EP.04 พระโอรสคีรีธร

1342 Words
ตอนที่ ๔ กว่าตุลย์จะตกลงกับคีรีธรได้ ก็เล่นเอาเสียเวลาลำดับเนื้อความอยู่เกือบชั่วโมง แถมกินนรหนุ่มยังเชื่อคนยากเอาเสียนี่ ทักถามหาปีกที่เขาเก็บเอาไว้ได้ “โปรดส่งคืนให้กับเรา เราจะกลับบ้านกลับเมือง” “นายกำลังบาดเจ็บ กลับตอนนี้คงจะไม่สะดวกนักหรอก” “เห็นจะจริงตามคำของเจ้า...” คีรีธรมองแผลของตนเองตรงหัวไหล่ ก่อนจะกระอักเอาลิ่มเลือดออกมา เห็นดังนั้นตุลย์ก็ตกใจ โผเข้าไปถามอย่างรวดเร็ว “นายคงจะช้ำใน” “เราไม่เป็นอันใด ขอเวลานั่งทำสมาธิรักษาสักสามราตรีคงจะดีขึ้น” ว่าแล้วจึงขยับไปนั่งตรงพื้นมุมห้อง เห็นดังนั้นตุลย์จึงแค่ยิ้ม “เหอะ ทำเป็นเก่งไป พ่อกินนรเมืองหิมพานต์” “เราต้องการสมาธิ ได้โปรดอย่ารบกวนเรา ขออยู่ตามลำพัง” ตุลย์ค้อนเข้าให้อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเลี่ยงออกจากห้องนั้นไปในที่สุด พอออกมาด้านนอก จึงเห็นลูกน้องอีกสามคนรออยู่ตรงระเบียงหน้าบ้าน เห็นทีคนที่เขาโทรตามมาช่วยเมื่อคืนคงจะเล่าให้ที่เหลือฟัง “มีคนเจ็บหรือครับหัวหน้า” “ใช่...” เจ้าหน้าที่หนุ่มปรายตามองเข้าไปในบ้านแล้วระบายลมหายใจออกมา “แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่นานคงจะหาย” “เขาเป็นใครหรือครับ เห็นซ้งบอกว่าแต่งตัวแปลกๆ คนจากฝั่งนู้นหรือเปล่า” “ไม่ใช่คนจากอีกฝั่งหรอก ผมถามเขาแล้วล่ะ” นึกถึงถ้อยคำของคีรีธร ส่วนหนึ่งก็ทำให้ตุลย์เริ่มเชื่อ จากทุกอย่างที่เป็นไป รวมไปถึงปีกนกที่เขาเก็บได้ มีความเป็นไปได้ว่าคีรีธรคงไม่ได้โกหกเขา “น่าจะเป็นคนจากในเมืองนั่นแหละ” นึกถึงหน้าตารูปร่างของพ่อกินนรหนุ่มแล้ว หากจะบอกว่าเป็นคนป่าคนดอยคงจะไม่เหมาะนัก เพราะคีรีธรรูปร่างหน้าตาติดจะรูปงาม หุ่นราวกับนายแบบ ที่สำคัญหล่อเหลาเอาการ หาไม่ได้ในกลุ่มหมู่บ้านชาวป่าเด็ดขาด คนจากในเมืองถือว่าเหมาะสมที่สุด “แล้วหัวหน้าจะเอายังไงครับ ไม่รู้ว่าเขามาร้ายหรือมาดี” “เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาหรอก เขาดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร ผมสอบถามแล้ว เขาถูกลักพาตัวมา ขอหลบซ่อนตัวที่นี่สักพักน่ะ” “ให้ที่พักกับคนแปลกหน้า จะดีหรือครับ” อีกคนค้าน “ผมเชื่อว่าเขาจะไม่นำภัยมาให้กับเรา” ข้าราชการหนุ่มระบายลมหายใจออกมา แล้วคลี่ยิ้มบางๆ “ไม่ต้องกลัวหรอก หากมีอะไรเกิดขึ้น ผมจะรับผิดชอบเอง ให้เขาพักกับผมนี่แหละ ดีที่สุดแล้ว” เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนั้น บรรดาลูกน้องจึงพยักหน้ารับทราบ แล้วแยกย้ายไปทำงานในที่สุด สายมากแล้ว ตุลย์ทำกับข้าวสองสามอย่าง เป็นอาหารแบบง่ายๆ ทำตามแบบฉบับที่เขาถนัด พอจัดโต๊ะเรียบร้อยจึงเข้าไปเรียกคนที่นั่งทำสมาธิอยู่ในห้อง ก็พอดีที่คีรีธรออกจากสมาธิ กำลังมองสำรวจไปรอบห้องอย่างสงสัย “ฉันเตรียมกับข้าวไว้เรียบร้อยแล้ว นายออกมากินข้าวก่อนสิ จะได้คุยกันด้วย” “กับข้าว...” กินนรหนุ่มทำหน้าสงสัย “อาหารน่ะรึ” “ใช่...ตามมาสิ” คีรีธรตามตุลย์ออกมาตรงระเบียง เวลานี้มีกับข้าวสองสามอย่างส่งกลิ่นหอมฉุย “เราไม่กิน” “อ้าว ทำไมล่ะ ฉันอุตส่าห์เตรียมอาหารเอาไว้เผื่อ ดูสิมีหลายอย่างเชียวนะ มานั่งกินด้วยกันสิ” พ่อหนุ่มกินนรนั่งลงฝั่งตรงกันข้ามกับตุลย์ เขามองอาหารบนโต๊ะด้วยความรู้สึกกระอักกระอวน ใบหน้าที่แสดงออกมา ทำให้ตุลย์นึกหมั่นไส้ ไปกับปฏิกิริยาเหล่านั้น “อาหารพวกนี้เรากินไม่ได้” เห็นส้มสามสี่ลูกบนจาน จึงเอื้อมไปคว้ามาแกะกิน “เรากินแต่ผักผลไม้ อาหารประเภทนี้เรามิเคยกิน” “พ่อนกอนามัย กินเลือกเสียด้วยสิ” “เรามิได้เป็นนก เรามีเชื้อสายเป็นเทพกินนร หาใช่นกดั่งที่เจ้าว่าไม่” “นั่นแหละ ก็เหมือนๆ กันนั่นล่ะ เอ้อ...กินได้ด้วยหรือ ผลไม้เมืองมนุษย์น่ะ” เห็นคีรีธรแกะส้มผลหนึ่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ตุลย์จึงทำค้อนเข้าให้ “บ้านเมืองของเรามีผลไม้ประเภทนี้ มันหาใช่จะมีแต่เมืองของเจ้าที่เดียว” “เหน็บซะเจ็บเลยนะพ่อคุณ...” ข้าราชการหนุ่มละจากพ่อนกอนามัย แล้วหันมาตักข้าวกิน ระหว่างกินจึงสอบถามเพิ่มเติมถึงที่มาที่ไปของคีรีธร ได้ความว่า คีรีธรเป็นถึงราชบุตรของกษัตริย์เมืองนอกฟ้า เป็นโอรสที่เก่งกล้าสามารถที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด “ขี้โม้ฉิบหาย” คีรีธรเล่าว่า ในระหว่างที่เขากำลังเดินทางไปหาพระอาจารย์ เจอวิทยาธรเกเร เกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด ที่คีรีธรพลาดพลั้งเป็นเพราะความเจ้าเล่ห์ของวิทยาธร เขาเกือบถูกสังหารให้สิ้นชื่อ ก่อนจะมาปรากฏตัวที่บ้านของตุลย์อย่างในเวลานี้ คีรีธรบาดเจ็บ ต้องรักษาตัวอีกสักระยะ ถึงจะสามารถหาทางกลับบ้านกลับเมืองได้ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันอยู่ตรงที่ว่า เวลานี้ คีรีธร หลงยุคมาอยู่ในบ้านเมืองของมนุษย์ ซึ่งไปถามที่ไหนจากใคร ไม่อาจหาคำตอบให้ได้ว่าเมืองนอกฟ้าป่าหิมพานต์ เส้นทางการเดินทางไปทางไหน จะบินไปคงยาก ยิ่งนั่งเครื่องบินคงเป็นไปไม่ได้ นอกฟ้าในโลกมนุษย์คือดวงจันทร์หรือดาวอังคาร คือจักรวาลนอกโลกที่ไม่มีอากาศเพียงพอให้หายใจ ส่งไปได้ด้วยจรวดเท่านั้น เช่นเดียวกับในทางไสยศาสตร์หรือความเชื่อต่างๆ นานา ป่าหิมพานต์อยู่แค่ในสมุดข่อยเก่าๆ เป็นแต่เพียงความเชื่อ ตำนานและนิทานปรัมปราเท่านั้น ไม่เคยมีใครในโลกใบนี้เคยไปป่าหิมพานต์สักครั้ง “กลับป่าอเมซอนก็ว่าไปอย่าง...” คีรีธรให้เหตุผลว่า ในเมื่อตนมาถึงที่นี่ได้ เขาจะต้องหาทางกลับไปได้เช่นกัน แต่จะด้วยวิธีไหนนั้น คงต้องหาทางกันอีกที “ปีกของเราล่ะ เจ้าเก็บมันเอาไว้ที่ไหน...” “อ้อ...คืนให้ก็ได้ รอเดี๋ยวนะ” ตุลย์ละจากตรงนั้นไป หายไปทางห้องทำงานของตนเองแล้วกลับออกมาพร้อมกับกล่องกระดาษใส่กระดาษเอสี่ เวลานี้ในกล่อง มีปีกนกเล็กๆ วางอยู่สองชิ้น ทั้งสองชิ้นขาวสะอาดราวกับปีกของนกหงส์ มีแต้มด้วยรอยเลือดแค่เพียงปีกละเล็กน้อย “มีแค่นี้แหละ ใช่ปีกของนายหรือเปล่า” “ใช่แล้ว...” คีรีธรหยิบปีกออกมาจากกล่อง ท่ามกลางสายตาสงสัยของตุลย์ ที่คิดในท่าไหนก็นึกไม่ออกว่าปีกแค่นั้นจะพาคนร่างใหญ่แถมยังสูงชะรูดอย่างคีรีธรบินกลับบ้านกลับเมืองได้ แต่แล้วความสงสัยของตุลย์กลับมลายหายไป พร้อมกับความอัศจรรย์ใจเข้าแทนที่ แวบ บ เกิดแสงสีรุ้งขึ้นท่วมปีกในมือ ก่อนปีกเล็กๆ จะขยายใหญ่ขึ้น “ว้าว อย่างกับมีเวทมนต์” “เรารู้ว่าเจ้าจะต้องสงสัย จึงต้องแสดงให้เห็น” พูดจบได้เป่าพ่วงไปยังปีกคู่นั้นอีกครั้ง ปีกนกจึงกลับย่อขนาดลงเช่นเดิม คีรีธรส่งคืนให้กับตุลย์ “เราขอฝากปีกนี้ให้เจ้าเก็บรักษาเอาไว้ เมื่อหายดีแล้ว จะมารับคืน” “ทำไมนายไม่เก็บเอาไว้เองล่ะ ย่อได้ขนาดนี้ ทำเป็นพวงกุญแจห้อยติดตัวก็ได้” “ฝากเจ้าเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน...” ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะเหตุใดจะต้องเอามาฝากไว้ที่ตน แต่ตุลย์ยังรับเอาไว้ แล้วเอาไปเก็บไว้ยังจุดเดิม ออกมาสนทนาพาทีกับคีรีธรสักพัก พ่อนกรูปหล่อจึงขอตัวไปทำสมาธิรักษาตัวเองต่อ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD