“ยังอยู่เมืองไทยนี้แหละ” วาทีตอบคำถามบุตรสาว “เพียงแต่ได้ย้ายจากโรงแรมในภูเก็ตไปอยู่เกาะเล็กๆ เกาะที่ว่านี้ก็ไม่ได้อยู่ในเส้นทางเดินเรือปกติเพราะไม่ใช่สถานที่ตกอากาศที่ผู้คนนิยม การจะเดินทางไปที่เกาะต้องเช่าเหมาเรือไปกลับใช้เวลาหลายชั่วโมง การย่นระยะเวลาในการเดินทางให้เร็วขึ้นทำได้ด้วยการเช่าเครื่องบินน้ำไปแทนเรือ จะไปเครื่องบินธรรมดาไม่ได้ บนเกาะไม่มีสนามบินสำหรับให้เครื่องบินลงจอด”
ทิราภาทราบว่าเครื่องบินน้ำที่บิดาพูดถึง คือ ซี เพลน เป็นอากาศยานปีกตรึงที่สามารถนำเครื่องขึ้นและลงจอดบนน้ำได้
“แต่ไม่ว่าจะเลือกไปทางไหน” เห็นบุตรสาวเงียบวาทีจึงพูดต่อ “พ่อเห็นว่าล้วนแต่ไม่เหมาะที่จะให้ลูกสาวของพ่อเดินทางตามลำพัง”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ถึงจะอึ้งไปกับเหตุผลสมควรที่บิดายกมา แต่ก็อึ้งไม่นาน
“ถึงอย่างนั้นก็จำเป็นหรือคะที่คนไปกับหนูต้องเป็น...ผู้ชายคนนั้น สงสัยได้ตายกันไปข้างหนึ่งก่อนถึงเกาะบ้านั่นแน่ๆ”
ตอนท้ายบ่นอุบด้วยเสียงเบาลง แต่ดูเหมือนบิดาจะยังได้ยิน
“ผู้ชายคนนั้นชื่อภานนท์” วาทีพูดเนิบๆ “แล้วที่บอกว่ามีหวังได้ตายไปข้างหนึ่งนี่ สงสัยจะเป็น...ผู้ชายคนนั้นสินะที่ต้องตาย ในเมื่อลูกสาวของพ่อเก่งกล้าเหลือเกินนี่”
“คุณพ่อล้อหนู!”
หน้าสวยๆ หักงอลงไปอีก แต่แล้วก็หัวเราะคิกออกมา ส่งให้ดวงตาคู่งามฉายแววขุ่นเคืองหยกๆ เปล่งประกายระยับวับวาวราวเจ้าตัวแวะเก็บดาวมาพักไว้ที่ดวงตา
“พ่อดีใจที่ลูกสาวพ่อยังมีอารมณ์ขันเหลืออยู่บ้าง”
“ก็ชักจะเหลือน้อยลงทุกทีแล้วล่ะค่ะเมื่อคิดว่าการไปในฐานะตัวแทนคุณพ่อคราวนี้มี...เอ่อ ผู้ช่วยคนโปรดของคุณพ่อไปด้วย”
“พ่อไม่เข้าใจจริงๆ”
“ไม่เข้าใจอะไรคะ”
“ที่หนูไม่ชอบภานนท์เอาจริงๆจังๆ น่ะสิ”
“โอ๊ย! ใครที่ไหนจะไปชอบลงคนพรรค์นั้น”
“จะพรรค์นั้นหรือพรรค์ไหนพ่อไม่รู้หรอกนะ” วาทีพูดขันๆ “รู้แต่ว่าสาวๆ ในบริษัทนี้เห็นคนพรรค์นั้นของหนูเป็นชายหนุ่มที่น่าฝันถึงกันทั้งนั้น”
“ฝันร้ายน่ะสิคะ!”
ทิราภากระแทกเสียง ยิ่งบิดาทำท่าชื่นชมชายหนุ่มคู่อริออกนอกหน้านอกตาก็ยิ่งหงุดหงิด
“หนูพูดอย่างกับว่าภานนท์เต็มกลืนจนไม่มีใครอยากแลงั้นแหละ”
วาทีพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะขบขันระคนเอ็นดูกับการตั้งป้อมเป็นศัตรูกับชายหนุ่มของบุตรสาว
“อันที่จริง พ่อว่ารูปร่างหน้าตาภานนท์ไม่เลวนะ ไปสมัครเป็นดารานักแสดงรับเล่นหนังเล่นละครได้สบายๆ”
“เล่นบทอะไรคะตัวยังกับตึก หน้าตาก็งั้นๆ”
พูดออกไปแล้วทิราภาก็ทราบว่าตนพูดไม่จริง
คนที่เธอบอกบิดาว่า ‘หน้าตางั้นๆ’ หากไม่ขวางหูขาวางตาด้วยอารมณ์ลึกเร้นส่วนตัว ก็ต้องยอมรับว่าผู้ช่วยคนล่าสุดของบิดา ภายใต้หน้าที่ไม่เด่นชัดว่าเป็นผู้ช่วยด้านไหน เพราะงานหลักดูเหมือนจะคอยติดตามบิดาของเธอไปโน่นมานี่ราวกับบอดี้การ์ดเสียมากกว่า เป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาคมสันสะดุดตาอย่างเอกอุ เมื่อบนใบหน้าเรียวแต่ปลายคางออกเหลี่ยมดูบึกบึน ประกอบด้วยจมูกโด่งขึ้นสันงาม ริมฝีปากปากหยักได้รูปตึงเต็มเวลาคลี่ออกจากกันในอาการที่เรียกว่ายิ้ม สามารถทำเอาสาวๆ ตาปรอยไปเป็นแถว สาวบางคนถึงออกอาการหน้าแดงประกอบแววตาอ่อนเชื่อม เนื้อตัวบิดไปบิดมาเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก เมื่อถูกทักทายพร้อมกับรอยยิ้มเก๋
พูดถึงรูปร่างที่เธอบอกกับบิดาว่าตัวยังกับตึก ก็ไม่ถึงขนาดนั้น ด้วยความสูงไม่ต่ำกว่าหกฟุต น้ำหนักไม่น่าจะถึงเก้าสิบกิโลกรัม ถึงว่าจะประกอบด้วยไหล่กว้าง แต่เขาก็ยังดูเพรียวมากกว่าล่ำบึกจนดูเทอะทะ
แต่บนความสูงเพรียวนั้น คนตาไม่บอดต้องมองเห็นมัดกล้ามในที่ทางอันควร ราวกับว่าเจ้าตัวไม่เคยห่างหายจากยิม
ยังนัยน์ตาสีแปลกไปจากสีนัยน์ตาคนไทยส่วนใหญ่นั่นอีก ไม่ใช่สีดำหรือสีน้ำตาลไม่ว่าเฉดไหนอ่อนหรือแก่ แต่เป็นสีน้ำเงินเข้มจัดๆ เหมือนสีท้องฟ้าในยามค่ำคืน ล้อมรอบด้วยขนตาดกหนาแถมยาวงอนให้เธอแอบอิจฉาคู่นั้น...มากกว่าหนึ่งครั้งความคมของมันเหมือนจะกรีดลึกลงในเนื้อในหนังเธอ อาจบาดถึงขุมวิญญาณของเธอให้เหวอะหวะหากไม่รีบเมินหลบ
และนั่นเองที่ทำให้เธอหงุดหงิด เพราะเคยหรือที่คนอย่างทิราภาคนนี้จะหลบตาผู้ชายคนไหนมาก่อน
แม้กระทั่งต้นขาแข็งแรงทั้งคู่ก็...
ทิราภาหน้าร้อนวูบวาบ เพียงแค่เผลอตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาแวบหนึ่ง
ถ้าขาแข็งแรงคู่นั้นแนบกระหวัดรัดเกี่ยวเกาะเข้ากับขาเรียวของเธอในสภาพเปลือยเปล่าจะให้ความรู้สึกอย่างไรหนอ
บ้า! เธอบ้าไปแล้วยายทิ ทำไมจะต้องคิดบ้าๆ ด้วยนะ ก็เกลียดเขาไม่ใช่หรือ
“ยายหนู...ทิราภา”
“คะพ่อ?”
หญิงสาววัยยี่สิบหกพาตัวเองออกจากห้วงคำนึง
รู้ตัวว่าเผลอปล่อยตัวจมสู่ภวังค์เงียบๆ จนจับคำไม่ได้ว่าบิดาพูดอะไรด้วย ทำให้ยิ่งพาลโมโหคนที่ทำให้ใจคอวอกแวกจากบทสนทนาเพิ่มขึ้น
“คิดอะไรอยู่ลูก”
“คิดถึง...เรื่องเดินทางไปพบมิสเตอร์คีเวลล์น่ะค่ะ”
โกหกคนเป็นพ่อแค่นี้คงไม่ถึงกับบาป
ก็ใครจะไปบอกได้ล่ะ ว่ากำลังคิดถึงผู้ชายคนที่ตนเคยบอกบิดาว่าศรศิลป์ไม่กินกัน และยังแสดงออกมากมายมาตลอดถึงความไม่ชอบขี้หน้าเขา