อีกเสียงลากเสียงถามอย่างหมั่นไส้ “พวกเราได้ยินเจ้าร้องครวญครางทั้งคืน”
“ข้าก็ต้องร้องแบบนั้นทั้งคืนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะได้ตั๋วแลกเงินมาขนาดนี้หรือไร”
“เมื่อใดนะที่ท่านแม่ทัพใหญ่จะเข้ามาหาความสุขที่นี่เหมือนคนอื่น ๆ บ้าง”
“นั่นสิเมื่อใดนะ ท่านแม่ทัพจางของพวกเราจะเข้ามาสนุกสนานกับพวกเราแบบที่พวกคุณชาย ไม่ก็พ่อค้า แม่ทัพท่านอื่น แล้วก็ทหารหาญกล้าเหล่านั้นบ้างก็ไม่รู้”
“หากท่านแม่ทัพจางมาจริง ข้าขอเป็นคนต้อนรับแทนได้หรือไม่”
“จะได้อย่างไร ข้าเองก็ชอบท่านแม่ทัพจางเช่นกัน”
“ข้าก็ด้วย”
“ร่างกำยำหนาใหญ่เช่นนั้น หากข้าได้ปฏิบัติท่านแม่ทัพจางสักครั้งข้าคงได้นอนตายตาหลับเป็นแน่”
เสียงพูดคุยเพ้อฝันถึงแม่ทัพใหญ่จางซงหยวนของสาว ๆ ดังใกล้เข้ามาทุกที
เพียงได้ยินผู้อื่นกล่าวชื่อเขา หัวใจของนางก็รู้สึกแกว่งไกว เต้นเป็นจังหวะแปลกประหลาด ไม่ใช่เพราะร่างกายกำยำหนาใหญ่แบบนั้นหรอกหรือนางจึงได้เลือดอาบ เจ็บระบมไปทั้งร่างกายเช่นนี้
คิดไปพร้อมกับอาการร้อนวาบไปทั่วท้องน้อย จนไม่ทันได้ยินว่าเสียงเดินของหญิงคณิกากลุ่มนั้นหยุดลงที่หน้าห้องอวี้หลันแล้ว ก่อนที่สาวงามเหล่านั้นจะยื่นหน้าเข้ามาภายในห้องที่นางนั่งรอพี่อวี้หลันอยู่
“พี่อวี้...” คนที่เปิดประตูออกยังเรียกชื่อไม่ทันครบดีก็เบิกสายตากว้างเมื่อเห็นนางที่ในห้องของอวี้หลันแทน
“อ้าว น้องสาม”
เสียงหนึ่งจากทางด้านหลังเอ่ยเรียกนางอย่างสนิทสนม ไม่ใช่แค่พี่อวี้หลันเท่านั้นที่เรียกนางว่าน้องสาม คนอื่นในหอคณิกาแห่งนี้ก็เรียกนางว่าน้องสามด้วย นางคือคนพิเศษของหอแห่งนี้ สามารถเข้าออกได้เพียงส่งข้อความยืนยันกับคนเฝ้าประตูก็ผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
“สบายดีหรือไม่เพคะน้องสาม”
“ข้าสบายดี” หลี่เยี่ยนถิงตอบสั้นๆ นางยิ้มให้หญิงงามคณิกาของพี่อวี้หลันก่อนเอ่ยถามกลับไป “พี่สาวทั้งหลายเล่าต่างสบายดีกันหรือไม่”
นางมองสาวๆ ที่พูดคุยเรื่องสนุกสนานระหว่างหญิงชายก็ให้นึกกระดาก สายตาหวานก้มลงมองที่พื้นห้องแล้วก็เบือนหน้าหนี ก่อนที่หูของนางจะกางออกเมื่อได้ยินหนึ่งในนั้นส่งเสียงจะอาเจียนดังขึ้น
“นี่เจ้าไม่ได้กินยาของท่านฮั้วหมอหรอกหรือ”
“ข้า...ข้าลืม” หญิงที่ส่งเสียงอาเจียนส่งเสียงตอบแผ่วเบา ใบหน้าออกซีดขึ้นมาในทันที
“ลืมได้หรือยาเช่นนั้น หากเจ้าลืมได้ท้องโตแน่ หมดสวยไม่พอ เจ้ายังจะหาเงินทองได้อีกหรือ เจ้านะเจ้า สวยอย่างเดียวจริงๆ ในหัวนี่ไม่มีสมองเอาเสียเลย”
หลี่เยี่ยนถิงเห็นคนถูกบ่นแล้วก็นึกสงสารนางเอ่ยถามขัดไม่ได้เพราะอยากสอดรู้เลยแม่แต่นิดเดียวเพียงแต่ไม่อยากให้บรรยากาศย่ำแย่ลงไปมากกว่านั้น
“ยาอะไรหรือพี่หรูลี่”
“ยาที่ช่วยไม่ให้มีลูกอย่างไรล่ะน้องสาม”
ที่นี่เป็นศูนย์รวมทุกเรื่องคาวโลกีย์ ทีแรกนางปิดหูไม่กล้าฟังแต่เมื่อได้เข้ามานานวันเข้า ได้ฟังบ่อยเข้าก็พบว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าศึกษาเช่นกัน
ทักทายพูดคุยกันไม่นานพี่อวี้หลันก็ตามเข้ามาในห้อง อีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาครุ่นคิดแลเป็นกังวลไม่น้อยก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเนิบ ๆ ของนาง
“น้องสามมีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่”
หลี่เยี่ยนถิงได้ยินคำถามชี้นำเช่นนั้นเงียบงันไปอึดใจก่อนตอบกลับว่า “ไม่มี เพียงแค่ผ่านมาเท่านั้น”
“ไม่มีก็รีบกลับเถอะ” อวี้หลันบอกนางแล้วก็พยักหน้าให้ทำอย่างที่บอก หลี่เยี่ยนถิงสบตาแล้วถามกลับอย่างนึกสงสัย
“มีเรื่องอื่นใดที่หรือไม่พี่อวี้หลัน”
อวี้หลันมองนางด้วยสายตาครุ่นคิดมากกว่าเดิมแล้วบอกเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้เมื่อครู่ให้ฟังว่ามีข่าวจากตำหนักว่าด้วยเรื่องก่อกบฏ ขนอ่อนบนตัวขององค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงพลันลุกชันขึ้นพร้อมด้วยอาการหวาดหวั่นในเรื่องที่ได้ยิน
“พี่จะให้คนไปส่งเจ้า ที่ทางลัดตรงด้านหลัง”
“ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้นพี่อวี้หลัน ข้ากลับเองได้”
หลี่เยี่ยนถิงพยักหน้าแล้วก็พาตัวเองออกมาจากหอของพี่หลันเดินไปตามทางอย่างไรแล้วกลับเข้าสู่วางไว้ในที่สุดไปถึงที่ด้านหน้าก็พบว่ามีกระบวนเหล่าทหารยืนรอที่ตรงนั้น
นางเม้มปากน้อย ๆ เดินตรงไปยังประตูทางเข้าของตำหนักตนเอง
“องค์หญิงสามมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
บ่าวรับใช้นายหนึ่งส่งเสียงบอกไปยังด้านในตำหนักร้างของนาง ไม่เพียงได้หายใจเข้าออกจนหมดก็พบร่างสูงสง่าในอาภรณ์ชั้นดีทอมือด้วยไหมสีฟ้าอ่อนปักดิ้นที่ชายผ้าก้าวขาเดินออกมาจากด้านใน ใบหน้าของผู้มาเยือนหล่อเหลา แววตาอบอุ่น เสียงที่เรียกหาก็อาทรห่วงใยไม่น้อย
“หายไปไหนมาน้องสาม”
“พี่ห้าคือ...” หลี่เยี่ยนถิงเดินตรงเข้าไปด้านในของตำหนักพลางหลบสายตาอบอุ่นของพี่ชายต่างมารดาไปพลาง
หลี่หยางหยางคือพี่ห้าของนาง เขาเป็นพี่น้องเพียงคนเดียวในวังที่พูดคุยกับนางอย่างที่ดูเป็นสายเลือดเดียวกันมากที่สุด แม้มีสายเลือดเดียวกันเพียงครึ่ง แต่พี่ห้าก็เป็นห่วงเป็นใยนางเสมอ บางทีอาจมากกว่าคนที่ให้กำเนิดนางด้วยซ้ำ
เรื่องที่พี่ห้าใช้ให้นำสาส์นลับไปนอกวังและทำไม่สำเร็จ อีกทั้งสาส์นนั้นยังตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น อยู่ในมือใครไม่อยู่ ดันเป็นแม่ทัพจางซงหยวน แม่ทัพคนสำคัญของฮ่องเต้หลี่ไห่ถัง บิดาของนางและพี่ห้า ทำให้นางหนักใจตลอดทางที่เดินกลับเข้ามาในวังอยู่นี่
หลี่เยี่ยนถิงอาจดูโง่และซื่อในความคิดของพี่ น้อง และคนอื่นในวัง แต่องค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงก็ได้แอบเปิดอ่านข้อความของสาส์นนั้นแล้ว ขณะนำมันไปส่งให้ผู้รับ
ในนั้นกล่าวถึงอาการประชวรของพระสนมซึ่งเป็นพระมารดาขององค์ชายห้า แม้มีการบอกเล่าด้วยถ้อยคำแปลกๆ แต่มิได้มีการพูดถึงก่อกบฏแต่อย่างใด
ถ้อยคำในนั้นบางคำ นางอ่านแล้วไม่สามารถตีความได้ แม้เป็นเพียงกล่าวถึงอาการประชวร แต่เหตุใดต้องใช้สุภาษิตโบราณมากๆ ชนิดที่นางแปลความหมายไม่ได้ด้วยเล่า
ตอนที่กำลังใคร่ครวญคิดถึงข้อความในนั้น ก็ค่อยฉุกคิดขึ้นได้ว่าอาจไม่ได้เกี่ยวโยงอาการประชวรโดยตรง นางคิดว่ามันแปลก เหตุเพราะองค์ชายห้า พี่ชายของนางกำชับว่าห้ามผู้ใดเห็นสาส์นฉบับนี้เด็ดขาด
แล้วเหตุใดต้องไม่ให้ผู้อื่นเห็น ในเมื่อเป็นการบอกกล่าวถึงอาการประชวรของพระสนมเพียงเท่านั้น
ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเหตุและผลในข้อความนั้นอยู่ ขาของนางก็ก้าวเดินไปเรื่อยๆ ก่อนที่เงาดำของท่านแม่ทัพใหญ่จะปรากฏกายที่ตรงหน้าของนาง
แล้วทันทีที่แม่ทัพช่วงชิงสาส์นไปจากนางได้ เขาเปิดสาส์นนั้นออกอ่าน พออ่านจบ ยังมองมาด้วยสายตาข่มขู่ บอกอีกด้วยว่าจะนำความทูลให้องค์ฮ่องเต้ทราบถึงข้อความในสาส์นนี้
แสดงว่ามีความหมายบางอย่างซุกซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ แล้วก็คงมิใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน