“ไปไสบ่รอดแล้วมึง” (ไปไหนไม่รอดแล้วมึง) เพชรขยำกบตัวนั้นให้แน่นมากขึ้นและพยายามดึงมันขึ้นมาจากใต้น้ำแต่ก็ไม่รู้ว่ามันติดอะไรทำให้ดึงขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่ได้สักที
ในขณะที่พระพายเอาแต่นั่งเม้มปากแน่นไม่พูดอะไรออกมา ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือลงไปจับข้อมือของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไว้แน่น เพชรจึงเงยหน้าขึ้นมองพระพายด้วยสีหน้าสงสัย
“อ้ายเพชรอันนั้นมันบ่แม่นกบ” (พี่เพชรอันนั้นมันไม่ใช่กบ)
“แล้วมันคืออีหยังล่ะ” (แล้วมันคืออะไรล่ะ) อีกคนที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยเอ่ยถามสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย แต่พอเห็นพระพายก้มมองลงไปข้างล่างเพชรจึงเลื่อนสายตามองตามลงไป
ก่อนจะเห็นมือตัวเองอยู่กลางหว่างขาของพระพายพอดี เพชรจึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อรับรู้ว่าสิ่งที่เขาจับแล้วบีบขยำเมื่อสักครู่มันไม่ใช่กบที่อยู่ตามทุ่งนาแต่เป็นกบที่ติดตัวพระพายมาตั้งแต่เกิด
พอเห็นแบบนั้นเพชรถึงกับทำตัวไม่ถูก พอได้สติเขาก็รีบดึงมือออกแล้วเงยหน้ามองพระพายอีกครั้งก่อนจะรีบเอ่ยขอโทษคนที่อยู่ด้านหน้าออกไปทันที
“อ้ายขอโทษ อ้ายบ่ได้ตั้งใจเห็นมันใหญ่ ๆ นุ่ม ๆ คือกัน บ่คิดว่าสิเป็น…” (พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจเห็นมันใหญ่ ๆ นุ่ม ๆ เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะเป็น…)
“บ่ต้องเว้าแล้ว” (ไม่ต้องพูดแล้ว) พระพายรีบดันตัวลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก เพราะเธอไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรเมื่อจู่ ๆ ก็โดนคนที่แอบชอบจับน้องสาวแบบนี้ พระพายยืนนิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเลือกเดินกลับไปยังรถจักรยานทันที
ทางด้านเพชรเองก็ทำตัวไม่ถูกยิ่งไปกว่านั้นคือไม่รู้ด้วยว่าพระพายจะโกรธเขาหรือเปล่าที่ไปจับของรักของหวงเธอแบบนั้น แต่พอเห็นพระพายเดินไปยังรถจักรยานเพชรก็รีบลุกขึ้นคว้าตาข่ายแล้วเดินตามพระพายไปทันที
“อีหล่าโกรธอ้ายเบาะ” (พายโกรธพี่เหรอ)
“บ่” (ไม่)
“บ่ได้โกรธแล้วย่างหนีอ้ายเฮ็ดหยัง” (ไม่ได้โกรธแล้วเดินหนีพี่ทำไม)
“…” พระพายเลือกที่จะเงียบเพราะไม่รู้ว่าจะตอบออกไปอย่างไง ในหัวของเธอยังคงฉายภาพตอนที่เพชรบีบขยำน้องสาวไม่หยุดจนเขินอายไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
“อ้ายบ่ได้ตั้งใจจะจับ…” (พี่ไม่ได้ตั้งใจจะจับ…)
“อ้ายเซาเว้าได้แล้วหนูบ่ได้โกรธอีหยัง” (หยุดพูดได้แล้วหนูไม่ได้โกรธอะไร) เพราะไม่อยากให้เพชรพูดย้ำถึงเรื่องเมื่อสักครู่ พระพายจึงรีบพูดตัดบทไปทันที จากนั้นขาเรียวยาวก็เดินไปยังรถจักรยานต่อ ส่วนเพชรก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรเดินตามเธอไปเงียบ ๆ กระทั่งถึงรถจักรยาน
“อ้ายสิจับกบต่อบ่หรือสิกลับเลย” (พี่จะจับกบต่อไหมหรือจะกลับเลย)
“กลับเลยกะได้ แต่อ้ายชนะแม่นบ่?” (กลับเลยก็ได้ แต่พี่ชนะใช่ไหม?) คนห่วงไม่ได้กินเหล้าถามย้ำอีกครั้ง พระพายได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“คั่นย่านบ่ได้กินปานนั้น เดี๋ยวหนูซื้อให้กินฟรี ๆ กะได้” (ถ้ากลัวไม่ได้กินขนาดนั้น เดี๋ยวหนูซื้อให้กินฟรี ๆ ก็ได้)
“บ่ปฏิเสธครับ” (ไม่ปฏิเสธครับ) พระพายได้แต่กลอกตามองบน จากนั้นทั้งสองก็พากันกลับบ้าน ตลอดระยะทางไร้ซึ่งเสียงพูดคุยเหมือนเคย กระทั่งจักรยานคันเก่าปั่นมาถึงหน้าบ้านเรือนไทยหลังใหญ่เงียบสงัดก่อนที่เพชรจะหยุดรถหน้าบ้านแล้วหันไปถามน้องสาวเพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กด้วยสายตาเป็นห่วง
“อยู่ผู้เดียวได้บ่?” (อยู่คนเดียวได้ไหม?)
“บ่ฮู้ ก็คงได้ล่ะมั้ง” (ไม่รู้ ก็คงอยู่ได้แหละมั้ง) ถึงคนตัวเล็กที่ดูเก่งกล้าไปซะทุกเรื่องจะพูดแบบนั้นแต่เพชรก็ไม่กล้าปล่อยให้พระพายอยู่บ้านคนเดียวอยู่ดี ร่างสูงยืนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยบอกคนที่นั่งซ้อนจักรยานอยู่ทางด้านหลังออกไป
“ไปนอนเฮือนอ้ายบ่?” (ไปนอนบ้านพี่ไหม?) หากจะให้เขามานอนที่บ้านเธอก็เกรงว่าชาวบ้านจะมองไม่ดีหากรู้ว่าชายหนุ่มหญิงสาวนอนที่บ้านตามลำพังกันสองต่อสองแบบนี้ เพชรจึงชวนพระพายไปนอนบ้านของเขาแทนเพราะอย่างน้อยที่บ้านก็ไม่ได้มีแค่เขาอยู่คนเดียวยังมีพ่อแม่ของเขาอยู่ด้วย
ทางด้านพระพายเมื่อได้ยินคำชวนของอีกคน ในใจก็อยากจะตะโกนตอบออกไปทันทีว่าไป ไปสิ ไปเลย จะรออะไรล่ะ แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้เพราะไม่อยากให้อีกคนมองออกว่าเธออยากไปนอนบ้านเขาจนตัวสั่นขนาดนั้น…
“แล้วแม่อ้ายสิบ่ว่าหยังติ” (แล้วแม่พี่จะไม่ว่าอะไรเหรอ) ทั้งที่ตัวเธอเองก็รู้จักพ่อแม่ของเพชรเป็นอย่างดีและรู้ดีว่าท่านทั้งสองคงไม่ว่าอะไรหรอกแต่ก็อยากถามไปยังงั้นแหละ
“สิว่าเฮ็ดหยัง บ่ได้เฮ็ดอีหยังผิด” (จะว่าทำไม ไม่ได้ทำอะไรผิด)
“คั่นบ่ว่าหยัง หนูไปนอนบ้านอ้ายกะได้” (ถ้าไม่ว่าอะไร หนูไปนอนบ้านพี่ก็ได้)