ตอนที่ 10 ข้าเห็นเจ้า! ฉันพบเขา! /2

3907 Words
ยุคปัจจุบัน บริเวณทางทิศตะวันออกของเมืองซีอาน  ร่างระหงในชุดแมนๆ ลุคกางเกงยีนสีเข้มและเสื้อเชิ้ตลายทางติดกระดุมผ่ากลางสุดชิลรับกับรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตา กำลังยืนสำรวจพื้นที่บริเวณเชิงเขาหลีซาน ซึ่งห่างจากเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออก ซึ่งอยู่ห่างจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ประมาณสามสิบห้ากิโลเมตร บริเวณซึ่งมีหลักฐานเชื่อกันว่าเคยเป็นพระราชวังอาฝางกงที่ยิ่งใหญ่ในอดีตกาล ริณรณีย์หรือชิงเชียง เดินทางออกจากบ้านตระกูลฟ่าน หลังจากได้รับโทรศัพท์จากทีมงานให้เข้าสำรวจพื้นที่ในช่วงบ่ายเพื่อเตรียมงานร่วมกับทางการจีน หญิงสาวจึงต้องรีบเดินทางมาที่ไซต์งานเพื่อเข้าร่วมหารือด้วย หลังจากเสร็จสิ้นจากการรับประทานอาหารกลางวัน โดยเธอนำกระดิ่งลมที่เพิ่งขุดเจอบริเวณหน้าตำหนักจันทราติดตัวมาด้วยเพื่อส่งให้ร้านวิจัยวัตถุโบราณซึ่งเป็นของตระกูลฟ่าน ตามคำแนะนำของคุณวิลาสินี เพราะวัตถุโบราณทุกชิ้นที่ขุดพบภายในบริเวณบ้านดังกล่าว จะถูกส่งมาล้างทำความสะอาดและประเมินอายุของวัตถุที่ขุดพบ พร้อมรอรับกลับไปในวันเดียวกัน คุณหนูคนสวยพร้อมด้วยทีมงานกำลังยืนปรึกษาหารือร่วมกับทางการจีน คอยสื่อสารให้กับทีมงานชาวอังกฤษได้เข้าใจถึงความประสงค์ของทางการจีนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กล้องถ่ายรูปทันสมัยที่อยู่ในมือของหญิงสาวก็กำลังทำงานไปพร้อมๆ กัน เลนส์กล้องกำลังซูมเข้าซูมออกเพื่อบันทึกภาพพื้นที่โดยรอบ เพื่อนำกลับไปประกอบการทำงานหาโครงสร้างอันแท้จริงของพระราชวังในตำนาน ร่างระหงปลีกตัวออกมาจากทีมงาน และกำลังเดินห่างออกมาไกลพอสมควรพร้อมยกกล้องถ่ายรูปบันทึกภาพไปพร้อมๆ กันเลนส์กล้องซูมภาพจากระยะไกลไปทางเชิงเขา จู่ๆ พลันเกิดสายลมพาดผ่านร่างงามพร้อมปรากฏการณ์บางอย่างบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เมื่อเลนส์กล้องซูมเห็นบาง อย่างสะท้อนกับแสงแดดส่องประกายระยิบระยับอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เธออยู่เท่าใดนัก “แสงอะไร! กระจกอย่างนั้นเหรอ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำก่อนจะลดกล้องถ่ายรูปลงพลางก้าวเดินตรงไปยังจุดที่มีบางสิ่งกำลังสะท้อนกับแสงแดดอยู่บนพื้นในขณะนี้ “ชิงเชียง! นั่นคุณจะไปไหน” เสียงของเพื่อนร่วมงานชาวจีนตะโกนตามหลังเธอ หญิงสาวหยุดเดินก่อนจะหันกลับไปตอบ “จะเดินไปดูอะไรทางด้านโน้นหน่อยค่ะ อยากเห็นพื้นที่โดยรอบทั้งหมด” เธอตะโกนตอบกลับไป “โอเค! แต่อย่าเดินเข้าไปใกล้กองถ่ายหนังนะ ถัดจากนี้ไปกำลังมีกองถ่ายมาปักหลักถ่ายทำซีรีส์อยู่แถวนี้ เดี๋ยวพวกเขาเห็นคุณจะเอาไปเป็นนางเอกหนังแทนที่จะได้ทำงานเป็นสถาปนิกแทน” เพื่อนร่วมงานชาวจีนกล่าวกระเซ้า “โอ๊ย! มีผู้หญิงสวยเยอะแยะพวกเขาไม่เอาฉันไปเป็นนางเอกหนังหรอกค่ะ ขืนเอาไปสิคงไม่มีใครดูหรอก” เธอตะโกนตอบกลับไปตามนิสัยขี้เล่นของนาง “ว่าเข้าไปนั่น... ถ้าไม่เอาไปเป็นนางเอกสิโง่ตายเลยขอบอก สวยซะขนาดนี้” เพื่อนชาวจีนตะโกนบอกเธอทำให้หญิงสาวได้แต่ส่ายศีรษะไปมาพร้อมหัวเราะเบาๆ เพียงครู่ร่างระหงมาหยุดยืนอยู่ตรงจุดที่เกิดแสงสะท้อนก่อนจะทรุดกายลงนั่งยองๆ กับพื้นพร้อมใช้มือเรียวเขี่ยดินบริเวณนั้นออก เผยให้เห็นเศษกระจกแตกทาบทับอะไรบางอย่างอยู่ด้านล่าง ก่อนจะดึงเศษกระจกออกพร้อมดึงสิ่งนั้นออกจากใต้ดิน ก่อนจะชูขึ้นเหนือพื้น คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นั่นก็คือป้ายหยกซึ่งแกะเป็นมังกรเคียงคู่พระจันทร์ “ป้ายหยก! ใครทำตกหายกันนะ ของใครหนอ” หญิงสาวนั่งครุ่นคิดอยู่ภายในใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคล้ายขบวนของฝีเท้าม้ากำลังมุ่งหน้ามายังจุดที่เธอกำลังนั่งอยู่ เบื้องหน้าสายลมที่กำลังพาดผ่านตัวเธอมาพร้อมกับสายหมอกบางๆ ลงปกคลุมไปทั่วบริเวณ ก่อนจะปรากฏภาพขบวนม้าเร็วที่มีขุนศึกนั่งอยู่บนหลังม้าจำนวนสิบตัววิ่งฝ่าสายหมอกตรงดิ่งมาที่เธอประหนึ่งหลุดออกมาจากโลกยุคโบราณก็ว่าได้ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นมาโดยพลัน เมื่อเห็นชายฉกรรจ์หน้าตาดุดันแลน่ากลัวอย่างยิ่งยวดนั่งอยู่บนหลังม้าซึ่งมีไม่ต่ำกว่าสิบคนกำลังควบม้าตรงมาทางเธอ แต่ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้น นั่นก็คือแต่ละคนสวมชุดเกราะในสมัยโบราณด้วยกันทั้งสิ้น ในมือมีอาวุธคู่กายอยู่ด้วยกันทุกคน “อะไรนี่! กองถ่ายอยู่ใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ... แต่... แต่ทำไมถึงวิ่งตรงมาทางนี้ล่ะ... วิ่งตรงมาที่ฉันทำไม้!!!” หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะตั้งสติรีบวิ่งหนีไปจากจุดดังกล่าวด้วยความรวดเร็ว “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที! ช่วยฉันด้วย!” เธอตะโกนขอความช่วยเหลือไปตลอดทางด้วยความตกใจสุดขีด ร่างงามรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่บนหลังม้าวิ่งตามหลังมาติดๆ ท่ามกลางสายหมอกบางๆ และสายลมพาดผ่าน มิติแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้นในยุคปัจจุบันตามคำอธิษฐานขององค์ชายรองแห่งแคว้นฉินอย่างไม่คาดฝัน และยังนำป้ายหยกประจำพระองค์ซึ่งสลักมังกรเคียงคู่กับพระจันทร์มาโผล่ในยุคปัจจุบัน พร้อมชักนำให้ชิงเชียงได้เก็บป้ายหยกดังกล่าวขององค์ชายรองแห่งแคว้นฉินเอาไว้ได้ ลิขิตแห่งเทพจันทราจึงพลันบังเกิดขึ้นทันที ในขณะเดียวกัน ยุคอดีต “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที! ช่วยด้วย!” เสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือดังกึกก้อง เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังกล่าวทำให้องค์ชายรองแห่งแคว้นฉิน ซึ่งหมดพระสติไปเมื่อครู่ที่ผ่านมากลับฟื้นคืนพระสติขึ้นมาโดยพลันเมื่อได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือของโฉมตรู “เฮือกกก!!!” องค์ชายหนุ่มสะดุ้งจนสุดพระองค์ พระเศียรที่ฟุบลงอยู่กับฟูกพระบรรทม ค่อยๆ ยกขึ้นมาช้าๆ เมื่อทรงได้ยินเสียงของนางในฝันร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจนพระองค์ได้ยินอย่างชัดเจน “ชิง... ชิงเชียง!” สุรเสียงรับสั่งออกมาอย่างอิดโรย พระวรกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ ค่อยๆ ทรงยืนขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะคว้าหอกประจำพระองค์ที่วางอยู่รวมกับเครื่องศาสตราวุธที่ทรงใช้ในสนามรบ นำมาค้ำยันพระวรกายจนสามารถยืนได้เต็มความสูง ก่อนจะพระดำเนินออกไปนอกกระโจม “ชิงเชียง!... ข้าได้ยินเสียงชิงเชียงของข้า!” รับสั่งเพรียกหานางในฝันไปตลอดทางที่ทรงพระดำเนินจนกระทั่งถึงประตูกระโจมพร้อมใช้พระหัตถ์เปิดผ้าที่กำลังปิดทางเข้าของกระโจมดังกล่าวอยู่จนเปิดออกกว้าง บรรดาทหารและแม่ทัพนายกองต่างหันกลับมามองเป็นจุดเดียวกัน เมื่อรู้สึกว่าประตูกระโจมถูกเปิดออก แต่แล้วจู่ๆ สายหมอกขาวโพลนพลันบังเกิดขึ้นจนปกคลุมไม่เห็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่องค์ชายรองแห่งแคว้นฉินทรงยืนอยู่ตรงหน้ากระโจมนั่นเอง “ชิงเชียง! ชิงเชียง!” สุรเสียงตะโกนเพรียกหานางในฝัน พร้อมพระดำเนินออกมาจากนอกกระโจม พระเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรตรงไปเบื้องหน้าฝ่าสายหมอกที่กำลังปกคลุมไปทั่วค่ายทหารของพระองค์อยู่ในขณะนี้ ทันใดนั้นเอง “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” เสียงของชิงเชียงนางในฝันพลันดังกึกก้องขึ้นท่ามกลางสายหมอก ก่อนจะปรากฏร่างระหงของหญิงงามในชุดสุดแปลกประหลาด วิ่งฝ่าสายหมอกที่ปกคลุมอยู่ในขณะนี้ตรงมายังจุดที่องค์ชายรองทรงประทับยืนอยู่ พระเนตรสีนิลกาฬค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึงเมื่อทรงทอดพระเนตรร่างระหงของหญิงสาวนางนั้นกำลังวิ่งฝ่าสายหมอกตรงมาหาพระองค์ และหญิงดังกล่าวนั้นก็คือนางในฝันซึ่งพระองค์เพิ่งได้ทอดพระเนตรใบหน้าอันแท้จริงจากในความฝันเมื่อครู่ที่ผ่านมานี้เอง ข้างฝ่ายหญิงสาวซึ่งวิ่งหนีมาอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมร้องตะโกนขอความช่วยเหลือไปตลอดทาง ครั้นเมื่อเห็นร่างบุรุษสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอท่ามกลางสายหมอกที่กำลังปกคลุม ใบหน้าสวยยิ้มกว้างด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด “คุณคะ ได้โปรดช่วยฉันด้วย! ช่วยด้วย!” หญิงสาวเอ่ยขอความช่วยเหลือบุรุษตรงหน้า ก่อนจะเซถลาสะดุดหกล้มครั้นวิ่งเกือบมาถึงตรงหน้าเขา “ชิงเชียง!!!” องค์ชายรองตะโกนก้องจนสุดพระสุรเสียง เมื่อทอด พระเนตรหญิงสาวตรงหน้าในระยะใกล้ชิด หอกประจำพระองค์ที่ทรงใช้ค้ำยันพระวรกายถูกขว้างออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อสกัดกั้นขบวนม้าศึกเมื่อทอดพระเนตรขบวนม้าเหล่านั้นกำลังวิ่งไล่หลังตามมาติดๆ และใกล้จะถึงตัวของนางอยู่รอมร่อ “ฟิ้ววว! ฉึก!” หอกประจำพระองค์ถูกขว้างออกไปทันที ก่อนจะปักลงพื้นดินขวางหน้าขบวนม้าศึกที่กำลังควบม้าจนเต็มฝีเท้าจนหยุดชะงักทันใด พระวรกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ รีบถลารับร่างงามของหญิงสาวที่กำลังจะล้มลงกับพื้นเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียดก่อนจะล้มลงไปกับพื้นด้วยกันทั้งคู่ “ตุ้บ!” ร่างของหญิงสาวตกอยู่ภายในอ้อมกอดกว้างของบุรุษในอดีตกาลที่คอยเพรียกหาเธออยู่ทุกลมหายใจเข้าออกและทุกทิวาราตรี ทั้งสองตกอยู่ในอ้อมกอดซึ่งกันและกันเป็นครั้งแรก หลังจากที่ต่างฝ่ายได้แต่ฝันถึงกันมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ข้ามยุค ข้ามภพ และข้ามชาติกันเลยทีเดียว “ชิงเชียง! ชิงเชียงของข้า! นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม... เจ้ามาหาข้าแล้วจริงๆ” องค์ชายรองรับสั่งด้วยความตื่นเต้นและดีใจจนมิอาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเจรจาใดๆ ออกมาได้ ท่อนพระกรกอดรัดร่างงามที่อยู่ในอ้อมกอดของพระองค์ด้วยความรักอย่างยิ่งยวด ในขณะที่อีกฝ่ายยังรู้สึกงงๆ กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวใหญ่ตรงหน้าที่กำลังกกกอดเธอเอาไว้แนบอกอยู่ในขณะนี้ ครั้นเธอมองใบหน้าหล่อเหลาอยู่เพียงครู่ ภาพผู้ชายในความฝันก็ผุดขึ้นในความทรงจำขึ้นมาทันที “คุณ!... นี่คุณจริงๆ อย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวพูดพร้อมยกมือเรียวสวยสัมผัสใบหน้าหล่อเหลาเพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งที่เธอกำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ผู้ชายในฝันของเธอมีตัวตนจริงๆ มิได้ฝันไปดั่งเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา แม้ใบหน้าหล่อเหลาจะแลดูซีดเซียวเพราะเกิดจากอาการบาดเจ็บแต่ก็มิได้ทำให้พระสิริโฉมอันงดงามขององค์ชายรองลดน้อยถอยลงไปแม้แต่น้อย พระหัตถ์หนารีบตะครุบมือเรียวสวยของเธอเอาไว้ในอุ้งพระหัตถ์ทันที นี่เป็นครั้งแรกที่ทรงถูกอิสตรีสัมผัสพระวรกายในระยะประชิดเช่นนี้ นอกจากพระมารดาแล้วไม่เคยมีหญิงใดสัมผัสพระองค์แบบใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเพราะพระองค์ไม่อนุญาตนั่นเอง ทว่าหัวใจกลับทำตามคำเรียกร้องอย่างโหยหา แทนที่จะปัดป้องเพราะคำว่าไม่งามประกอบกับทรงมีพระอิสริยยศที่สูงส่งแต่ทรงกลับยกมือเรียวสวยของนางในฝันพร้อมประทับจุมพิตหนักๆ ลงบนหลังมือของนาง ด้วยแรงรักแรงเสน่หาที่ทรงมีต่อนางในฝันอย่างยิ่งยวดทันที “ชิงเชียงของข้า! เจ้ามีตัวตนจริงๆ ครั้งนี้ข้าไม่ได้ฝัน! ไม่ได้ฝันจริงๆ” สุรเสียงรับสั่งออกมาแผ่วเบาได้ยินเพียงสองคน จู่ๆ น้ำตาของหญิงสาวพลันเอ่อล้นคลอเบ้าอย่างมิรู้สาเหตุ เมื่อการแสดงออกขององค์ชายรองแห่งแคว้นฉิน บุรุษในความฝันของเธอ ได้แสดงความรักและเสน่หาอย่างแนบชิดและเปิดเผยจนหัวใจของหญิงสาวสั่นคลอนเสียนี่กระไร “เป็นคุณจริงๆ หรือนี่ ในที่สุดก็เป็นคุณจริงๆ ผู้ชายในความฝันของชิงเชียง” คำกล่าวของหญิงสาวทำให้องค์ชายฉินเสวี้ยนกงทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างด้วยความดีพระทัยยิ่งนัก ก่อนจะเหลือบไปทอดพระเนตรป้ายหยกประจำพระองค์อันเป็นของรักของหวง ซึ่งพระองค์หวงแหนมากที่สุด บัดนี้กลับไปอยู่ในมือเรียวสวยอีกข้างของนาง “ไปเอาป้ายหยกประจำตัวของข้ามาจากไหน เหตุใดจึงมาอยู่กับเจ้า” รับสั่งถามด้วยความแปลกพระทัยระคนสงสัยพร้อมกับทรงครุ่นคิดตาม พระองค์ทรงจดจำได้ว่าก่อนจะสิ้นพระสติเมื่อครู่ที่ผ่านมาทรงอธิษฐานขอพรกับเทพจันทราซึ่งอยู่บนป้ายหยกของพระองค์ พร้อมมีสุรเสียงรับสั่งขึ้นมาทันที “หรือว่าเทพจันทราทรงได้ยินคำอธิษฐานจากหัวใจของข้า จึงได้ดลบันดาลให้ได้พบกับเจ้าป้ายหยกของข้าจึงไปอยู่ที่เจ้าและชักนำให้มาหาข้าเป็นแน่แท้” หญิงสาวก้มลงมองป้ายหยกที่อยู่ในมือของเธอทันที ครั้นได้ยินคำกล่าวจากบุรุษตรงหน้า “เอ่อ... ฉัน” คนงามได้แต่อึกอักพูดอะไรไม่ออกยังสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังเกิดอยู่ในขณะนี้แท้จริงแล้วนี่คือความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ พร้อมสุรเสียงแผ่วเบาดังแทรกขึ้น “หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย หยกของข้าที่อยู่ในมือของเจ้าขณะนี้จะพกติดกายไม่เคยห่าง ในเมื่อตอนนี้หยกของข้าอยู่กับเจ้า เช่นนี้แล้วก็ขอมอบให้แก่เจ้าเพื่อเป็นตัวแทนความรักและให้ไว้เพื่อคอยคุ้มครองเจ้าตลอดไป” รับสั่งพร้อมเอื้อมพระหัตถ์โอบอุ้มมือเรียวสวยของโฉมงามเอาไว้ทั้งสองข้าง สายพระเนตรจับอยู่ที่ใบหน้าอันงดงามอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้แน่พระทัยว่าทรงมิได้ฝันไปแม้แต่น้อย ชิงเชียงนั่งนิ่งไม่ไหวติงเมื่อได้ยินรับสั่งขององค์ชายแห่งแคว้นฉินจากยุคอดีต ทรงมีรับสั่งกับเธอเช่นนั้น “ฉันจะเก็บไว้ติดตัวตลอดเวลาค่ะ” เธอตอบกลับไปโดยไม่เสียเวลาครุ่นคิดแม้แต่น้อย ราวกับว่าหัวใจสั่งให้เอ่ยออกมาเช่นนั้น คำตอบของหญิงสาวเล่นเอาคนฟังหัวใจพองโตเปี่ยมสุขอย่างเหลือ ล้น เพราะการที่นางตอบรับกลับมาเช่นนั้น เท่ากับว่านางทรงรับหยกประจำพระองค์เป็นตัวแทนความรักที่มีให้ทั้งหมด และหมายถึงว่านางมีคนรักแล้ว นั่นก็คือองค์ชายรองแห่งแคว้นฉินจากยุคอดีตกาลนั่นเอง สิ้นเสียงของหญิงสาวปรากฏสายลมพาดผ่านคนทั้งสอง พร้อมมิติกาลเวลาพลันเปิดขึ้นอีกครั้ง เสียงอื้ออึงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ จากยุคปัจจุบันและจากยุคอดีตผสมปนเปจนเซ็งแซ่จับต้นชนปลายไม่ถูกเลยทีเดียว “เรนี่! เรนี่คุณอยู่ไหน!” เสียงตะโกนของทีมงานชาวอังกฤษ ตะโกนชื่อหญิงสาวจากยุคปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน “องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงตะโกนของบรรดาทหารในกองทัพดังเอ็ดอึงจากยุคโบราณ สายหมอกบางๆ เริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง พร้อมร่างของชิงเชียงค่อยๆ ถูกดึงกลับยุคปัจจุบันไปต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ชายรอง “อย่าไปจากข้าชิงเชียง! อย่าไป!” สุรเสียงเพรียกหานางในฝันดังก้องระงม พระหัตถ์หนาพยายามไขว่คว้ามือเรียวสวยของนางเพื่อยื้อให้อยู่กับพระองค์จนกำไลหยกของอีกฝ่ายหลุดติดพระหัตถ์กลับมาก่อนจะเลือนหายไปต่อหน้าพระพักตร์ทันที “ไม่นะชิงเชียง! ชิงเชียง!!!!” สุรเสียงตะโกนรับสั่งชื่อของนางจนสุดพระสุรเสียง พร้อมสายหมอกที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณอยู่ในขณะนั้นเลือนหายไปโดยพลัน “พรึ่บ!” ผู้คนจากยุคอดีตเลือนหายไปทันที เหลือเพียงร่างงามระหงนั่งอยู่กับพื้นในท่าที่คล้ายกำลังถูกใครบางคนสวมกอดอยู่ตลอดเวลา “เรนี่! เรนี่!” เพื่อนร่วมงานของเธอต่างพากันเรียกชื่ออังกฤษของหญิงสาวพร้อมเขย่าร่างงามไปมา เมื่อเห็นเธอนั่งนิ่งไม่ไหวติงราวกับว่าถูกสาปให้กลายเป็นหิน “ฉัน... ฉันไม่ได้เป็นอะไรรู้สึกตัวดี” เธอบอกกับเพื่อนร่วมงานก่อนจะหันกลับมามองหน้าทุกๆ คน “เป็นอะไรหรือเปล่า... พวกเราเห็นเธอเหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่าง วิ่งหนีอะไรมาอย่างนั้นเหรอ” บรรดาเพื่อนร่วมงานต่างพากันถามเอ็ดอึง ริณรณีย์เงยหน้ามองเพื่อนร่วมงานของเธอทั้งชาวอังกฤษและชาวจีน แต่ยังมิทันเอ่ยตอบออกไป เสียงเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาวจีนด้วยกันดังแทรกขึ้นมาทันที “โอ้โห! เพิ่งจะรู้ว่าคุณมีป้ายหยกของเชื้อพระวงศ์พกติดตัวเอาไว้ด้วย ได้มาจากไหนอย่างนั้นเหรอ” เพื่อนร่วมงานชาวจีนมองป้ายหยกที่อยู่ในมือของเธอตาเป็นประกาย ป้ายหยกดั่งกล่าวมองดูก็รู้ว่าเป็นของแท้ไม่ใช่ของปลอมที่ทำขึ้นลอกเลียนแบบ เพียงแต่จะเป็นของเก่าแก่หรือเปล่าเท่านั้นเอง มือเรียวซึ่งกำป้ายหยกอยู่ในขณะนั้นค่อยๆ ยกขึ้นมาพิจารณาอย่างช้าๆ ก่อนจะย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแลดูเป็นความฝันแต่สิ่งที่เธอสัมผัสช่างเหมือนจริงเสียนี่กระไร และเธอแน่ใจว่าสิ่งที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่ที่ผ่านมาเป็นความจริงหาใช่ความฝันแม้แต่น้อย “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรา! ทำไมถึงมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นนับ ตั้งแต่เราบินมาที่นี่ด้วยนะ” หญิงสาวรำพึงอยู่ภายในใจพร้อมเสียงของเพื่อนร่วมงานชาวจีนเอ่ยถามเธออีกครั้ง “ว่ายังไงชิงเชียง ไม่ได้ยินที่ถามอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวหันกลับไปมองหน้าเพื่อนร่วมงานคนดังกล่าว พลางก้มลงมองป้ายหยกที่อยู่ในมือของเธอไปพร้อมๆ กันก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป “ของคุณพ่อชิงเชียง ท่านให้ไว้พกติดตัว ถามทำไมเหรอ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความสงสัย เพื่อนร่วมงานคนดังกล่าวทำหน้าเสียดายอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ยินเช่น นั้น “เสียดายจังเลยนึกว่าไปซื้อมาตามร้านขายของโบราณก็เลยอยากจะซื้อต่อ เพราะหยกรูปแบบลักษณะที่แกะสลักเป็นลายมังกร จะเป็นหยกประจำพระองค์ระดับเชื้อพระวงศ์ ลวดลายสวยแปลกตามาก สลักเป็นภาพมังกรเคียงคู่กับพระจันทร์ หาไม่ได้ง่ายๆ เลย เป็นเครื่องประดับของชนชั้นเชื้อพระวงศ์ระดับองค์ชายขึ้นไปเลยเชียวนะ” “องค์ชายอย่างนั้นเหรอ” คุณหนูคนสวยเอ่ยทวนคำกล่าวของเพื่อนร่วมงาน “ถ้าไม่มีอะไรก็ดีแล้ว รีบกลับกันเถอะแถวนี้มืดเร็ว พอมืดแล้วน่ากลัวขนลุกขนพองเลยเชียวละ พื้นที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานแบบนี้ ขืนอยู่นานเดี๋ยวจะเจอดี” เพื่อนร่วมงานชาวจีนบอกพร้อมหันกลับไปพูดกับทีมงาน ก่อนจะช่วยกันพยุงหญิงสาวให้ลุกขึ้นจากพื้น ข้างฝ่ายชิงเชียงก็ปล่อยให้ทีมงานพาเธอออกจากพื้นที่ดังกล่าว แต่ก็มิวายที่จะหันหลังกลับไปมองบริเวณที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์ประหลาดกับเธอเมื่อครู่ที่ผ่านมา ภายในใจเฝ้าครุ่นคิดในขณะที่กำลังเดินทางกลับไปโดยตลอด ในขณะเดียวกัน ยุคอดีต เหล่าทหารในกองทัพต่างพากันวิ่งตรงมาที่องค์ชายของตน ขบวนม้าศึกที่หยุดชะงักเพราะถูกหอกประจำพระองค์สกัดขวางกั้นเอาไว้ มิให้บังคับม้าวิ่งผ่านมานั้น ต่างพากันรีบลงจากหลังม้าก่อนจะพากันทรุดกายลงนั่งตรงหน้าพระพักตร์ทันที “องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทและฮองเฮาส่งคณะหมอหลวงมาพร้อมกับขบวนมาเร็วแล้ว เสด็จกลับเข้าไปข้างในกระโจมเถอะพ่ะย่ะค่ะ คณะหมอหลวงจะได้ถวายการรักษาให้กับพระองค์” องค์ชายฉินเสวี้ยนกงในยามนี้ ทรงไม่ได้ยินในสิ่งที่บรรดาทหารของพระองค์กราบทูลแม้แต่น้อย พระเนตรจับอยู่ที่กำไลหยกซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ตลอดเวลา ก่อนจะลูบไล้ไปมาเบาๆ ราวกับว่าทรงต้องการให้แน่พระทัยว่าเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็วนั้น เป็นความจริงหาใช่ความฝันแต่อย่างใด “พวกเจ้าเห็นกำไลหยกที่อยู่ในมือของข้า... หรือไม่” รับสั่งถามย้ำกับบรรดาทหารที่คุกเข่าตรงหน้าพระพักตร์เพื่อให้แน่พระทัยว่าสิ่งที่อยู่ในพระหัตถ์นั้นคือความจริง “เห็นพ่ะย่ะค่ะ!” บรรดาทหารที่นั่งอยู่ตรงหน้าพระพักตร์ ต่างพร้อมใจตอบกลับมา “พวกเจ้าเห็นอะไร” รับสั่งถามกลับไปอีกครั้ง “กำไลหยกพ่ะย่ะค่ะ... องค์ชายสงสัยอะไรอย่างนั้นเหรอ... ว่าแต่กำไลหยกของอิสตรีเหตุใดจึงอยู่กับพระองค์” เหล่าทหารต่างพากันทูลถามกลับไปเป็นเสียงเดียวกัน และนั่นทำให้สีพระพักตร์ที่ซีดเซียวเต็มไปด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์กว้างปรากฏออกมาทันที เมื่อทรงได้ยินบรรดาทหารตอบกลับมาเช่นนั้น “ไม่ได้ฝันจริงๆ ในที่สุดนางก็มีตัวตนและมาหาข้า... นางมาหาข้าแล้วจริงๆ!” รับสั่งย้ำไปย้ำมาอยู่เช่นนั้น พร้อมทรงมีรับสั่งขึ้นโดยมิหันกลับมาทอดพระเนตรเหล่าทหารแม้แต่น้อย สายพระเนตรยังคงจับอยู่แต่กำไลหยกซึ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์เท่านั้น “พวกเจ้าจงไปนำหมอหลวงให้เข้ามาดูบาดแผลของข้าได้แล้ว!” สุรเสียงดังก้องได้ยินอย่างชัดเจน ในยามนี้พระหทัยที่เคยแห้งแล้งและปวดร้าวหัวใจมาตลอดระยะ เวลาอันยาวนาน กลับชุ่มชื้นขึ้นมาทันใด กำลังใจที่เคยหมดไปพลันหวนกลับ คืนมาโดยพลัน เมื่อผู้เป็นหนึ่งเดียวในหัวใจของพระองค์ซึ่งเฝ้ารอคอยมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานในที่สุดก็มีตัวตนจริงๆ พระหัตถ์หนากำกำไลหยกของนางในฝันเอาไว้จนแน่น “ข้าจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอชิงเชียง ต่อให้ต้องรอคอยนานแค่ไหนหรือจะต้องรอจนชั่วชีวิต ข้าก็จะรอนาง ชิงเชียง... ชิงเชียงของข้า” รับสั่งได้เพียงเท่านั้น พระสติพลันดับวูบลงไปโดยพลัน พิษของบาดแผลฉกรรจ์ทั้งสองแห่งที่ทรงได้รับมานั้นส่งผลให้กับพระวรกายขององค์ชายรองผู้ปราดเปรื่องสิ้นพระสติลงไปอีกครา ท่ามกลางความวุ่นวายของบรรดาทหารภายในกองทัพ ต่างอลหม่านวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งค่าย พร้อมเสียงตะโกนเอ็ดอึงดังก้องไปทั่วบริเวณ “หมอหลวง!!!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD