Chapter 1: หนูเร้ดเยี่ยมคุณย่า
แดดร้อนแรงของเขตชานเมืองกรุงเทพฯ ไม่ได้ทำให้สาวน้อยหน้าใสในชุดเดรสผ้าฝ้ายแบบเรียบง่ายสีแดงรู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย มันกลับทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“วันนี้ดีจังเลยนะคะป้า ฝนไม่ตก” สาวน้อยหันไปยิ้มให้กับหญิงสูงวัยที่นั่งอยู่ด้านข้างแล้วลุกขึ้นไปกดออดรถประจำทางที่เสาเพื่อแจ้งความประสงค์ว่าเธอต้องการลงป้ายถัดไป
“จะลงแล้วเหรอหนู? บ้านอยู่แถวนี้เหรอ?” หญิงสูงวัยเอ่ยถาม
เธอนั่งข้างเด็กสาวน่ารักผมยาวเป็นลอนคนนี้มาเกือบสองชั่วโมงตั้งแต่ฝ่าดงรถติดจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิมาจนถึงชานเมืองกรุงเทพฯ และรู้สึกเอ็นดูในความช่างพูดบวกความร่าเริงของหญิงสาวไม่น้อย
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ บ้านคุณย่าค่ะ ตอนเด็ก ๆ หนูก็โตแถวนี้แหละค่ะ แต่พอเข้ามัธยมก็ไปเรียนกรุงเทพฯ อยู่แต่หอในเมือง นานทีปีหนจะกลับมาทีน่ะค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นคุณย่าไปหาที่ในเมืองมากกว่า อ๊ะ! ถึงแล้วค่ะ หนูลงแล้วนะคะ สวัสดีค่ะป้า” รุธิราหันไปยิ้มแล้วตอบคำถามของหญิงแปลกหน้าที่บังเอิญได้นั่งข้างกันมาตลอดทางก่อนจะรีบคว้าถุงผ้า 3-4 ใบที่เธอบรรจุอาหารนานาชนิดไปด้วย
พอรถประจำทางหยุดสนิทที่ป้าย รุธิราก็รีบก้าวขาเรียวลงจากรถ ชุดเดรสทรงหลวมสไตล์ญี่ปุ่นยาวแค่เข่า ตัดกับสีรองเท้าผ้าใบขาวสว่างของเธอ หากใครเห็นภาพสาวน้อยน่ารัก ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนปลิวไปตามลมพร้อมหอบหิ้วของมากมายเดินเข้าซอยไปคงจะนึกสงสาร เพราะเธอเดินท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงแถมยังมีข้าวของพะรุงพะรังทั้งเป้สะพายติดหลังและถุงผ้าอีกหลายใบ แต่หน้าตาของรุธิราดูสุขใจอย่างเป็นที่สุดแม้เหงื่อจะไหลโชกก็ตาม
สาวน้อยเดินไปได้สักพักก็ต้องวางของลงบนพื้นแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบยางรัดผมในกระเป๋าข้างของชุดเดรสออกมารวบผมสลวยของเธอเพราะแดดร้อนรวมถึงเดินเยอะทำให้มันเริ่มฟูและยุ่งเหยิง
“เอาล่ะ! แค่นี้ก็เรียบร้อย มัดผมเสร็จก็เย็นมาอีกหน่อย” สาวน้อยบอกตัวเองแล้วก้มลงหยิบถุงผ้าขึ้นมาหอบหิ้วแล้วเดินไปตามจุดหมายปลายทาง
เวลาผ่านไปราว 15 นาที รุธิราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้ารั้วสูงใหญ่ อาณาเขตบ้านของตระกูลรวีไวย์มันแสนกว้างขวาง ตัวบ้านอยู่ห่างจากรั้วเกือบ 300 เมตร คนทั่วไปเดินคงใช้เวลาอีก 7-8 นาทีกว่าจะเดินถึงตัวบ้าน แต่รุธิราขาสั้น...
ปกติก็ใช้เวลาเกือบ 10 นาที วันนี้ของเยอะด้วย... แต่คงไม่เกิน 15 นาที
สาวน้อยคิดในใจแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะล้วงลูกกุญแจออกมาจากกระเป๋าชุดเดรสแล้วไขประตูรั้วให้เปิดออกตามด้วยการก้าวขาเดินเข้าไปในเขตบ้าน
บ้านรวีไวย์ยังคงมีต้นหมากรากไม้มากมายเหมือนเมื่อครั้งเธอยังเด็ก ผิดก็แต่ตอนนี้มันดูรกร้างและทรุดโทรมเหมือนไม่มีคนดูแล
ก็แน่ล่ะ คุณย่านิดของหนู 70 กว่า ๆ เข้าไปแล้ว จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลกัน ว่าแล้วก็... หรือเรียนจบแล้วจะกลับมาอยู่กับคุณย่าดีนะ?
เด็กสาวคิดอะไรเพลิน ๆ ไปเรื่อยเปื่อย ครู่ใหญ่จึงเดินถึงตัวบ้านสองชั้นที่มีขนาดใหญ่โต ลักษณะเป็นบ้านขนมปังขิงกึ่งไม้กึ่งปูนสีขาวนวล หลังคาสีแดง ดูทรุดโทรมแม้จะมองออกว่าในอดีตมันเคยงดงามมากแค่ไหนก็ตาม
“คุณย่าขา! คุณย่านิด!” รุธิราตะโกนเรียกคนเป็นย่าเมื่อเธอถอดรองเท้าและเดินเข้าบ้านไปพร้อมกับข้าวของมากมายในมือ
“มาเอะอะโวยวายอะไรแถวนี้วะ? คนจะนอนโว้ย!” เสียงทุ้มห้าวของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาตามด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งลงบันไดมาจากชั้นสอง
รุธิราใจหายวาบเพราะที่บ้านนี้ไม่เคยมีผู้ชายมาก่อน ตั้งแต่ที่พ่อของเธอซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของคุณย่านิดตายไป บ้านหลังนี้ก็มีแต่เธอและคุณย่านิดที่คอยดูแล
เด็กสาวรีบหันไปดูเจ้าของเสียงก่อนที่จะเห็นชายหนุ่มวัยราว 30 เดินลงบันไดมาพร้อมกางเกงนอนขายาวตัวเดียว เปลือยท่อนบน อวดแผงอกกว้างกำยำ
“กรี๊ด! คุณเป็นใคร? มาทำอะไรในบ้านของฉัน?!” รุธิราหวีดร้องขึ้นมาทันที เธอเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นชายหนุ่มเปลือยครึ่งตัว เด็กสาวทิ้งถุงผ้าทุกใบในมือลงพื้น เหลือไว้แต่เพียงถุงใบเดียวที่มีอาหารกระป๋องอยู่
ถ้าเจ้าโรคจิตนี่จะทำอะไรหนู หนูจะฟาดมันด้วยกระป๋องปลาทูน่าในน้ำเกลือนี่แหละ คอยดู!
สาวน้อยใจเต้นตึกตักแล้วถอยเท้าออกไปทางประตูบ้านทีละก้าว สองหูได้ยินเสียงเดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ
“เธอต่างหากเป็นใคร? นี่มันบ้านฉันนะโว้ย! เดี๋ยวพ่อแจ้งตำรวจจับเสียหรอก” ชายหนุ่มโวยวายขึ้นมาบ้าง
รุธิรารีบหันหน้าขวับไปมองชายแปลกหน้าที่อ้างว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขาทันที
“คุณพูดว่าอะไรนะ? ที่นี่จะเป็นบ้านของคุณได้ยังไง? นี่บ้านของคุณย่านิด ย่าของหนูต่างหาก” รุธิราท้วงเสียงดังฟังชัด
เธอเพิ่งเห็นหน้าตาของหนุ่มเปลือยอกรูปร่างสูงใหญ่เต็มสองตา เขามีใบหน้าออกสวยหวานคล้ายหญิงสาว ตาคมชี้ขึ้นเหมือนมีเชื้อสายคนจีน ใต้ตาข้างซ้ายมีไฝเสน่ห์อยู่หนึ่งเม็ด จมูกโด่งสูง ริมฝีปากหยักสวย ผิวขาวเนียน ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ นับว่าเป็นหนุ่มหล่อสไตล์เกาหลีแบบที่สาว ๆ วัยรุ่นกำลังนิยมชมชอบ
“ใครมาวะไอ้ชิค?” เสียงนุ่มทุ้มอีกเสียงดังขึ้น เจ้าของเสียงร่างสูงใหญ่เดินลงมาจากบันไดตามหลังหนุ่มหล่อหน้าหวานติด ๆ
คราวนี้รุธิรามีโอกาสได้พินิจใบหน้าของชายหนุ่มคนที่สองอย่างจริงจังตั้งแต่แวบแรกเพราะอย่างน้อยเขาก็มีเสื้อผ้าอยู่บนตัวครบชิ้น แม้เสื้อเชิ้ตสีดำที่เขาสวมอยู่จะปลดกระดุมทุกเม็ด เผยให้เห็นถึงแผงอกกว้างแน่นกล้ามรำไรก็ตามที
ชายหนุ่มคนที่เดินตามลงบันไดมามีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้คนแรกแต่ออกแนวคมคาย ดวงตาสีเข้มมีแววสุขุม จมูกสูงโด่ง รับกับริมฝีปากหยักหนา เขาใส่แว่นตา มาดเหมือนนักธุรกิจสุดเนี้ยบแต่หน้าตาเหมือนพระเอกหนังไทยยังไงก็อย่างงั้น
“ยัยตัวจิ๋วนี่มายืนตะโกนบอกว่าเป็นหลานคุณนิดาว่ะ ไหนมึงบอกว่าหลานสาวคุณนิดาสวยไงวะ? เด็กนี่ดูกะโปโลมากกว่าสวยว่ะ” หนุ่มหล่อหน้าหวานหันไปบอกชายหนุ่มคนที่สอง
หนุ่มแว่นยกนิ้วชี้ขึ้นมาดันสะพานแว่นตรงสันจมูกให้เข้าที่มากกว่าเดิมแล้วจ้องหน้าเด็กสาวที่อยู่เบื้องล่าง เธอดูตื่นกลัวราวลูกแกะที่กำลังจะถูกหมาป่าเขมือบ หน้าตาของเธอน่ารักจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย แม้ไม่ได้สวยจัดแต่ก็ถือว่าน่ารักน่าเอ็นดูเป็นที่สุด
“น้องเป็นหลานคุณนิดาเหรอ? ชื่ออะไรล่ะเราน่ะ?” หนุ่มหล่อใส่แว่นถามเธอเสียงขรึม
“ชะ... ชื่อ... ชื่อ... เร้ดค่ะ” สาวน้อยตอบเสียงค่อย ไม่มั่นใจนักว่าสมควรปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร เพราะดู ๆ ไปพวกเขาก็ไม่ค่อยเหมือนคนร้ายเท่าไหร่
“หา? ชื่ออะไรนะ? เรตเหรอ? แบบ... หนังเรตอาร์งี้?” หนุ่มหน้าหวานถามแล้วยิ้มน้อย ๆ เหมือนจะขบขันกับชื่อของเธอ ถึงตอนนี้อารมณ์หงุดหงิดของหนุ่มหล่อหน้าสวยดูจางลง ยามเขายิ้มหน้าตาก็น่าดูกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“เปล่าค่ะ ชื่อเร้ด หนูเร้ด Red ที่แปลว่าสีแดงน่ะค่ะ ตอนแรกที่เกิดคุณย่าบอกว่าจะตั้งชื่อว่าหนูแดงเพราะตัวแดง แต่คุณพ่อบอกว่าเชย เลยตั้งชื่อว่าเร้ดค่ะ” รุธิรายิ้มแล้วตอบหนุ่มหล่อ
เมื่อสาวน้อยตั้งสติได้ ความกลัวก็หายไป เธอไม่ได้เคืองโกรธหรือนึกตำหนิที่หนุ่มหน้าหวานเห็นชื่อของเธอเป็นเรื่องตลกเลยสักนิด กลับกัน... เด็กสาวดีใจเสียอีกที่แค่เรื่องชื่อของเธอก็ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นได้
“อ้อ... รุธิรา รวีไวย์ใช่ไหม? หลานคุณนิดา เคยได้ยินคุณนิดาพูดถึงอยู่” หนุ่มหล่อใส่แว่นพยักหน้ายอมรับในตัวตนของรุธิราก่อนจะพูดต่อ
“มาก็ดีแล้ว พวกพี่จะติดต่อน้องไปหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้จะติดต่อทางไหน ตอนนี้เอาโทรศัพท์มือถือของคุณนิดาไปให้ช่างเขาปลดล็อกอยู่ เผื่อจะหาเบอร์โทรน้องเจอ”
“หือ? ทำไมต้องเอามือถือคุณย่าไปปลดล็อกคะ? แล้วคุณย่าอยู่ไหนคะ?” รุธิรานิ่วหน้าแล้วถามทันที เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
“คุณนิดาป่วย อาการหนัก หมดสติเข้าโรงพยาบาลไปได้ 2-3 วันแล้ว น้องไม่รู้เหรอ? พวกพี่จะเข้ามาเป็นเจ้าของบ้านนี้แทนคุณนิดา เลยเข้ามาค้างที่นี่ได้สองคืนแล้ว เพราะคิดว่าต้องสำรวจบ้านและปรับปรุงบ้านอีกเยอะ” หนุ่มหล่อหน้าหวานตอบเธอบ้าง
แค่ได้ยินว่าคุณย่าของเธอป่วย รุธิราก็หน้าซีดทันที เมื่ออาทิตย์ก่อนคุณย่าโทรหาเธอ นัดให้เธอมาหาที่บ้านสวนชานเมืองในวันเสาร์นี้ คุณย่าเกริ่นไว้ว่ามีคนอยากแนะนำให้เธอรู้จัก อยากให้เธอมีคนดูแลในยามที่คุณย่าของเธอไม่สามารถดูแลได้ คำพูดของคุณย่าเหมือนหญิงชราจะรู้ตัวว่าป่วยหนัก มันทำให้รุธิราใจหายวาบ
“แล้วคุณย่าอาการเป็นยังไงคะ? ท่านอยู่ที่ไหน? หนูจะไปหาท่านค่ะ” รุธิรารีบถามสองหนุ่มด้วยความร้อนรน
สองหนุ่มหล่อหันมาสบตากันแล้วเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่หนุ่มหล่อใส่แว่นจะเป็นคนพูดขึ้น
“คุณนิดาเส้นเลือดในสมองตีบ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ยังไม่ฟื้น พี่กับไอ้ชิคจะพาหนูไปหาคุณนิดาเอง รออยู่ข้างล่างแป๊บนะ ให้พี่กับไอ้ชิคไปแต่งตัวก่อน”
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ” รุธิราก้มหน้ากลั้นน้ำตาแล้วตอบหนุ่มหล่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ หัวใจมันเจ็บเหมือนโดนบีบเมื่อรู้ว่าญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวนอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาล
“น้องนี่... เชื่อคนง่ายจัง เพิ่งเจอพวกพี่ได้แค่ไม่กี่นาที ไม่รู้จักชื่อแซ่ ไม่รู้ด้วยว่าพวกพี่เป็นใครพอบอกให้ตามไปหาย่าก็ยอมทำตามแต่โดยดี แบบนี้ระวังถูกหลอกนะ” หนุ่มหน้าหวานขมวดคิ้วแล้วจ้องเธอ คำพูดของเขาทำให้รุธิราเงยหน้าขึ้นสบตากับหนุ่มหล่อ
ดวงตาใสซื่อมีน้ำตาปริ่มอยู่ดูน่าสงสารจนหนุ่มหน้าหวานรู้สึกผิดที่ติติงเธอ
“พวกพี่ชื่ออะไร นามสกุลอะไรคะ?” สาวน้อยเอ่ยถาม
“เออ... พี่ชื่อธนบัตร ทรัพย์เกื้อกุล เรียกพี่ธนก็ได้ ส่วนไอ้หมอนี่ชื่อชนกชน โชคบรรเลง เรียกมันว่าไอ้ชิคก็ได้” ธนบัตรรีบตอบสาวน้อย
“ค่ะพี่ธน พี่ชิค ตอนนี้หนูรู้จักชื่อ รู้จักแซ่พวกพี่แล้วนะคะ รู้ด้วยว่าพวกพี่จะเข้ามาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ต่อจากคุณย่านิด ตอนนี้พวกพี่รีบไปแต่งตัวแล้วพาหนูไปหาคุณย่าได้หรือยังคะ?”
คำตอบของสาวน้อยมันทำให้สองหนุ่มหล่ออึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะสบตากันแล้วยิ้มน้อย ๆ ด้วยความเอ็นดูในตัวเด็กสาว
รุธิรา รวีไวย์ ดูเหมือนอ่อนแอ ดูเหมือนไม่ประสา แต่ความจริงหัวไวและหลักแหลมแถมยังกล้าต่อปากต่อคำอย่างที่พวกเขาสองคนเพื่อนรักไม่คิดว่าเธอจะทำได้อีกต่างหาก
สองหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ รับคำรุธิราก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปบนบันไดชั้นสองมุ่งตรงไปยังห้องนอนใหญ่เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
“มึงว่าเหยื่อคราวนี้ของพวกเราเด็ดไหมวะ?” ชนกชนถามเพื่อนยิ้ม ๆ
“เด็ดแล้วไง? ไม่เด็ดแล้วไง? เด็กเร้ดนั่นคือเหยื่อที่พวกเราสองคนต้องขย้ำให้จมเล็บ... ไม่ว่าจะเด็ดหรือไม่เด็ดก็ตาม มึงก็รู้” ธนบัตรตอบเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่างจากที่พูดคุยกับรุธิราเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
สองหนุ่มสบตากันอย่างมีนัยก่อนที่ธนบัตรจะเป็นคนเปิดประตูเข้าห้องไปก่อนเป็นคนแรก