รุธิรายืนอยู่ตรงขอบเตียงผู้ป่วยพร้อมดวงตาปริ่มหยาดน้ำตา สาวน้อยดูเหมือนจะร้องไห้ได้ตลอดเวลาเพราะสภาพของย่าเธอตอนนี้แลดูอเนจอนาถเหลือแสน
หญิงชราวัย 70 กว่าเนื้อตัวเหี่ยวย่น ผมสีขาวดูแห้งกรอบ ร่างกายเล็กผอมบางหนังแทบติดกระดูก ตามตัวมีสายเจาะน้ำเกลือระโยงระยางแทรกตามร่างบวกกับท่อส่งออกซิเจนที่สอดเข้าไปในจมูกขณะที่หญิงชรากำลังหลับใหลทำให้เธอดูคล้ายใกล้ตายเต็มที
“อย่างน้อยคุณย่าก็ยังมีโอกาสฟื้นใช่ไหมคะ? คุณย่ายังมีลมหายใจอยู่ ตัวก็ยังอุ่นอยู่ ดูสิคะ คุณย่าเหมือนหลับไปแค่นั้นเอง” รุธิราเอื้อมมือน้อยไปลูบมือเหี่ยวย่นของหญิงชราด้วยความรักใคร่ สาวน้อยฝืนยิ้มให้กำลังใจตัวเองเหมือนที่เคยทำเสมอมา
“หมอบอกว่าถึงฟื้นขึ้นมาก็มีโอกาสนอนติดเตียงสูงมาก คุณนิดาอายุมากแล้ว ทำกายภาพบำบัดอาจช่วยได้บ้างแต่จะให้เดินเหินเหมือนเดิมก็คงยาก ค่าดูแลรักษาอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะสักล้านสองล้าน” ธนบัตรบอกเด็กสาวเสียงขรึม
รุธิราน้ำตาร่วงเผาะ ๆ ทันทีเมื่อได้ยินคำบอกเล่าที่ไม่ได้ทำให้ใจเธอฟูขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ปกติทั้งธนบัตรและชนกชนไม่ใช่คนแพ้น้ำตาผู้หญิง เพราะไม่ว่าผู้หญิงจะร้องไห้ตอนพวกเขาจากไปสักกี่คนพวกเขาก็ไม่สนใจไยดีแต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด พอเห็นรุธิราน้ำตาไหลพวกเขากลับร้อนใจขึ้นมา
อาจเป็นเพราะเธอดูยิ้มง่าย... อาจเป็นเพราะเธอดูบอบบางจนพวกเขาเกรงเธอจะขาดใจตายหากต้องเสียน้ำตา... แต่สักวันพวกเขาเองต่างหากที่จะเป็นคนทำให้เธอเสียน้ำตา ถ้าเป็นแบบนั้นจะสนใจน้ำตาของลูกสาวนายรวี รวีไวย์ไปทำไม?
“หยุดร้องเถอะน้อง คุณนิดาคงไม่อยากให้น้องต้องเศร้าใจ น้องเอาเวลาที่ร้องไห้ไปคิดดูดีกว่าจะจัดเวลามาดูแลย่าตัวเองยังไง จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล” ชนกชนเป็นฝ่ายบอกสาวน้อย คำพูดอาจไม่หวานหูเหมือนหน้าตา แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการปลอบใจจากเขาแล้ว
รุธิราสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้ง แล้วพยายามกลั้นน้ำตาก่อนจะยกหลังมือขึ้นมาเช็ดหยาดน้ำตาที่อาบแก้ม
“ฮึก! ฮึก! เรื่องดูแลคุณย่าไม่น่าห่วงหรอกค่ะ หนูเรียนใกล้จบแล้ว อีกไม่กี่วันก็สอบ... สอบเสร็จหนูจะย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ โรงพยาบาลแล้วมาดูแลคุณย่าเอง แต่เรื่องเงินค่าโรงพยาบาล... พวกพี่บอกคุณย่าขายบ้านรวีไวย์ให้พวกพี่ ขายเท่าไหร่คะ? จ่ายเงินให้คุณย่าไปหรือยังคะ? หนูใช้เงินส่วนนั้นมาจ่ายค่าโรงพยาบาลได้ไหมคะ?” รุธิราสะอื้นน้อย ๆ แล้วถามพวกเขาเสียงสั่น
“คือ... เร้ดครับ บ้านหลังนั้นพวกพี่ไม่ได้ซื้อ” ธนบัตรเอ่ยเสียงขรึมขึ้นมาก่อน
“พวกพี่ไม่เคยบอกน้องสักคำว่าซื้อ ตอนนั้นพี่บอกน้องว่า ‘จะเข้ามาเป็นเจ้าของ’ ไม่ได้บอกว่าจะซื้อ ดังนั้นเรื่องเงินอะไรนั่น... ไม่มีหรอกนะ” ชนกชนพูดต่อเพื่อนรักทันที
“หมะ... หมายความว่ายังไงคะ? ถ้าพวกพี่ไม่ได้ซื้อบ้านแล้วจะเข้ามาเป็นเจ้าของบ้านของคุณย่านิดได้ยังไง?” รุธิราขมวดคิ้วแล้วถาม เสียงสะอึกสะอื้นของเธอหายไปเพราะมีเรื่องใหม่ให้ต้องกังวลต่อ
ธนบัตรกอดอกแล้วจ้องตาสาวน้อยชุดแดงก่อนจะพูดน้ำเสียงเคร่งเครียด
“คุณนิดาติดหนี้ 50 ล้าน เร้ดไม่รู้เลยเหรอครับ? พวกพี่เข้ามาเจรจาต่อรองเรื่องจะยึดบ้านหลังนั้น คุณนิดาน่าจะเครียดมากจนอาการป่วยกำเริบหนักเพราะเรื่องนี้ด้วย”
สองหนุ่มหล่อจับตามองเหยื่อของพวกเขา อยากรู้ปฏิกิริยาของสาวน้อยว่าเธอจะด่าว่าพวกเขาอันเป็นต้นเหตุของอาการป่วยเจียนตายของหญิงชราหรือไม่
“คุณย่าเนี่ยนะคะติดหนี้ 50 ล้าน? พวกเราไม่ได้ใช้เงินกันเยอะแยะมากมายขนาดนั้นเสียหน่อย หนูประหยัดเงินทุกบาททุกสตางค์ ไม่เคยกินหรูอยู่สบาย เก็บเงินไว้เลี้ยงคุณย่าเพราะก็รู้อยู่ว่าเงินของพวกเราไม่มีเหลือแล้ว...” พอพูดถึงตรงนี้รุธิราก็ทำหน้าเศร้า ความเป็นไปได้เรื่องที่คุณย่าติดหนี้หลายล้านเริ่มกระจ่างชัดในหัวสมองมากขึ้น
นายรวี รวีไวย์ผู้เป็นพ่อของรุธิราทำหน้าที่พ่อที่ดีของเธอมาตลอดเวลาห้าปีที่เขาเลี้ยงดูเธอ แต่ระหว่างนั้นเขาก็ล้างผลาญสมบัติของคุณนิดาไปมากโข ที่ดินมากมายถูกลักไปจำนองเพื่อใช้ในการเล่นพนัน ตัวรุธิราเองไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนจนกระทั่งเมื่อเธอเห็นเจ้าหนี้ตามทวงเงินที่พ่อติดไว้ก่อนตายกับคุณย่าตอนเธอเรียนมัธยมต้น
‘ย่าหาเงินมาใช้หนี้พ่อของเร้ดได้ ไม่ต้องกลัว ถึงจะเสียเงินทั้งหมดที่มี แต่สองสิ่งที่ย่าจะไม่ยอมให้เสียไปคือบ้านหลังนี้และเร้ด... บ้านหลังนี้มีกลิ่นอายและความทรงจำของวี พ่อของเร้ดอยู่ ส่วนเร้ด... หนูมีเลือดของวีอยู่ในตัว ดังนั้นหนูจึงสำคัญที่สุดสำหรับย่า’
คุณย่านิดของรุธิราเคยบอกเธอไว้อย่างนั้นและตอนนี้รุธิราก็เริ่มคิดได้แล้วว่าคุณย่าอาจหยิบยืมเงินเพื่อมาไถ่ถอนบ้านสวน ยืมเงินใหม่มาโปะเงินเก่าจนหนี้สินขยายตัวใหญ่โต ไม่มีทางชดใช้ได้หมดสิ้น
“พี่มีหลักฐานอะไรไหมล่ะคะว่าคุณย่าหนูเป็นหนี้ตั้ง 50 ล้าน?” รุธิราเริ่มลังเลใจ
“ความจริงบ้านหลังนั้นคุณนิดายอมเซ็นโอนให้พวกพี่เรียบร้อยแล้ว น้องจะดูโฉนดก็ได้ บ้านหลังนั้นเราตีไว้ที่ 30 ล้าน ส่วนอีก 20 ล้าน...” ชิคพูดขึ้นมาแล้วสบตากับสาวน้อย
“อีก 20 ล้านหนูจะหามาให้ได้ค่ะ! แต่ตอนนี้ขอหนูยืมอีกหน่อยมารักษาคุณย่าได้ไหมคะ?” รุธิราพูดสอดขึ้นมาทันที เสียงของเด็กสาวสั่นคล้ายจะร้องไห้อีกครั้ง
ในเมื่อพวกพี่ ๆ มีเงินให้คุณย่ายืมเป็นสิบ ๆ ล้าน กะอีแค่ให้หนูยืมอีกล้านสองล้าน ขนหน้าแข้งที่ดูน่าจะหนาใช้ได้ของพี่ ๆ สองคนคงไม่ร่วงหรอกมั้งคะ
สาวน้อยประสานมือไว้กลางอก ทำหน้าอ้อนวอน ส่งสายตาน่าสงสารไปให้สองหนุ่มหล่อ
“ถ้าน้องอยากเพิ่มวงเงินกู้อีกสักหน่อยพี่ก็ไม่ว่า... แต่เราต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย เพราะพี่บอกตามตรง พี่ว่าตระกูลรวีไวย์โคตรจะเหนียวหนี้ ถ้าไม่ตามจี้พวกพี่มีแต่จะขาดทุน หรือมึงว่าไงไอ้ธน?” หนุ่มหล่อหน้าสวยหันไปถามเพื่อนรัก
“พี่ว่าพวกเราไปหาที่เงียบ ๆ นั่งตกลงกันเรื่องนี้ดีกว่าครับ พี่ไม่อยากให้คนป่วยได้ยินอะไรแบบนี้ คุณนิดาอาจดูเหมือนหลับอยู่ แต่ใครจะไปรู้... ลึก ๆ คุณนิดาอาจรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาก็ได้” ธนบัตรเสนอเสียงเรียบแล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปเป็นคนแรก
ชนกชนเดินตามหลังเพื่อนออกไป ก่อนจะเอี้ยวตัวกลับมาแล้วบุ้ยใบ้ให้รุธิราเดินตามพวกเขาออกไปด้วย
สาวน้อยย่นคิ้วเข้าชนกัน เธอหันไปมองร่างเล็ก ๆ ดูเปราะบางราวกับกำลังจะแตกสลายของคุณย่า เธอไม่มั่นใจนักว่าชายหนุ่มสองคนที่เธอเพิ่งเจอวันนี้จะเป็นคนดี 100 เปอร์เซ็นต์
แต่อย่างน้อยถ้าพวกเขายอมให้หนูหยิบยืมเงินสักหน่อย... ถึงพวกเขาจะร้ายกับหนูสักนิดหนูก็คงให้อภัย คุณย่าคิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมคะ?
รุธิราลูบหลังมืออันเหี่ยวย่นของคนเป็นย่าก่อนจะตัดสินใจเดินตามหลังสองหนุ่มรูปหล่อออกไป
สาวน้อยไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร เธอรู้แต่ตอนนี้เธอต้องการเงินมารักษาชีวิตของคุณย่านิดให้อยู่กับเธอนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
******************
ในร้านกาแฟเล็ก ๆ ของโรงพยาบาลเอกชนสุดหรูมีแขกหนึ่งโต๊ะที่สาว ๆ ในร้านจับตามองเป็นพิเศษ เพราะแขกโต๊ะนั้นประกอบไปด้วยหญิงสาวตัวเล็กผมยาวมัดรวบสวมชุดแดงหนึ่งคนและชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาถึงสองคน
รุธิราสังเกตได้ว่าไม่ว่าพี่ธนและพี่ชิคเดินไปทางไหน สาวน้อยสาวใหญ่ก็มักจะหันมามองเป็นรอบที่สองเสมอซึ่งไม่น่าจะใช่เรื่องแปลกเพราะพวกเขาหล่อระดับดารา
“นี่เอกสารกู้ยืมฉบับเก่าที่คุณนิดาเคยเซ็นไว้ให้ นี่โฉนดบ้านรวีไวย์ที่คุณนิดาโอนมาให้เป็นชื่อของพี่สองคนแล้ว” หนุ่มหล่อใส่แว่นหยิบกระดาษออกมาจากซองเอกสารที่เขาโทรสั่งให้ไอ้ปอลูกน้องคนสนิทไปหยิบมาให้จากในรถ
ธนบัตรวางเอกสารตัวจริงทั้งสองฉบับไว้ตรงหน้ารุธิรา ให้เวลาเธออ่านและวิเคราะห์ลายเซ็นของคุณย่าตัวเอง
“น้องอ่านเอกสารแล้วคิดว่ายังไง? คิดว่าพวกพี่หลอกน้องไหม?” ชนกชนถามเด็กสาวแล้วยกแก้วฮาเซลนัทคาปูชิโนของเขาขึ้นมาจิบ
“ลายเซ็นคุณย่าจริงค่ะ... แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญกว่าเรื่องที่ว่าหนูสงสัยพวกพี่ไหมคือเรื่องพวกพี่จะให้หนูยืมเงินไหม?” รุธิราถามพวกเขาเสียงหวานพร้อมกับทำดวงตาใสแป๋ว
“เงินไม่กี่ล้านก็พอมีให้หยิบยืม แต่... เร้ดครับ พวกเราไม่ได้สนิทกันหรือเปล่า?” ธนบัตรพูดเสียงเรียบ คำตอบของเขาทำเอาสาวน้อยใจเสีย
“ตะ... แต่... แต่พวกพี่รู้จักคุณย่า แถมยังเคยให้เงินคุณย่ายืมด้วย”
“ก็ตอนนั้นคุณย่าน้องมีหลักประกันเป็นบ้านรวีไวย์ น้องมีแต่ตัวและดูยังไงก็ไม่น่าจะหาเงิน 20 ล้านที่ค้างอยู่บวกกับ... เท่าไหร่นะ? ที่น้องจะยืมพี่กับไอ้ธนเพิ่ม?” ชนกชนถามแล้วแสร้งทำหน้าเครียด
“หนูคิดว่าสัก... สองล้านค่ะ” รุธิราตอบเสียงอ่อย
“เออ นั่นแหละ รวมเป็น 22 ล้าน หลักประกันก็ไม่มี งานการก็ไม่มี เป็นนักศึกษาอยู่ไม่ใช่เหรอเราน่ะ? จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ตั้งมากมาย?” ชนกชนถามต่อ
“ขนาดขายตัว... อย่างหนูก็ไม่น่าจะถึงล้านนะ พี่ว่า” ธนบัตรตอบน้ำเสียงจริงจังแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นมาดันตรงสะพานแว่นด้วยท่าทางครุ่นคิดก่อนจะยกกาแฟไอริชของเขาขึ้นมาจิบ
พอสิ้นคำของหนุ่มแว่นสุดหล่อรุธิราก็มีอันต้องหน้าแดงก่ำ เกิดมาเรื่องพวกนี้ไม่เคยมีในหัวเธอ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอต้องคิดอย่างจริงจัง
แต่พี่ธนบอกว่าแบบหนู ถึงขายตัวก็ได้ไม่ถึงล้าน...
“อย่างหนู... สักแสนจะได้ไหมคะ? ขายหลาย ๆ ครั้งได้ไหมคะ?” สาวน้อยทำปากคว่ำแล้วถามพลางเงยหน้าขึ้นมาสบตาพวกเขาสลับกันไปมา เธออยากให้วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย แต่ตอนนี้มันเลี่ยงไม่ได้จึงได้แต่ตะโกนบอกตัวเองในใจ
มาถึงขั้นนี้ หากจะหาเงินให้เร็วที่สุดก็คงต้องยอมทำอะไรสักอย่างที่ไม่เคยคิดจะทำแล้วไหมหนูเร้ด!