บทนำ
ร่างเล็กเดินไปตามทางลาดของด้านหลังของวังที่ซึ่งเป็นเส้นทางห้ามสัญจรแต่นางกลับหาได้สนใจไม่ ในมือเล็ก ๆ นั่นคล้ายกับมีอะไรกำแน่นที่ในนั้น มือกำเสียแน่นราวกับมันคือความลับที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของนางเสียอีก
หลี่เยี่ยนถิงเหลียวมองซ้ายแลขวาไปพลางขณะก้าวขาเดินมุ่งหน้าตรงไปยังนอกพระมหาราชวัง คล้ายนางกลัวว่าใครจะมาเห็นนางเข้าเสียก่อน ยามจื่อเช่นนี้ทั้งอากาศหนาวเย็นใครจะออกมาเดินที่นอกวังกัน หากแต่เป็นนาง สตรีที่แม้จะเป็นธิดาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่กลับไร้เกรงใจ ไร้คนเหลียวแล
และบัดนี้นางก็กำลังลักลอบออกนอกจากตำหนัก ไม่เพียงแต่ตำหนักร้างของนาง แต่นางกำลังมุ่งหน้าไปยังเส้นทางลับหวังจะออกนอกวังด้วยซ้ำ
“กำลังไปที่ใด”
เสียงห้าวเอ่ยถาม ต้นตอดังมาจากเบื้องบน องค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงหยุดขาที่กำลังก้าว ก่อนจะช้อนดวงตางามปนเศร้าขึ้นไปยังที่เสียงที่ดังขัดขวางการลักลอบออกนอกวังของนาง พบว่าเป็นคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ บิดาของนางเอง หากแต่ท่านแทบไม่เคยเรียกหา พบหน้าไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ คงไม่คิดนับนางเป็นเลือดเนื้อของตนด้วยซ้ำไป
และหากนางทำเมิน ไม่ตอบคำถามนั้นก็ดูจะเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป ที่หนักไปกว่านั้นนางอาจส่อมีพิรุธอีกด้วย
“คือ…” หลี่เยี่ยนถิงเปิดปากออกมาคำหนึ่งเพียงคำเดียวเท่านั้น เสียงถามก็ดังขึ้นอีก ทว่าคราวนี้เงาดำนั่นย้ายร่างจากด้านบนของหลังคาลงมายืนที่เบื้องหน้าของนางแล้ว
“องค์หญิงจะไปที่ใดหรือกำลังมาจากที่ใด”
ไม่เคยมีใครเอ่ยเรียกนางว่าองค์หญิงมาก่อน นั่นเพราะไม่มีผู้ใดให้ความเคารพยำเกรงนาง
ไม่เคยมีใครนับหน้าถือตานาง
จะเพราะเหตุใดก็อันเนื่องมาจากนางเป็นลูกของสนมที่ถูกกักขังในวังร้างทางทิศใต้จนสติเลอะเลือน ก่อนสิ้นลมหายใจไปตั้งแต่นางอายุเพียงสามขวบเท่านั้น
หลี่เยี่ยนถิงพยายามจะอ้าปากอีกครั้งเพื่อตอบคำถามของเขาแต่แล้วเสียงดุห้าวขรึมก็ส่งคำถามออกมาอีก
“ในมือขององค์หญิงคือสิ่งใด”
จบคำถามของเขาร่างสูงสง่าในชุดสีทึบก็เคลื่อนย้ายตัวเข้ามาใกล้นางยิ่งกว่าเดิม บุรุษผู้มีร่างกายกำยำแม้อยู่ในอาภรณ์หรูหราและแม้ว่ารอบด้านจะมืดอยู่เช่นนี้ก็ตามที
นางจำได้ว่าเขามีใบหน้าและแววตาเย็นชายิ่งนัก เคยได้ยินเหล่าเสนาบดีพูดถึงเขาว่าสามารถฆ่าคนได้ชนิดที่แทบไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แววตาของเขาแม้สงบทว่าเยือกเย็นแต่กลับสง่างามเฉกเช่นเดียวกันกับท่าทางและอาภรณ์ที่เขาสวมใส่ในคืนนี้
เหตุใดแม่ทัพจางซงหยวนจึงออกมาจากงานเลี้ยงที่องค์ฮ่องเต้ทรงจัดให้เขา นางยังได้ยินเสียงดนตรี เสียงร้องรำ เห็นแสงแผดจ้าจากโถงงานเลี้ยงอยู่เลย และเพราะว่ารอบตำหนักของนางไร้ทหารเฝ้ายาม นางจึงได้ใช้โอกาสนี้ลอบออกจากตำหนักร้างของนาง
ไม่คิดว่า...
“จดหมายเสนอตัวนั่น องค์หญิงต้องการนำไปถวายให้ผู้ใดอย่างนั้นหรือ”
น้ำเสียงของจางซงหยวนถามขัดความสงสัยของนางขึ้น หากนางฟังไม่ผิดคล้ายในน้ำเสียงจะมีแววหมิ่นแคลนดูถูกนางอีกด้วย นั่นเลยทำให้นางนึกฉุน แล้วเอ่ยตอบโต้ออกไปพร้อมกับเบี่ยงแขนข้างที่มีสาส์นลับไปไว้ที่เบื้องหลังของนางทันที
“ในมือข้ามีสิ่งใด ไยต้องบอกท่านด้วย”
มุมปากของแม่ทัพจางซงหยวนกระตุกเล็กน้อยดูเหมือนยิ้ม แต่แลดูอีกทีกลับมิใช่ เสียงเข้มเปล่งออกมาราวกับราชสีห์กำลังหยอกล้อหนูตัวเล็กๆ อยู่
“องค์หญิงสามพูดได้ยาวขนาดนี้ทีเดียวหรือ”
หากเขาต้องการยั่วแหย่นางก็นับว่าสำเร็จแล้ว แต่นางไม่สามารถหยุดเพื่อคุยกับเขาได้อีกต่อไป นางต้องรีบส่งสิ่งที่อยู่ในมือนี้ให้กับผู้ที่รอคอยนางอยู่ไม่อย่างนั้นอาจไม่ทันการ
แต่แล้วนางก็ถูกมือที่หนาใหญ่ของจางซงหยวนคว้าที่ไหล่ของนางออกแรงเพียงนิดหมุนร่างให้หันหลังพร้อมกับดึงเอาสาส์นนั้นออกจากนางไปได้อย่างรวดเร็วแทบไม่ทันได้กะพริบตาด้วยซ้ำ
“นั่นของข้า”
นางลองส่งเสียงขึ้นอีกนิดยื่นมือออกไปจากคว้าของคืนแต่แล้วร่างหนาใหญ่ของแม่ทัพจางซงหยวนก็เคลื่อนออกห่างนางไปสามก้าว เท่านั้นนางก็ตามเขาไม่ทันแล้ว
จางซงหยวนคลี่ม้วนไม้ในมือออก กวาดสายตาดุอ่านเนื้อความข้างในอย่างรวดเร็วก่อนจะลากสายตามามองสบตากับนาง
“ผู้ใดเขียนจดหมายนี้ รู้หรือไม่ว่าหากมีผู้อื่นพบเข้า องค์หญิงจะถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏต่อองค์ฮ่องเต้”
จบคำกล่าวของเขาใบหน้าที่ออกซีดเหลืองของหลี่เยี่ยนถิงพลันซีดลงไปอีก เหตุใดเขาถึงเอ่ยวาจากล่าวหานางเช่นนั้น และคล้ายกับว่าจางซงหยวนเองจะอ่านแววตาของนางออก เขาหันสาส์นในม้วนไม้ไผ่ม้วนนั้นมาให้นางดู
“มะ ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไม่” หลี่เยี่ยนถิงตะกุกตะกักกล่าววาจาใดออกมาไม่ถูกเลยแม้แต่คำเดียว
“กระหม่อมให้องค์หญิงสามเลือกสองทาง” เสียงทุ้มกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ให้กระหม่อมนำสาส์นในมือกล่าวทูลต่อฮ่องเต้เดี๋ยวนี้เลยหรือ...”
เสียงห้าวหยุดชั่วขณะ หลี่เยี่ยนถิงช้อนดวงตาจากม้วนไม้ไผ่ในมือมองไปยังเขา สบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทที่อ่านแววตานั้นไม่ออกก็พลันรู้สึกราวกับกำลังถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้ว
ความเงียบทำงานอย่างรู้หน้าที่ของมันดี นานจนนางหายใจไม่ออกจำต้องหลุดเสียงแผ่วเบาถามออกไป
“หรืออันใด”
“…ไปที่จวนของกระหม่อม”
“หนะ นี่ ทะ ท่านพูดออกมาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร” เสียงเล็กๆ บอกอย่างแผ่วเบาทว่าเด็ดเดี่ยวในน้ำเสียงของนาง เมื่อไม่มีคำอื่นมาไขความกระจ่างในนางเพิ่ม สติของนางพลันกลับคืนมาช้าๆ อีกครั้ง
“ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไปพร้อมสาส์นนี่ เข้าพบองค์ฮ่องเต้ด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้ หากใครเห็นสาส์นนี้เข้า คงเข้าใจไม่ต่างจากกระหม่อมเป็นแน่”
“มะ ไม่ ไม่ได้” แม้นางจะไม่เข้าใจว่าสาส์นนี้กล่าวเรื่องผิดเรื่องร้ายแรงอันเอาไว้แต่ก็คิดไปว่าสาส์นนี้ดูแปลกไม่น้อย
เสียงหวานปนเศร้าตอบแผ่วเบาแย้งเขาออกไป
ดวงตาสีดำของจางซงหยวนมองมาที่นางด้วยแววเรียบนิ่ง ก่อนที่เสียงราบเรียบทรงอำนาจจะดังก้องขึ้นในความมืดของทางเดินที่เกล็ดหิมะเริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆ
“อย่างนั้นองค์หญิงก็จงเลือก”
หลี่เยี่ยนถิงยืนตาแดงที่ตรงนั้น หิมะเริ่มโปรยปรายลงหนัก กระนั้นก็ยังไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากหนาของท่านแม่ทัพจางแต่อย่างใด เป็นนางที่เริ่มยืนไม่อยู่ ทั้งหนาวและหวาดกลัวกับแววตาและสถานการณ์ชวนอึดอัดเช่นนี้
ไม่นานนักจางซงหยวนจึงได้พูดจากดดันให้นางต้องเลือก
“หากจะไม่ไปพบฮ่องเต้ด้วยกัน ก็ไปที่จวนของกระหม่อม”
เหตุใดนางจะไม่รู้ความหมาย แม้จะถูกเลื่อนงานอภิเษกสมรสหลายครั้ง จนอายุของนางเลยวัยออกเรือนมามากแล้ว เพราะไม่เคยมีผู้ใดเอ่ยปากทาบทามสมรสกับนาง เพราะนางมิได้งดงามเทียบเท่าอย่างองค์หญิงองค์อื่นในพระบิดาเดียวกัน แต่นางก็หาได้โง่ไร้สมองไม่
จางซงหยวนที่เป็นแม่ทัพเอกของแคว้น อีกทั้งยังเป็นคู่หมายของบุตรสาวของพระสนมคนโปรดที่เพิ่งได้เข้าพิธีแต่งตั้งเป็นฮองเฮาเมื่อไม่นานมานี้ เขาไม่มีทางแลนางอย่างแน่นอน และที่เสนอให้นางไปยังจวนของเขา บางทีอาจต้องการสอบสวนนาง
ข่าวที่เหล่าขุนนางลือกันว่าเขาโหดและทารุณกับเหล่าโจรร้ายและพวกข้าศึก ถึงขนาดฆ่าได้พริบตาราวปลิดใบไม้ทิ้ง คงเป็นจริง
“ข้าจะถือความเงียบขององค์หญิงสาม เป็นคำตอบว่าไปที่จวนของกระหม่อม”
นางยังไม่ทันได้ตอบรับ ร่างสูงใหญ่ราวกับคนพรากวิญญาณก็ตรงเข้ามาช้อนนางขึ้นอุ้มแนบกับอกของเขา แล้วพาเคลื่อนตัวขึ้นไปบนหลังคาด้านบน ตำหนักแล้วตำหนักเล่า
“ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้”
นางเปล่งเสียงดังสุดเท่าที่นางจะทำได้ แต่แล้วเสียงนั่นกลับฟังแล้วแผ่วเบาเหลือเกิน คงเพราะนางไม่ได้กินอาหารให้อิ่มเต็มที่มาสามวันแล้วกระมัง
ร่างเล็กขององค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงถูกจางซงหยวนอุ้มลอยออกจากรั้ววังแล้วบัดนี้ แรงที่นางดิ้นรนกลับมีไม่ถึงเศษหนึ่งในหลายส่วนของกำลังท่านแม่ทัพเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ยังอุตส่าห์ออกแรงดิ้นรนต่อสู้
พลันนั้นที่เกล็ดหิมะหนาตัวลง พร้อมด้วยสติทั้งหมดขององค์หญิงหลี่เยี่ยนถิงที่ค่อยๆ ดำมืดลงในเวลาต่อมา