“คุณหมดสติไปน่ะ ผมเลยพามานอนที่บนเตียง” มักซิมิเลียนบอกพร้อมกับปล่อยมือออกจากเอวบาง
“...” ม่านรดาได้ฟังคำตอบก็ถึงกับสตั๊นไปทันใด
“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณ นอกจากนอนแล้วเผลอไปกอดเพราะคิดว่าเป็นหมอนข้างก็เท่านั้น” มักซิมิเลียนเอ่ยออกตัว
“จะ...จริงเหรอคะ” เธอหันไปถามอย่างสึกอับอายที่รู้ว่าตัวเองเป็นลมหมดสติไป
“ก็จริงน่ะสิ คุณน่ะตื่นตูมรีบวิ่งออกไปทั้งที่ผมแค่จะเรียกให้เอากระเป๋าเดินทางกลับไปด้วย” มักซิมิเลียนบอกพร้อมกับกลอกตาอย่างเพลียๆ
“เอ่อ...” คนที่จินตนาการไปไกลว่าจะถูกชายหนุ่มตรงหน้าทำไม่ดีไม่ร้าย ส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้อย่างเอียงอาย
“เดาว่าคุณคงจะถึงบางอ้อแล้วสินะ” มักซิมิเลียนเอ่ยหยอกเย้าหญิงสาว ที่ตอนนี้ใบหน้าแดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุก
“ขอโทษค่ะ” ม่านรดายกมือไหว้อย่างรู้สึกเขินๆ
“ตอนแรกคุณทำกาแฟหกใส่เสื้อของผม ทำให้ผมเกือบเข้าประชุมช้า แต่ตอนนี้คุณทำให้ผมพลาดการประชุมไปเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ยทวนความเสียหายที่เกิดขึ้นในวันนี้
“หนูขอโทษอีกครั้งค่ะ” ม่านรดาหน้าสลดลงไปทันทีที่ได้ฟังคำบอกกล่าว
“ผมไม่รับคำขอโทษหรอกนะ เพราะธุรกิจเสียหายไปหลายล้านบาท” เขาตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“...” ม่านรดาได้ฟังก็ถึงกับพูดไม่ออก
“คิดว่าผมโกหกเหรอ?” เขาถามขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวเงียบไป
“ปะ...เปล่าค่ะ” เธอตอบพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ
“งั้นคุณก็เตรียมตัวใช้หนี้ได้เลย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่เย็นเฉียบ ดุจเพชฌฆาตที่ไร้ความปราณี
“...” ม่านรดาได้ฟังก็ถึงกับสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คู่ค้าเลื่อนการเจรจาสัญญาออกไปสองเดือน ระหว่างนี้คุณต้องไปเป็นเลขาส่วนตัวของผม ติดตามไปจดงานทุกอย่างทุกที่ที่ผมไปตรวจ”
“เอ่อ...หนู...” ม่านรดาอึกอักอย่างไปไม่ถูก รู้สึกเหมือนอยากจะเป็นลมไปอีกรอบเสียให้ได้
“คุณจะปฏิเสธความรับผิดชอบงั้นเหรอ?” เขาถามดักทางด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงเบาหวิว ราวกับว่า...ดวงวิญญาณของเธอนั้นกำลังจะหลุดลอยออกจากร่างไป
“มีไอแพดไหม?”
“มีค่ะ” ม่านรดาพยักหน้ารับทันใด
“งั้นก็ดี!” เขาบอกยังไม่ทันขาดคำ อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง ดังขึ้น ก๊อกๆ
“ขออนุญาตเสิร์ฟอาหารค่ะท่าน” พนักงานสาวที่อยู่ด้านนอกเอ่ยขึ้น
“เข้ามาได้เลยครับ” มักซิมิเลียนบอกก่อนจะลุกเดินออกไปดูและล้วงทิปส่งให้ หลังจากที่อีกฝ่ายจัดวางอาหารลงบนโต๊ะเสร็จ
“ขอบคุณค่ะท่าน” พนักงานเสิร์ฟยกมือไหว้ ก่อนจะรับทิปแล้วเข็นรถออกจากห้องพักไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
มักซิมิเลียนเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ก็เห็นสาวเจ้ากำลังคุยสายอยู่ จึงยืนรอให้เธอคุยจนจบก่อนจะเอ่ยชวน “ไปทานข้าวด้วยกัน”
“เอ่อ...แต่ว่า...” ม่านรดากำลังจะเอ่ยท้วง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายดึงข้อมือให้ออกเดินตามไปที่โต๊ะรับประทานอาหารด้านนอก ซึ่งมีอาหารหลากหลายเมนูวางอยู่
มักซิมิเลียนขยับเก้าอี้ออกให้สาวเจ้าเข้าไปนั่ง จากนั้นก็เดินอ้อมไปนั่งยังฝั่งตรงข้าม เพื่อจะได้มองเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มชัดๆ
ม่านรดาจ้องมองอาหารที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะก่อนจะเอ่ยถามอย่างลืมตัว “ทำไมคุณสั่งอาหารมาเยอะจังคะ”
“ทานเถอะน่า” เขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงติดรำคาญนิดๆ
“เอ่อ...” คนที่ทำตัวไม่ถูกและอยู่ในอาการมึนๆ งงๆ มองหนุ่มตรงหน้าอย่างชั่งใจ
“ไม่หิวหรือไง?”
“หิวค่ะ”
“หิวก็ทานสิ นั่งมองอยู่ได้” มักซิมิเลียนเอ่ยก่อนจะลงมือตักอาหารขึ้นมาทาน
“ค่ะ” ม่านรดาที่ถูกกระตุ้น รีบหยิบช้อนกับส้อมขึ้นมา แล้วตักอาหารขึ้นทานตามอีกฝ่าย อย่างรู้สึกหิวและประหม่านิดๆ
“เรียนอยู่เหรอ?” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“หนูเพิ่งเรียนจบค่ะ” เธอตอบตามจริง
“พรุ่งนี้ผมต้องไปสำรวจไร่ชาแต่เช้า คุณต้องไปด้วย” เขาบอกถึงแผนงานในวันรุ่งขึ้น
“ค่ะ” เธอพยักหน้ารับเบาๆ อย่างรู้สึกใจสั่น พลางคิดแทนในมุมของหนุ่มตรงหน้า ซึ่งเดาว่าคงจะเป็นนักธุรกิจใหญ่ ที่บังเอิญมาเจอสาวดวงซวยอย่างเธอเข้า ทำให้นัดเจรจาการค้าในวันนี้ล่มไม่เป็นท่า และหากเธอหนีความรับผิดชอบ เรื่องนี้ก็คงจะติดค้างใจเธอไปตลอด สู้ชดใช้ให้เขาไปคงจะดีกว่า เพราะอย่างน้อย อีกฝ่ายก็คงไม่ใจร้ายกับเธอเท่าไหร่ เผลอๆ เขาอาจจะรับเธอเข้าทำงานต่อด้วยก็ได้
“ติดขัดอะไรหรือเปล่า?”
“คุณจะให้หนูทำงานด้วยสองเดือน แล้วหลังจากนั้น...?”
“เธอเป็นอิสระ หากทำงานดี ฉันอาจจะจ้างให้ทำงานต่อ ไม่รู้สิ! เธอวางแผนเกี่ยวกับอนาคตเอาไว้หรือยัง ว่าเรียนจบแล้วจะทำอะไร?”
‘นั่นไง! ว่าแล้วเชียว’ ม่านรดาฉีกยิ้มในใจก่อนจะตอบ “ยังค่ะ”
“งั้นก็ถือว่าทดลองงาน บางทีเธออาจจะชอบมันก็ได้”
“คุณทำงานเกี่ยวกับอะไรคะ?”
“ฉันทำไร่ชากับไร่กาแฟ” มักซิมิเลียนบอกธุรกิจที่เป็นมรดกของมารดาให้ทราบ
“ว้าว!” ม่านรดาอุทานออกมาเบาๆ อย่างรู้สึกตื่นเต้นกับคำว่าไร่ชาและไร่กาแฟ
“ทำไมเหรอ?” มักซิมิเลียนแกล้งถาม
“คือวันนี้หนูตั้งใจว่าจะไปพักที่รีสอร์ตใกล้ๆ กับไร่กาแฟดารันค่ะ” ม่านรดาบอกด้วยสีหน้ายิ้มๆ ดีใจที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินหลักล้าน แต่ให้เธอทำงานใช้หนี้ ซึ่งมันก็แค่สองเดือน แถมยังเป็นงานที่เธออยากจะทำมันมากๆ อีกด้วย
“จริงสิ? นั่นไร่กาแฟของฉันเอง” คนเจ้าเล่ห์บอกพลางยักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นนิดๆ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยค่ะ” ม่านรดาบอกอย่างใจฟู
“ใช่! นี่มันพรหมลิขิตหรือเปล่านะ” เขาเอ่ยหยอกหลังเห็นสาวเจ้าเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด
“หนูว่าอาจจะแค่บังเอิญเท่านั้นค่ะ” เธอเอ่ยแก้อย่างรู้สึกเขินๆ แม้จะแอบเห็นด้วยกับที่เขาบอกก็ตาม
“เราดื่มสักหน่อยไหม?”
“เอ่อ...หนูดื่มไม่เป็นค่ะ เชิญคุณ...” คนที่ไม่เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนรีบปฏิเสธ
“ฉันชื่อมักซิมิเลียน เธอเรียกสั้นๆ ว่าเมสซี่ก็พอ” เขาบอกก่อนจะหยิบขวดเชมเปญที่อยู่ในถังแช่ มารินลงในแก้วทิวลิปสองใบอย่างไม่ฟังเสียง
“ค่ะคุณเมสซี่ หนูชื่อจริงว่า...ม่านรดา ชื่อเล่น ม่าน ค่ะ ” เธอเอ่ยแนะนำตัวกลับอย่างเขินๆ
“ม่านรดา...แด่พรหมลิขิต” มักซิมิเลียนบอกก่อนจะส่งแก้วทรง ทิวลิปไปให้สาวตรงหน้า
“เอ่อ...ค่ะ” คนที่กำลังจะปฏิเสธ แต่พอได้กลิ่นหอมๆ ของผลไม้ต่างๆ ที่ลอยฟุ้งไปทั่ว ก็ทำให้เธอหน้าด้านยื่นมือไปรับแก้วนั้นมาถือเอาไว้ แล้วจิบลิ้มลองรสชาติเชมเปญของแบรนด์ดังอย่างเอียงอาย
“เป็นไงบ้าง” มักซิมิเลียนถามด้วยสายตาเป็นประกาย
“หอมมากๆ เลยค่ะ” ม่านรดาบอกพลางคลี่ยิ้มออกมาบางๆ อย่างถูกใจในรสชาติที่ค่อนข้างจะดื่มง่ายและละมุนละไมกว่าที่คิดเอาไว้
“แบบนี้เธอดื่มได้ใช่ไหม?” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ เอ่อ...คุณเมสซี่แต่งงานหรือยังคะ” ม่านรดากลั้นใจถามออกไปตรงๆ เพราะกลัวว่าการอยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้ หากอีกฝ่ายมีพันธะอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และถึงอีกฝ่ายจะไม่มี มันก็ไม่เหมาะเช่นกัน ซึ่งเธอคิดว่าจะดื่มและคุยต่อกับเขาอีกครู่หนึ่ง ก็จะขอตัวกลับห้องพักของตัวเอง
“ฉันโสด ไม่ได้คบหาใคร เธอสบายใจได้” มักซิมิเลียนบอกพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ กับสีหน้าเป็นกังวลของหญิงสาวตรงหน้า
“งั้นถ้าทานเสร็จแล้วหนูขอตัวกลับเลยนะคะ พรุ่งนี้คุณเมสซี่จะไปรับที่หน้าหอพัก หรือจะให้หนูมาหาที่นี่ดีคะ?” เธอถามความเห็นด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน
“ค่อยว่ากัน ยังไงก็ได้ ว่าแต่เธอไม่ได้คิดจะหนีความรับผิดชอบใช่ไหม?” มักซิมิเลียนรีบดักทาง
“ไม่ค่ะ หนูชอบชากับกาแฟอยู่แล้ว” เธอยักไหล่ทั้งสองข้างขึ้นนิดๆ พร้อมกับส่งยิ้มไปให้อีกฝ่าย
“งั้นก็เยี่ยม” มักซิมิเลียนบอกก่อนจะยกแก้วเชมเปญขึ้นจิบเบาๆ จากนั้นก็ชวนคุยเรื่องงานที่หญิงสาวตรงหน้าจะต้องทำนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปให้ฟังคร่าวๆ
เช้าวันต่อมา...ม่านรดาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ห้อง ก่อนจะเรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ก็พบว่าตัวเองไม่ได้กลับห้องพัก แถมยังนอนค้างกับหนุ่มหล่อ ซึ่งกำลังจะมาเป็นเจ้านายของเธอนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“คะ...คุณเมสซี่คะ” เธอสะกิดเรียกเบาๆ อย่างตื่นตกใจ เมื่อรู้ว่าอ้อมแขนของเขากำลังกอดรัดเอวของเธอแน่น
“มีอะไรเหรอ?” คนที่กำลังหลับสบายๆ ส่งเสียงครางท้วงอย่างขัดใจนิดๆ
“รบกวนปล่อยมือด้วยค่ะ” เธอบอกพร้อมกับพยายามแกะมือหนาของเขาออกจากเอวด้วยหัวใจสั่นๆ
“โทษที ผมติดหมอนข้างน่ะ” คนเจ้าเล่ห์ตีมึนตอบอย่างเนียนๆ ก่อนจะเอ่ยสั่งการ “คุณไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน เดี๋ยวผมจะใช้ห้องน้ำที่ห้องพักข้างนอก”
“ค่ะ” ม่านรดาขานรับเบาๆ ก่อนจะขยับลุกจากเตียง
“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณนะ แค่กอดเท่านั้น” มักซิมิเลียนบอกด้วย สีหน้าจริงจัง เพราะกลัวว่าสาวเจ้าจะกลัวตนและไม่ไปทำงานด้วย
“ค่ะ” ม่านรดาหันกลับไปพยักหน้ารับอย่างอายๆ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องน้ำขนาดใหญ่ ด้วยหัวใจสั่นๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอนอนค้างกับผู้ชายแปลกหน้า
“คุณจะทานอะไรไหม ผมจะสั่งให้” มักซิมิเลียนตะโกนถามตามหลัง พร้อมกับหยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะกดสั่งอาหารเช้า
ม่านรดาหยุดเดินแล้วหันไปตอบ “อะไรก็ได้ค่ะ”
“โอเค! ไปอาบน้ำเถอะ”
“ค่ะ” ม่านรดายิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอย่างปลื้มใจที่ อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเธอนอกเหนือไปจากการนอนกอดเท่านั้น ซึ่งเธอคิดว่าเขาน่าจะติดหมอนข้างตามที่บอกจริงๆ
หลังจากอาบน้ำและทานอาหารเช้าในโรงแรมเสร็จ มักซิมิเลียนก็ขับรถพาสาวเจ้าไปส่งที่หน้าหอพัก เพื่อให้อีกฝ่ายเก็บเสื้อผ้าและของใช้เพิ่มเติม