ทันทีที่เสียงเรียกดังแทรกขึ้น ประตูของตำหนักจันทราที่เปิดอ้าออกกว้างเผยให้เห็นภายใน กลับเลือนหายไปโดยพลันก่อนจะกลับกลายเป็นปกติดั่งเดิมในขณะที่ร่างระหงกำลังจะก้าวข้ามประตูพอดี
“ปัง!” เสียงศีรษะโขกกับบานประตูดังโครมใหญ่
“อู๊ยยยย! หัวโนหรือเปล่าก็ไม่รู้” แม่สาวน้อยคนงามบ่นกระปอด กระแปดก่อนจะหยุดชะงักพร้อมเงยหน้ามองประตูตรงหน้า
“หายไปแล้ว! เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย ตกลงไอ้ที่เห็นเมื่อครู่ที่ผ่านมาเราตาฝาดหรือเห็นจริงๆ กันแน่ เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงเรียกของเขาคนนั้นเรียกหาอยู่เลย” หญิงสาวยืนนิ่งพลางครุ่นคิด มือเรียวสวยดั่งลำเทียนยกมือขึ้นลูบไล้ประตูจันทราไปมาเบาๆ
“ยายหนูทำอะไรอยู่เหรอลูก” เสียงของคุณวิลาสินีเอ่ยขึ้นอยู่ทางด้านหลังของบุตรสาว
ร่างงามหยุดชะงักโดยพลันครั้นได้ยินเสียงเรียกชื่อของเธอ ใบหน้าสวยหันกลับมาก่อนจะยิ้มแห้งๆ เมื่อล่วงรู้ว่าเสียงที่เรียกนั้นคือคุณแม่ของเธอนั่นเอง
“คุณแม่... มี อะไรเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจ พลางทำหน้าเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปในตำหนักแต่ในขณะเดียวกันเธอก็พยายามครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องจริงหรือตาฝาดกันแน่
“โทรศัพท์มือถือของลูกดังน่ะจ้ะ มีเบอร์โทรเข้ามาหลายสายมากแม่ได้ยินเสียงก็เลยไปที่ห้องของยายหนู และถือวิสาสะรับสายแทน บริษัทของหนูโทรมาให้เข้าไปในพื้นที่หน้างาน เขาบอกให้โทรกลับด้วยนะลูก” คุณวิลาสินีบอกกับบุตรสาวพร้อมมองเลยไปทางด้านหลังอันเป็นที่ตั้งของตำหนักจันทราโดยมีท่าทีหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด
ครั้นดวงตากลมโตเห็นสายตาของคุณวิลาสินีมองไปยังตำหนักจันทราด้วยสายตาเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความสงสัย
“ท่าทางคุณแม่กลัวๆ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ใบหน้าอิ่มหันไปสบตาลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนางพร้อมเอ่ยขึ้น
“เรากลับไปที่บ้านกันดีกว่านะยายหนู แม่ให้บ่าวไพร่จัดอาหารกลาง วันไว้ให้ที่นั่นแล้ว ขนเอามาทานตรงนี้สงสารพวกเขากว่าจะเดินไปเดินกลับ เหนื่อยกันตายพอดี มีโอกาสแล้วแม่จะเล่าให้ลูกฟังว่าเพราะอะไรแม่ถึงได้เป็นแบบนั้น ออกมาจากตรงนั้นเถอะลูกอย่าเข้าไปใกล้” คุณวิลาสินีกล่าวพร้อม ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาห่างๆ ด้วยท่าทีหวาดๆ พร้อมกวักมือเรียกลูกสาวของนาง
“คุณแม่เป็นอะไรเนี่ย... ท่าทางจะกลัวเอามากๆ เลย” หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนจะก้าวเท้าออกจากหน้าประตู แต่แล้วก็หยุดชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมอะไรบางอย่าง
ร่างงามหันหลังกลับก้าวขึ้นไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูดั่งเดิม พร้อมคว้ากระดิ่งลมออกจากตะขอแขวนตรงชานประตูเดินตรงกลับไปหาคุณแม่ของเธอ
“ไปกันเถอะคุณแม่ หนูหิวข้าวแล้ว” หญิงสาวบอกพร้อมเดินโอบเอวคุณแม่ของเธอทันทีที่เดินมาถึง
“ไปเอากระดิ่งลมมาจากไหนยายหนู ทำไมถือติดมือมาด้วย” คุณวิลาสินีถามกลับไปด้วยความสงสัย สายตาจับจ้องไปที่กระดิ่งลมในมือเรียวของลูกสาวที่เต็มไปด้วยดิน
“กระดิ่งลมนี่เหรอคะ... พอดีเห็นฝังอยู่ในดินค่ะ... คุณปู่ฟูหัวกับหนูช่วยกันขุดขึ้นมาเห็นว่าลวดลายสวยแปลกตาไม่เคยเห็นก็เลยขอคุณปู่เอาไปศึกษาประกอบการทำงาน เสร็จแล้วก็จะเอาไปคืนให้คุณปู่ลงบัญชีเก็บรักษาไว้เหมือนเดิมค่ะ...” หญิงสาวกล่าวพร้อมยื่นกระดิ่งลมที่อยู่ในมือให้คุณแม่ของเธอได้พิจารณาพร้อมเอ่ยขึ้น
“คุณแม่ดูสิคะ กระดิ่งลมมีลวดลายแกะสลักสวยงามแปลกตามากเลย แต่ละอันสลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตร สลักพระจันทร์เอาไว้ด้วย และตรงพระจันทร์เหมือนเคยมีอะไรฝังไว้เลยค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมใช้นิ้วมือคลึงรูโหว่คล้ายเคยฝังบางอย่างไว้อยู่บนกระดิ่งอันบนสุด
“รูโหว่นั่นคล้ายๆ ว่าต้องฝังอัญมณีหรืออาจจะเป็นอะไรสักอย่างเป็นรูปร่างของพระจันทร์นะ” เสียงของคุณวิลาสินีเอ่ยขึ้น
“โอ้โห! กระดิ่งลมนี่เหรอคะ มีพวกอัญมณีฝังเอาไว้ด้วย แล้วจะประดับไว้ทำไมบนกระดิ่งลม... ไม่เข้าใจ” คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคุณแม่ของเธอเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“ก็สัญลักษณ์ของเทพจันทราในสมัยโบราณของจีนไงล่ะคะลูก แม่ได้ยินมาว่าสัญลักษณ์ของเทพจันทราคือพระจันทร์และสีของพระจันทร์ก็มีแค่สีขาวนวลๆ อ่อนๆ จนถึงสีเหลืองนวล ถ้าไม่ใช้ทองคำก็คงจะเป็นหยกสีขาวหรือหยกสีที่คล้ายพระจันทร์สีเหลืองนวล หรือไม่ก็อาจจะฝังเป็นพวกพลอยแต่ไม่น่าจะใช่ คิดว่าถ้าไม่ใช่ทองคำก็คงเป็นหยกมากกว่า
หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อได้ยินคุณแม่ของเธอบอกเช่นนั้น
“เพิ่งจะรู้นะเนี่ยว่าคุณแม่ของหนูก็ล่วงรู้ตำนานเทพเจ้าของจีนด้วยเหมือนกันเนอะ”
คำกล่าวของหญิงสาวทำให้คุณแม่ของเธอหัวเราะออกมาเบาๆ
“แม่ได้ยินจากคุณพ่อของลูก ที่รู้ก็เพราะว่าวันไหว้พระจันทร์ของจีนคุณพ่อจะพาแม่ไปไหว้ขอพรท่านเสมอ เทพจันทราเป็นเทพเจ้าแห่งความรักตามความเชื่อตั้งแต่สมัยโบราณของจีนจ้ะ” คุณวิลาสินีอธิบายให้ลูกสาวคนงามของนางฟังพร้อมเอ่ยสำทับขึ้น
“แล้วอย่าลืมเอาไปคืนคุณปู่นะลูก ของที่ขุดเจอภายในบริเวณบ้านหลังนี้ต้องลงบัญชีทรัพย์สินหมดทุกรายการเพราะอาจจะเป็นวัตถุโบราณล้ำค่าเก่าแก่มีอายุหลายพันปี”
“เจ้าค่ะคุณวิลาสินีเจ้าขา... ชิงเชียงรับทราบและจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด” หญิงสาวลากเสียงล้อเลียน ทำให้คนเป็นแม่ได้แต่ส่ายศีรษะไปมากับความแก่นกะโหลกของลูกสาวเพียงคนเดียว
สองแม่ลูกพากันเดินโอบเอวคลอเคลียกลับไปยังเรือนนอนฝั่งทิศเหนือ ท่ามกลางกลิ่นหอมรัญจวนของดอกโบตั๋นยังคงฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณและเสียงหนึ่งที่ล่องลอยมาพร้อมกับสายลมจากยุคอดีตกาล
“ชิงเชียง! ชิงเชียงอย่าไป! อย่าไป!”
ขณะเดียวกันในยุคอดีต
บริเวณเชิงเขาหลีซาน
ณ ที่ตั้งกองทัพของแคว้นฉิน
ในยามนี้องค์ชายรองฉินเสวี้ยนกงแห่งแคว้นฉินเพิ่งจะเสร็จศึกจากการนำทัพออกรบกับเผ่าชวนหรง[1] และแน่นอนว่าชัยชนะตกอยู่ในมือของแคว้นฉิน ซึ่งการสู้รบในครั้งนี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าโจวโยวเป็นยิ่งนัก ทรงมีกระแสรับสั่งประทานดินแดนของพวกชวนหรงที่ฉินเสวี้ยนกงตีจนแตกพ่ายมอบให้เป็นรางวัล ทำให้แคว้นฉินยิ่งแผ่ขยายอำนาจมีอาณาเขตมากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
และในเวลานี้ข่าวการทำศึกของแคว้นฉินที่มีชัยเหนือพวกชวนหรงแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเจ็ดแคว้นใหญ่ตลอดจนถึงแคว้นอื่นๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์โจวตะวันตกอยู่ในขณะนั้น แต่ละแคว้นหวั่นเกรงพระปรีชาสามารถในการทำศึกขององค์ชายรองจากแคว้นฉิน และการวางแผนอันปราดเปรื่องขององค์ชายใหญ่ ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทว่าที่ฉินอ๋องในอนาคต
โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วการวางแผนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การบริการและการรบต่างๆ ล้วนแล้วแต่มาจากพระสติปัญญาขององค์ชายรองฉินเสวี้ยนกงทั้งสิ้น หาใช่องค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นรัชทายาทแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเปลวเพลิงจากกองไฟที่กำลังคุกรุ่นไปทั่วบริเวณของค่ายทหาร บรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บในการสู้รบครั้งนี้ กำลังนอนเรียงรายอยู่ภายในกระโจมที่สร้างขึ้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ร่างทหารแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยเลือด แต่ละคนมีบาดแผลลึกเหวอะหวะจนน่ากลัวพร้อมเสียงร้องครวญครางดังระงมไปทั่วทั้งกระโจม โดยมีหมอทหารและผู้ช่วยซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองทัพต่างคอยดูแลคนเจ็บอย่างเต็มที่
และในการสู้รบครั้งนี้องค์ชายรองผู้ปราดเปรื่องได้รับบาดเจ็บในขณะทำศึก มีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณกลางอกซึ่งเกิดจากคมหอกของพวกชวนหรงและถูกแทงจากทางด้านหลังจนทะลุหน้าท้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างยิ่งยวด
พระพักตร์หล่อเหลาในยามนี้ขาวซีดราวกับกระดาษ ไร้สิ้นสีเลือดเจือจาง พระโอษฐ์อิ่มที่เคยมีเลือดฝาดบัดนี้ซีดเซียวราวคนใกล้ตายด้วยเพราะพิษบาดแผล ทำให้เกิดอักเสบและมีไข้ขึ้นสูงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ทรงบรรทมไม่ได้พระสติอยู่ในขณะนั้น
พระองค์ได้เข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความฝัน ในฝันนั้นทรงถลารับร่างงามระหงของหญิงงามนางหนึ่งมิให้ล้มลงไปกับพื้น ตรงบริเวณอุทยานดอกโบตั๋น และครั้งนี้ทรงได้ทอดพระเนตรใบหน้าสวยหวานคมซึ้งของนางในฝันได้อย่างชัดเจน พร้อมทรงมีรับสั่งกับโฉมงาม
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าชิงเชียง!!!”
“ชิงเชียง!” สุรเสียงเพ้อถึงชื่อของนางในฝันในขณะที่ยังอยู่ในภวังค์
ภาพในฝันทรงรับสั่งถามด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งยวด
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า... บอกข้าสิ” ในความฝันพระองค์รับสั่งถามกลับไป พร้อมเสียงหวานนั้นตอบกลับมาแผ่วเบาได้ยินเพียงแค่เสียงงึมงำ
“มะ... ไม่... ไม่เจ็บ... ไม่เจ็บเลยค่ะ” คนงามตอบกลับไปอึกๆ อักๆ
หลังจากนั้นก็ทอดพระเนตรร่างงามระหงกำลังก้าวเข้ามาในตำหนักจันทรา ซึ่งพระองค์กำลังทอดพระเนตรจากในพระตำหนักออกมาทางด้านนอก ทรงทอดพระเนตรโฉมงามพร้อมรับสั่งเพรียกหาชื่อโฉมตรูด้วยความดีพระทัยอย่างยิ่งยวด
“ชิงเชียง!!!”
ทว่าสุรเสียงของพระองค์ที่อุตส่าห์ตะเบ็งเพรียกหานางออกไปจนสุดพระสุรเสียงนั้น นางในฝันกลับมิได้ยินแม้แต่น้อย และร่างงามก็ค่อยๆ เลือนหายไปโดยพลันจากหน้าประตูเมื่อนางหันหลังกลับคล้ายมีคนกำลังเรียกอยู่ทางเบื้องหลัง
“ชิงเชียง! ชิงเชียงอย่าไป! อย่าไป!”
“เฮือกก!!!!” องค์ชายรองผู้งดงามทรงลุกพรวดพราดจากพระบรรทมขึ้นมาทันที
พระองค์หลุดจากภวังค์แห่งความฝัน ท่ามกลางเสียงร้องเรียกของเหล่าทหารที่คอยเฝ้าดูแลด้วยความวิตก ต่างเปล่งเสียงเรียกผู้นำทัพของตนด้วยความดีใจเป็นยิ่งนัก
“องค์ชายฟื้นแล้ว! ทรงฟื้นแล้ว! ไปตามหมอมาเร็วๆ เข้า” เสียงของทหารแลดูเป็นระดับชั้นผู้ใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยความดีใจสุดขีดที่เห็นองค์ชายของตนได้พระสติกลับคืนมาเสียที หลังจากที่ทรงสลบไปเพราะพิษบาดแผลถึงสามวันสามคืนเลยทีเดียว
“องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมและทหารในกองทัพเป็นห่วงพระอาการที่ทรงได้รับบาดเจ็บเสียเหลือเกิน ยิ่งทรงมิได้สติติดต่อกันมาสามวันสามคืนเช่นนี้ ทหารทุกคนต่างพากันใจไม่ดีเลย กลัวองค์ชายจะทรงเป็นอะไรไป” แม่ทัพซือหลงหมิงกล่าวพร้อมตรงเข้าไปช่วยประคององค์ชายของตนทันใด
เหงื่อผุดพรายปรากฏขึ้นอยู่เต็มพระพักตร์ ก่อนจะทอดพระเนตรนายกองทั้งห้า ซึ่งมาเข้าเฝ้ารอฟังพระอาการบาดเจ็บภายในกระโจมที่ประทับอย่างใจจดใจจ่อ พระเนตรสีนิลกาฬค่อยๆ ก้มลงทอดพระเนตรพระวรกายของพระองค์พลางยกพระหัตถ์สัมผัสตรงกลางพระอุระเมื่อรู้สึกว่าเจ็บปวดแปลบ ก่อนจะสัมผัสบริเวณพระอุทรเมื่อทอดพระเนตรพระโลหิตแดงฉานไหลทะลักผ้าพันแผลจนชุ่มโชกไปหมด
“ฝันอีกแล้วหรือนี่... ฝันเห็นนางที่มิใช่ความจริงอย่างนั้นเหรอ” สุรเสียงรับสั่งพึมพำ
องค์ชายรองทรงเสียพระทัยและเจ็บปวดหัวใจอย่างร้าวรานขึ้นมาโดยพลัน เมื่อนางในฝันที่ทรงอุตส่าห์ได้ทอดพระเนตรรูปโฉมอันงดงามอันแท้จริงของนางได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ทรงฝันเห็นนางมานานกว่าสิบสองปี แต่ทว่ากลับกลายเป็นเพียงแค่ความฝันหาใช่ความจริงแม้แต่น้อย
“ชิงเชียง! ชิงเชียงของข้า!” สุรเสียงเพรียกหาแผ่วเบา พระเนตรคมบ่งบอกว่าทรงเจ็บปวดหัวใจร้าวรานอย่างยิ่งยวด
“ทรงรับสั่งอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ... กระหม่อมได้ยินไม่ชัด” นายกองหลงหมิงทูลถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อได้ยินองค์ชายรองทรงมีรับสั่งพึมพำ และนั่นทำให้ฉินเสวี้ยนกงได้พระสติกลับคืนมาพลางเงยพระพักตร์ขาวซีดขึ้นมาช้าๆ พร้อมทรงมีรับสั่ง
“เตรียมเคลื่อนทัพ... ข้าจะต้องกลับเสียนหยางให้เร็วที่สุด” รับสั่งสุรเสียงแผ่วเบา เต็มไปด้วยความอิดโรยด้วยฤทธิ์จากแผลที่กำลังอักเสบส่งผลทำให้ทรงมีไข้สูงอยู่ตลอดเวลา
รับสั่งของแม่ทัพใหญ่องค์ชายฉินเสวี้ยนกงทำให้บรรดาเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งห้าต่างส่งเสียงคัดค้านขึ้นมาทันที
“อย่าเพิ่งมีรับสั่งให้เคลื่อนทัพกลับเลยพ่ะย่ะค่ะ ทรงรักษาพระอาการให้ทุเลาและดีขึ้นกว่านี้เสียก่อนเถิด หากเคลื่อนทัพกลับเสียนหยางจะทำให้พระองค์ทรงมีพระอาการทรุดหนักไปมากกว่านี้ อีกอย่างม้าเร็วได้กลับไปกราบทูลฝ่าบาทและฮองเฮาแล้ว อีกไม่นานจะกลับมาพร้อมกับคณะหมอหลวงเพื่อมารักษาพระอาการขององค์ชายให้ทุเลาลงพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าคำคัดค้านของเหล่านายกองหาเป็นผลไม่ พระสุรเสียงขององค์ชายรองแผดดังก้องขึ้น
“ไปจัดการตามคำสั่งของข้า! จะขัดคำสั่งแม่ทัพของพวกเจ้าอย่างนั้นรึ! หากข้าจะต้องเป็นอะไรไปและยังมีลมหายใจอยู่ก็จะขอกลับไปตายที่บ้านเกิดในตำหนักจันทรา นอกเสียจากว่าข้าจะพลีชีพกลางสนามรบ นั่นแหละถึงจะนำร่างอันไร้วิญญาณของข้ากลับไป!” สุรเสียงกร้าวตวาดเหล่าแม่ทัพนายกอง แม้นจะแลดูอิดโรยและพิษไข้รุมเร้า แต่พระสุรเสียงยังเต็มไปด้วยอำนาจดั่งเดิม
“พ่ะย่ะค่ะ! พวกกระหม่อมจะรีบจัดการตามรับสั่งเดี๋ยวนี้!” เหล่าแม่ทัพและนายกองทั้งห้ารับคำอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว!” สุรเสียงรับสั่งไล่เบาๆ
“แต่... แต่ว่า... พระองค์ยัง” เสียงของเหล่าแม่ทัพต่างรีบพากันจะเอ่ยคัดค้าน
“ข้าบอกให้ออกไป! วันนี้ข้ายังไม่ถึงที่ตายหรอก... อยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง หากหมอมาแล้วก็ให้เข้ามาทำแผล... ข้าอนุญาต!” สุรเสียงบ่งบอกได้ชัดเจนว่าทรงเริ่มมีพระอารมณ์ขุ่นมัว
“พ่ะย่ะค่ะ!!!” เหล่าแม่ทัพขานรับคำสั่งทันใด
เหล่านายกองต่างพากันล่าถอยออกไปจากกระโจม ท่ามกลางสายพระเนตรขององค์ชายรองทรงทอดพระเนตรตามหลังจนทุกคนก้าวเดินออกไปจนหมด
ทันทีที่เหล่าแม่ทัพทั้งห้าต่างพากันออกไปจากกระโจมที่ประทับ จู่ๆ พระวรกายขององค์ชายฉินเสวี้ยนกงเกิดอาการผิดปกติขึ้นมาทันที
“อ้อกกกก!” พระโลหิตสีแดงฉานพุ่งออกมาจากพระโอษฐ์พระองค์ทรงสำลักพระโลหิตออกมากองใหญ่ลงบนพื้นดินจนพระวรกายล้มฟุบลงไปกับฟูกบรรทมดั่งเดิม
พระเกศาสีดำสนิทที่ยาวสยายถึงแผ่นหลังแผ่ปกคลุมพระพักตร์และพื้นบริเวณนั้น ก่อนจะค่อยๆ เงยพระพักตร์ที่ขาวซีดขึ้นมาช้าๆ และทอดพระ-เนตรพระโลหิตที่ทรงกระอักออกมากองใหญ่
พระหัตถ์หนาแต่เรียวสวยเต็มไปด้วยพระโลหิตมากมายเปรอะเปื้อนอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะทอดพระเนตรป้ายหยกประจำพระองค์ซึ่งอยู่ติดคู่พระวรกายมาโดยตลอด วางอยู่ใกล้ๆ โต๊ะข้างฟูกพระบรรทม
พระหัตถ์สั่นเทา เอื้อมไปหยิบป้ายหยกคู่พระวรกายซึ่งแกะสลักเป็นรูปมังกรและพระจันทร์เคียงคู่กันพร้อมทรงมีรับสั่ง
“ขอเทพจันทราได้โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด หากแม้นข้าต้องสิ้นชีพชีวาวาย ก็ขอให้ข้าได้กลับถึงแคว้นฉินอันเป็นถิ่นกำเนิด และหากแม้นยังมีวาสนาขอเทพจันทราทรงเมตตาให้ข้าได้พบกับชิงเชียงนางในฝันก่อนจะเดินทางไปเฝ้าองค์เง็กเซียน สักเพียงครั้งก็ยังดี ก่อนข้าตายด้วยเถิด...” พระสุรเสียงขอพรหยุดชะงักลงโดยพลัน พระองค์เริ่มจะมีพระอาการกระอักพระโลหิตออกมาอีกครั้ง หากแต่ทรงอดกลั้นเอาไว้ ก่อนจะมีรับสั่งขอพรกับเทพจันทรา
“ข้าคิดถึงและอยากพบนาง อยากจะกอดนางเสียเหลือเกิน ขอสักเพียงครั้งก่อนตายด้วยเถิดเทพจันทรา” องค์ชายฉินเสวี้ยนกงทรงอ้อนวอนขอความเมตตาจากเทพจันทรา ซึ่งเจ็ดแคว้นใหญ่รวมไปถึงแคว้นอื่นๆ ให้ความเคารพและนับถือเทพเจ้าแห่งความรักนี้อย่างยิ่งยวด
“ฟิ้วววว!!!!” ประหนึ่งสวรรค์เบื้องบนจะได้ยินรับสั่งอ้อนวอนขององค์ชายหนุ่ม
เมื่อท้องฟ้าเบื้องบนในเวลาแห่งรัตติกาลในขณะนี้เปล่งประกายระยิบระยับพร้อมสายลมพาดผ่านพระวรกายขององค์ชายฉินเสวี้ยนกงบังเกิดขึ้นทันใดที่ทรงมีรับสั่งขอพร
“ตุ้บ!” ป้ายหยกประจำพระองค์ร่วงหล่นลงสู่พื้น เมื่อองค์ชายรองแห่งแคว้นฉินกำลังใกล้หมดพระสติไปอีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ ก็เลือนหายไปโดยพลันอย่างมิรู้สาเหตุ
พระวรกายเริ่มโงนเงนไปมาก่อนจะล้มฟุบไปกับฟูกที่ใช้บรรทม พระโลหิตสีแดงฉานเริ่มหลั่งไหลออกมาจากพระอุระโดยเฉพาะพระอุทรไหลซึมออกมาจากผ้าพันแผลประหนึ่งเขื่อนกั้นทำนบแตกจนนองไปทั่วบริเวณ ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาด้วยเพราะพิษจากบาดแผลที่แสนสาหัสเป็นยิ่งนัก
[1] ชวนหรง (**) หรือชนเผ่าสุนัข ก่อนหน้าการถูกบันทึกในสมัยฮั่นถูกเรียกว่า เซียนหยุน (**) หรือสุนัขจมูกยาวตำนานเล่าว่ามีบรรพบุรุษมาจากหมาป่าสีขาวมีการถูกกล่าวถึงนับแต่ราชวงศ์โจวยังรุ่งเรือง เป็นชนเผ่าบรรรณาการของต้าโจว แต่กลับถูกรุกรานโดยโจวหวังเพียงคำอ้างว่าเพราะชวนหรงมอบบรรณาการไม่เพียงพอ ซึ่งของบรรณาการหลักก็คือขนสุนัขป่าสีขาวและขนกวางทอง
ในปี771ก่อนคริสตกาล นายเหนือแห่งเสินส่งสารเชิญชวนแก่ชวนหรงเพื่อร่วมกันกำราบราชวงศ์โจว นักรบชนเผ่าชวนหรงยกทัพลงใต้ตีนครหลวงโจวโฮวจิงจนแตกพ่าย สังหารโจวหวังเหยา ส่งผลให้นายเหนือแห่งฉิน เสี่ยงยกกำลังมาขับไล่และอัญเชิญองค์รัชทายาทไปยังเฉิงโจว อันเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์โจวตะวันออกและมหายุคชุนชิว และจานกว๋อ
พระเจ้าโจวโยวหรือเป็นที่รู้จักอีกพระนาม โจวอิ้วอ๋อง กษัตริย์องค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์โจว และองค์สุดท้ายของราชวงศ์โจวตะวันตกในปีแรกที่ขึ้นครองราชย์คือ 780 ปีก่อนคริสตกาล ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่กวนจง ทรงเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอไร้ความสามารถ เสวยแต่น้ำจัณฑ์ หลงผู้หญิงถึงขั้นทรงปลดพระมเหสีและองค์รัชทายาทองค์เก่าลงจากตำแหน่ง พร้อมกับแต่งตั้งนางเปาซือและพระโอรสอีกองค์ขึ้นเป็นพระมเหสีและองค์รัชทายาทองค์ใหม่
พระนางเปาซือทรงยิ้มไม่เป็น พระเจ้าโจวโยวจึงโปรดให้จุดพลุเตือนภัยขึ้นฟ้า ทำให้พระนางเปาซือยิ้มได้ แต่ท่านอ๋องเข้าใจผิดว่ามีข้าศึกมารุกราน ก็เดินทางมายังพระราชวัง เมื่อไม่เห็นข้าศึกก็โกรธและเดินทางกลับไป ต่อมาเมื่อมีข้าศึกมารุกรานจริง ๆ พระเจ้าโจวโยวโปรดให้จุดพลุเตือนภัยขึ้นฟ้า แต่เหล่าท่านอ๋องก็ไม่สนใจ เหล่าข้าศึกบุกเข้าพระราชวัง พระเจ้าโจวโยวเห็นจวนตัวก็ทรงปลงพระชนม์เอง ส่วนพระนางเปาซือและองค์รัชทายาทก็ถูกจับไป ส่วนอดีตมเหสีและองค์รัชทายาทก็อพยพไปยังลั่วหยางพร้อมกับเชื้อพระวงศ์ขุนนางข้าราชการและประชาชน และทรงถูกอัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่แห่งราชวงศ์โจวตะวันออก ส่วนราชวงศ์โจวตะวันตกก็ล่มสลายจากเหตุการณ์คราวนี้