ก็อย่างนี้ทุกที ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอหลุดจากภาวะควบคุมตัวเองได้เกือบทุกครั้งที่เผชิญหน้ากัน เพราะอย่างนี้ไงเธอถึง...ไม่ชอบเขาเลย
“ข้อยกเว้นที่ว่าความสวยของผู้หญิงมักจะแปรผันกับระดับมันสมองยังไงล่ะครับ”
“ความคิดเห็นของพวกอวดฉลาด แถมหลงตัวเอง” ว่าอย่างหมั่นไส้
“รอให้คุณหนูกะทิหลงก็ไม่ยอมหลงสักทีนี่ครับ ผมเลยต้องหลงตัวเองไปพลางๆ”
“นายภานนท์!”
‘คุณหนูกะทิ’ แทบจะตัวสั่นเทิ้มเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตากะลิ้มกะเหลี่ย
แต่ก่อนจะเผลอลืมตัวเต้นแร้งเต้นกา ก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังถูกพาออกนอกเรื่อง
ฉลาดนักนะนาย!
“ไม่ต้องกระโดดไปเรื่องอื่นเลย บอกมาคำเดียวว่านายจะไม่ไปภูเก็ตกับฉันเท่านั้นพอ”
“นั่นตั้งหลายคำนะครับ คำเดียวที่ไหน แล้วผมก็พูดไม่ได้หรอก บอกแล้วเหมือนกันผมยังไม่อยากตกงาน”
“สรุปว่าดึงดันจะไปกับฉันให้ได้?”
“ไม่ใช่ดึงดัน ผมแค่ทำตามคำสั่งนายจ้าง ขอให้เข้าใจให้ถูกต้องด้วยครับ คุณหนูกะทิ”
“พูดกับนายคงไม่มีวันไม่รู้เรื่อง ฉันไปพูดกับคุณพ่อเองก็ได้”
“ควรทำอย่างนั้นตั้งแต่แรกแล้วแทนที่จะทำให้เสียเวลาทั้งผมทั้งคุณไปเปล่าๆ”
“ย่ะ! พ่อคนเวลาเป็นเงินเป็นทอง ยังไงก็อย่านั่งเล่นเกมเพลินจนลืมทำงานให้คุ้มค่าจ้างละกัน บอกตรงๆ ตั้งแต่คุณพ่อรับนายมาร่วมงาน ฉันก็ไม่เคยเห็นนายทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับบริษัทอย่างจริงๆ จังๆ สักอย่าง”
เห็นเขาอมยิ้มมองเธอด้วยดวงตาฉายแววขันยิ่งขึ้น ทิราภาก็ยิ่งหงุดหงิด แต่จะยืนชวนทะเลาะต่อ เขาอาจจะยิ่งเห็นเธอเป็นเด็ก อย่างที่เขามักจะชอบหลอกล้อ จึงหมุนตัวกระแทกเท้าบนรองเท้าส้นสูงกลับออกประตูไป ไม่ลืมกระชากประตูปิดตามหลังดังปัง
ไม่ถึงห้านาที ร่างโปร่งอรชรก็กระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของบิดา หลังจากพูดยืดยาวถึงความต้องการของตน
“หนูไม่มีวันเดินทางร่วมกับนายนั่นเด็ดขาด!” นั่นคือคำสรุปตบท้าย
ถึงตอนนี้นอกจากหน้านวลผ่องจะบึ้งตึง เนียนแก้มทั้งสองข้างยังก่ำกว่าปกติ กระทั่งริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อก็ยื่นน้อยๆ บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวกำลังขัดอกขัดใจอย่างยิ่ง
“พูดไม่เพราะเลยเรา เรื่องอะไรเที่ยวได้จิกเรียกคนอื่นนายนั่นนายนี่ ชื่อเขามีก็เรียกชื่อเขาสิ”
ผู้เป็นพ่อทำเสียงตำหนิ แต่สีหน้าแววตาขณะมองหน้างอง้ำยังเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ที่มีต่อบุตรสาวกำพร้าแม่คนเดียวของเขา
“ผู้ช่วยคนโปรดแตะไม่ได้เลยนะคะ”
อดเหน็บไม่ได้ แม้จะยอมรับว่าตนแสดงอารมณ์มากไปหน่อย
ปกติก็ไม่มีนิสัยเที่ยวอาละวาดวีนคนนั้นหาเรื่องคนโน้นหรอกนะ
ยิ่งพูดถึงคนอื่นเหมือนจะกดต่ำยิ่งไม่เคยใหญ่ กระทั่งผู้ชายคนนี้โผล่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเธอนี้แหละ
ทิราภารู้ว่าบิดาปรารถนาจะมีบุตรชายสักคนเพื่อสืบสกุลและรับช่วงดูแลกิจการงานบริษัทต่อเมื่อเขาแก่ตัวลง แต่ความต้องการของเขาไม่เคยสมหวังเมื่อภรรยามาด่วนจากไปด้วยโรคมะเร็งร้ายขณะบุตรสาวอายุได้เพียงห้าขวบ
บิดาของหล่อนไม่ได้แต่งงานใหม่แม้เวลานั้นอายุเพิ่งจะสามสิบต้นๆ
ในฐานะบุตรสาวเธอรับรู้ถึงชีวิตรักฉาบฉวยของบิดาประสาชายที่ยังไม่คิดจะตัดขาดจากกิเลส ยังมีอารมณ์ความต้องการเยี่ยงผู้ชายปกติทุกคน
เธอไม่คิดจะตำหนิบิดาแต่อย่างใด รู้สึกด้วยซ้ำว่าบิดาได้เสียสละเพื่อเธอ
แทนที่แต่งงานใหม่เพื่อจะได้มีคู่คิดคู่เคียง แต่กลับเลือกมีความสัมพันธ์ชั่วครั้งคราวเงียบๆ ไม่คิดยกฐานะผู้หญิงคนไหนขึ้นแทนที่ภรรยาที่ล่วงลับ
ทิราภาโตมากับบิดาอย่างจริงๆ แม้จะมีพี่เลี้ยง แต่วาทีก็ดูแลลูกสาวน้อยของเขาอย่างใกล้ชิด ไม่เคยให้หน้าที่การงานมามีอำนาจเหนือบทบาทความเป็นพ่อ
ถึงว่าเขาจะทำงานหนักเพื่อฐานะที่มั่นคง แต่ก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยลูกกำพร้าแม่ของเขา พ่อ-ลูกจึงมีความสนิทสนมกันยิ่งกว่าพ่อลูกคู่อื่นๆ ทั่วไป เพิ่งมาห่างกันไปบ้างด้วยระยะทางก็ในช่วงผู้เป็นลูกไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แต่ในแง่ความรู้สึกความผูกพันที่มีต่อกันก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
วาทีไม่ได้เลี้ยงลูกแบบตามใจตะพึด ถึงว่าเขาจะรักลูกปานแก้วตา แต่ก็ไม่เคยขัดใจบุตรสาว
ทั้งนี้อาจจะเป็นได้ว่าทิราภาไม่เคยขออะไรเหลวไหล เธอทำตัวดีชนิดที่เด็กมีแม่คอยอบรมสั่งสอนบางคนอาจจะทำได้ไม่ถึงครึ่ง
ช่วงที่ต้องอยู่ห่างไกลสายตาบิดาเป็นเวลาแปดปีเต็มในประเทศเสรีเกือบจะทุกด้าน โดยเฉพาะเรื่องเซ็กส์ ที่วัยรุ่นอเมริกันส่วนใหญ่เห็นเป็นเรื่องปกติที่จะมีแฟนตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่ เสียความบริสุทธิ์ในงานพรอม แต่ทิราภาก็ไม่เคยเอาเยี่ยงอย่าง ทั้งที่วัยขณะนั้นถือว่าอยู่ในช่วงวัยรุ่น
สิ่งที่เธอทำคือตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียวจริงๆ เพื่อนที่คบหาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมถึงขั้นนับเป็นเพื่อนสนิท
ความแน่วแน่ส่งให้เธอเรียนจบด้วยคะแนนสูงเป็นดับสองของรุ่น โดยไม่เคยหยุดคิด ถึงจะเรียนเก่งแต่ในเรื่องเพศตรงข้ามเธออ่อนหัดพอๆ กับเด็กชั้นประถมต้น ดีกว่าเด็กอนุบาลขึ้นมาหน่อย ที่รู้ก็เป็นเพียงทฤษฎี ภาคปฏิบัติไม่เคยเฉียดเข้าใกล้
ความมุ่งมั่นตั้งใจเดียวของเธอคือเก็บเกี่ยววิชาความรู้ใส่ตัวให้มากๆ เพื่อจะได้กลับมาช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่การงานจากบิดา ซึ่งก็ต้องเริ่มศึกษาไต่เต้าไปเรื่อยๆ เพื่อว่าวันหนึ่งความรู้ความสามารถจะมากพอสำหรับให้เข้ารับช่วงดูแลกิจการบริษัทเมื่อบิดาแก่ตัวลง