร” “เปล่าหรอก...” เขายั้งคำพูดเอาไว้แค่นั้น ฉุดแขนพ่อกินนรหนุ่มให้ไปยังแผงขายผลไม้ “ผลหมากรากไม้มากมายยิ่งนัก ที่หิมพานต์ก็เยอะ แต่อยู่บนต้น อยากกินลูกไหนก็หยิบมากินได้ แต่ในเมืองของเจ้าช่างประหลาดนัก ถูกเก็บมาเรียงกันจนมากมายเพียงนี้” “แบบนี้เขาเรียกว่าเอามาขาย” “ขาย...ขายอย่างไรรึ” “คือแบบนี้ ที่เมืองนี้น่ะ เขาจะมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน ฉันมีเงิน” เขาล้วงเอาธนบัตรออกจากกระเป๋าเงินมาโชว์ให้ดู “พออยากได้อะไร ก็มาที่นี่ แล้วเอาสิ่งนี้ให้กับคนพวกนี้ เพื่อแลกกับสิ่งของที่เราอยากจะได้” “ที่เมืองของเรา อยากได้อะไรก็หยิบไปได้เลย ไม่ต้องแลกเปลี่ยนอะไรให้ยุ่งยาก” “ที่บ้านเมืองของฉัน ไม่เหมือนกับบ้านเมืองของนายหรอก มาดูสิ อยากกินอะไรก็เลือกได้เลย ฉันจะซื้อให้” สองหนุ่มเลือกซื้อผลไม้มาได้หลายอย่าง โดยเฉพาะส้ม ที่เหมือนว่าคีรีธรจะชื่นชอบเป็นพิเศษ ตุลย์มองค้อนกินนรหนุ่ม ที่แท้ชอบกินส้มก็ไม่บอก เห็นมองอยู่เป็นนานสองนาน ไม่เพียงแต่ผลไม้เท่านั้น ตุลย์ยังเลือกซื้อบรรดาผัก และเนื้อสัตว์เอาไว้กักตุนด้วย รวมไปถึงพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารกระป๋อง เผื่อเวลาใดได้ออกหน่วย ลงพื้นที่จะได้ไม่ต้องยุ่งยากหาอาหาร เห็นตุลย์ซื้อบรรดาเนื้อหมู เนื้อไก่ คีรีธรจึงถาม “เหตุใดเจ้าถึงกินสัตว์ พวกมันมีเลือดมีเนื้อ มันบาปนักนะ” “ที่บ้านของฉัน...” อารัมภบทเริ่มต้นขึ้นเช่นเดียวกับที่เคยบอกกับคีรีธร ให้อีกฝ่ายรู้ว่า ลักษณะการใช้ชีวิตของคนเมืองมนุษย์ กับชาวเมืองหิมพานต์อย่างคีรีธรมันแตกต่างกัน “พวกเรากินเนื้อสัตว์อยู่เป็นนิจ เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนทั้งห้าหมู่ ถ้ากินแต่เฉพาะผัก ผลไม้อย่างนาย ร่างกายของพวกเราจะไม่มีบรรดาโปรตีน หรือไขมันจากสัตว์ไปใช้กับระบบการเผาผลาญในร่างกาย” “เหมือนดั่งคำที่ชาวเมืองเราว่า คนเมืองมนุษย์ปากเหม็น เป็นเพราะกินเนื้อสัตว์นี่เอง” “ไอ้บ้า...” ตุลย์ค้อนเข้าให้ “ฉันไม่ได้ปากเหม็นหรอกนะ” “เสด็จแม่ของเราบอกว่า ผู้ใดที่กินเนื้อสัตว์นอกจากจะบาปแล้ว ปากยังเหม็นอีกด้วย” “เออ...ถูกสอนมาดีสินะ” “เราถูกอบรมสั่งสอนทั้งเรื่องระเบียบวินัย และศีลธรรมคำสอน พวกเราชาวเมืองนอกฟ้าจึงมีแต่คนมีบุญ มิมีบาป” “จ้า...พ่อคนดี” พอโดนไปหลายดอก ตุลย์จึงหาทางเบี่ยงความสนใจ พาคีรีธรเดินไปอีกทาง ก่อนจะพากันกลับบ้านพักในป่าใหญ่ที่สุด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD