ทุกครั้งที่นึกถึงการเข้ารับช่วงดูแลบริษัทต่อจากบิดา ทิราภาไม่เคยนึกจะได้ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดเพราะบิดาจากไป คิดแค่บิดาแก่ตัวลงเท่านั้น
เธอจำความรู้สึกเมื่อครั้งสูญเสียมารดาไม่ได้ด้วยความที่ยังเล็กนัก แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดถ้าต้องสูญเสียพ่อไปอีกคน
ในชีวิตของเธอไม่มีใครอีกแล้วนอกจากบิดา ถ้าท่านจากไปในเร็ววัน หรือแม้สักสิบ-ยี่สิบปีข้างหน้า เธอยังนึกไม่ออกว่าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร
เมื่อครั้งจากบ้านไปไกลเพื่อศึกษาต่อ เธอเหงาอย่างที่เด็กรุ่นสาวคนหนึ่งจะเหงาได้ แต่ก็ตัดสินใจว่าต้องไป เพราะอยากทดสอบความเข้มแข็งของตัวเอง ว่าจะอยู่ได้มั้ยหากต้องอยู่ห่างบิดา
เธออยู่ได้ แต่ก็คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อที่เคยเห็นหน้ากันทุกวันใจแทบขาด ถ้าต้องจากตาย...ไม่อยากคิดเลยว่าจะเศร้าและรู้สึกเปลี่ยวดายเพียงใด
แต่ทว่าขณะนี้คนที่เธอรัก และอยากให้อยู่ด้วยไปตลอดชีวิต กำลังทำให้เธอทั้งโมโห น้อยใจและขัดเคืองใจเป็นที่สุด
เพราะนายภานนท์นั่นเชียว!
ตั้งแต่เขาโผล่มาก็ดูเหมือนว่าบิดาของเธอจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ จนบางครั้งแทบจะหลงลืมลูกสาวคนเดียว อย่างกับว่าจู่ๆ ก็ได้ลูกชายสมใจ แทนที่จะเป็นแค่ผู้ช่วยทำงาน ซึ่งเธอไม่เห็นว่านายนั่นจะทำงานอะไรจริงจังนอกจากคอยติดตามบิดาของเธอไปโน่นมานี่
จริงๆ นะ คนอะไร ขี้ประจบ!
แค่นึกถึงชายหนุ่มร่างสูงล่ำสันเยี่ยงชายวัยฉกรรจ์ที่ไม่เคยห่างหายจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีมัดกล้ามโชว์สาวๆ ได้ไม่อาย ทิราภาก็แทบจะกัดฟันกรอดๆ
เธอไม่ยอมรับแม้กับตัวเอง ว่าความสนิทสนมความเอื้อเอ็นดูเกินฐานะนายจ้างกับลูกจ้างที่บิดามีให้ชายหนุ่มได้นำมาซึ่งความอิจฉา กระทั่งเกิดความรู้สึกพาลรีพาลขวางขึ้นในใจ
“คนโปรดอะไรที่ไหนกัน หนูละหาความพ่อ”
วาทีแย้งเอื่อยๆ พูดต่อกันไปในประโยคเดียว
“แล้วก็อย่าเอะอะปึงปังนักเลยเราน่ะ”
“หนูไม่ได้เอะอะปึงปัง”
คนถูกหาว่าเอะอะปึงปังเถียง
“หนูแค่แสดงความไม่ชอบใจ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งออกมาก็เท่านั้น แล้วทั้งหมดนี้ก็เพราะการตัดสินใจปุบปับไม่ยอมถามความคิดเห็นของหนูแม้แต่สักคำของคุณพ่อนั่นแหละ”
“ที่พ่อไม่ถามเพราะรู้ว่าหนูคงไม่ยอม...”
“แน่ล่ะค่ะ หนูต้องไม่ยอมอยู่แล้ว”
เสียงมีกังวานใสขัดขึ้นก่อนบิดาจะทันกล่าวจบประโยค
“เมื่อบอกจะให้หนูเป็นคนนำเอกสารสำคัญส่งให้ถึงมือมิสเตอร์คีเวลล์ที่ตอนนี้เดินทางมาพักผ่อนตากอากาศที่ภูเก็ต คุณพ่อไม่ได้พูดสักคำว่าจะให้หนูมีพี่เลี้ยงตามประกบ แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ หรือเห็นว่าหนูไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานเล็กน้อยแค่นี้ได้สำเร็จลุล่วงโดยลำพัง”
“ไปกันใหญ่แล้ว ใจเย็นๆ” ผู้เป็นพ่อพยายามทำเสียงปะเหลาะประโลม “ทำหน้าตาถมึงทึงอย่างนั้นไม่เห็นจะสวย”
“อย่ามาพยายามพาหนูออกนอกเรื่องอีกคนหน่อยเลยค่ะ”
เสียงขัดขึ้นฟังว่าขัดอกขัดใจ
“หนูต้องการรู้เหตุผล ทำไมกะอีแค่เดินทางไปพบว่าที่ลูกค้าที่ภูเก็ตแค่เนียะหนูถึงจะไปคนเดียวไม่ได้”
“ขอพ่อถามก่อนละกัน ที่ทำหนูเดือดดาลนักหนาอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่เพราะจะมีคนไปด้วยหรอกใช่มั้ย”
“ก็แล้วทำไมจะต้องมีใครไปด้วยล่ะ?”
“หนูกำลังตอบคำถามด้วยการตั้งคำถาม”
“ก็คงอย่างเดียวกับที่คุณพ่อกำลังทำอยู่นั่นแหละ”
วาทีลูบคางที่ดูเกลี้ยงเกลาไร้หนวดเครา
“เอาล่ะ พ่อเข้าใจแล้ว ที่หนูมาโวยวายทำหน้าบึ้งหน้างอใส่พ่อประเด็นไม่ได้อยู่ที่การมีคนติดตาม แต่อยู่ที่คนติดตามเป็นใคร”
“ดีใจจังในที่สุดคุณพ่อก็เข้าใจซะที” อดไม่ได้ที่จะทำเสียงประชด “และหนูก็อยากให้เข้าใจต่ออีกนิด หนูโตพอที่จะดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องมีพี่เลี้ยงคอยตามประกบ”
“พ่อน่ะเข้าใจถูก แต่ดูเหมือนหนูนั่นแหละจะกำลังเป็นฝ่ายเข้าใจผิด”
วาทียังคงใช้น้ำเสียงราบเรียบ
“เข้าใจผิดยังไงคะ ก็หนู...”
“ที่พ่อให้ภานนท์ไปกับหนู” วาทีขัดก่อนบุตรสาวจะทันจบประโยคโต้แย้ง “ไม่ใช่เพื่อทำหน้าที่พี่เลี้ยง แต่ไปในฐานะผู้ติดตามเผื่อจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น”
“เรื่องไม่คาดฝันอะไรคะ?”
“ถ้าพ่อบอกได้มันก็คงไม่ใช่เรื่องไม่คาดฝันน่ะสิ”
เห็นบุตรสาวเม้มปากอย่างขัดเคืองใจจึงกล่าวติดต่อกันไป
“ภานนท์อาจจะเข้ามาทำงานได้ไม่นานนัก แต่พ่อก็เชื่อในความสามารถ อย่าเพิ่งค้าน ขอพ่อพูดให้จบก่อน ที่พ่อเห็นว่าจำเป็นในเรื่องนี้ก็เพราะเวลานี้มิสเตอร์คีเวลล์ไม่ได้อยู่ที่ภูเก็ตแล้ว”
“ไม่ได้อยู่ภูเก็ต? แล้วอยู่ไหน หรือว่าบินกลับอเมริกาไปแล้ว?”
ทิราภายังไม่เคยเจอ และไม่รู้จัก มิสเตอร์ โกเลโอ คีเวลล์ ทราบจากบิดาเพียงว่า มิสเตอร์คีเวลล์เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน เวลานี้ได้เดินทางมาพักผ่อนตากอากาศที่ภูเก็ต เลยจะถือโอกาสนี้จัดการเรื่องสัญญาการค้าที่ได้เจรจาพูดคุยกันทางโทรศัพท์กับบิดาของเธอมาเป็นระยะเวลาหนึ่งกระทั่งบรรลุถึงข้อตกลงให้เรียบร้อย
แต่เนื่องจากว่าที่คู่ค้ารายใหม่ล่าสุดของรัตนกิจ อุตสาหกรรมรายนี้ ไม่คิดจะเข้ากรุงเทพฯ จึงเป็นหน้าที่ของทางรัตนกิจฯ ที่จะเป็นเป็นฝ่ายนำเอกสารสัญญาต่างๆ ไปให้คีเวลล์ตรวจสอบและลงนามที่ภูเก็ต ถือเป็นการพบกันครึ่งทางที่รัตนกิจฯ เต็มใจและยินดีอำนวยความสะดวก