บริเวณตำหนักจันทรา
ปลายเท้าเรียวสวยซึ่งสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวพาร่างงามระหงก้าวเดินตรงไปเบื้องหน้า ช่วงขาเรียวยาวค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดหินทีละขั้น สายตามองตรงไปที่สิ่งก่อสร้างตาไม่กะพริบก่อนจะหยุดยืนมองมิก้าวเดินต่อไปอีก เมื่อเธอก้าวขึ้นบันไดมาถึงขั้นสุดท้ายพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้เผยให้เห็นอย่างชัดเจน
“เหมือน... เหมือนที่ฝันเห็นไม่มีผิดเพี้ยนเลย เป็นไปได้ยังไงกันนี่... นี่เราฝันไปหรือเปล่า” เธอพูดพร้อมใช้นิ้วเรียวหยิกเข้าที่ต้นแขนตัวเองอย่างแรง
“โอะ... โอ๊ยยย! ไม่ฝันแฮะ... เราไม่ได้หลับ กำลังตื่นอยู่ ตำหนักจันทรามีอยู่จริงๆ สถานที่ที่เราฝันเห็นมาตลอดไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในบ้านของตัวเองที่ประเทศจีน ไม่อยากจะเชื่อเลย” หญิงสาวรำพึงรำพัน
ดวงตาจ้องไปที่ป้ายชื่อขนาดใหญ่ติดอยู่เหนือขอบประตู แลดูเก่าแก่แต่ยังคงสภาพดีอย่างไม่น่าเชื่อ เท้าทั้งสองรีบก้าวเดินตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเอง
“เหวออออ!!!” หญิงสาวสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่อยู่บนพื้น จนทำให้ร่างงามเซซัดเซซ้ายไปมา
“หมับ!” หากแต่มิทันจะล้มหัวคะมำลงกับพื้นพลันมีมือหนารวบเอวบางของเธอเอาไว้ทางด้านหลังได้อย่างทันท่วงที
ร่างอรชรตกอยู่ในวงแขนอันแข็งแกร่ง ร่างน้อยๆ ห้อยศีรษะไปมาอยู่เช่นนั้นเกือบจะล้มลงไปกับพื้นดินอย่างฉิวเฉียดเลยทีเดียว
“โอ๊ยยย! เกือบไปแล้วเชียว” หญิงสาวพึมพำเบาๆ พร้อมถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่าชิงเชียง” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยกับเธออยู่ทางเบื้องหลัง และนั่นเป็นเหตุให้ร่างอรชรหันกลับไปมองต้นเสียงที่พูดกับเธอทันทีเมื่อเจ้าหล่อนจดจำเสียงดังกล่าวได้เป็นอย่างดี พร้อมกับดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นคนที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ
“คุณ!” ริณรณีย์เอ่ยสรรพนามของบุคคลตรงหน้าได้เพียงแค่นั้น
สายตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของผู้ชายตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นในระยะใกล้ชิดอีกเป็นครั้งที่สองในเวลาไล่เลี่ยกัน
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า... บอกข้าสิ” เสียงที่แฝงเร้นด้วยอำนาจเอ่ยถามเธอด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด
“มะ... ไม่... ไม่เจ็บ... ไม่เจ็บเลยค่ะ” คนงามตอบกลับไปอึกๆ อักๆ
ดวงตากลมโตยังคงมองใบหน้าหล่อคมดั่งดาราหนังเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ฝันไป แต่แล้วจู่ๆ เสียงหนึ่งพลันดังแทรกขึ้นมา
“คุณหนู... คุณหนูขอรับ... คุณหนูชิงเชียง!!!” เสียงของคุณปู่ฟูหัวตะโกนร้องเรียกหาเธอ
ร่างอรชรที่ยืนเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศในท่าคล้ายกำลังถูกประคองจากทางด้านหลังกลับล้มหัวคะมำลงไปที่พื้นดินทันที
“อั้ยย่ะ! อั้ยย่ะ! ตุ้บ!”เธอเปล่งเสียงอุทานด้วยความตกใจพร้อมร่างระหงเซถลาลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นตามด้วยเสียงร้องโอดโอย
“อู๊ยยย... เจ็บจัง...” คนงามบ่นกระปอดกระแปดพร้อมกับร่างสันทัดของชายชรามาเห็นคุณหนูของตนล้มหัวคะมำลงไปกับพื้นเข้าให้พอดี
“คุณหนู!” ร่างสันทัดตรงดิ่งเข้าไปประคองร่างอรชรให้ลุกขึ้นจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว
“บอกแล้วว่าอย่าเดินมาตามลำพัง บริเวณนี้ไม่ได้เทพื้นปูน คงสภาพเมื่อครั้งอดีตไว้ทุกประการ พื้นดินแถวนี้จึงไม่เรียบเตียนเหมือนเรือนฝั่งเหนือ ดูสิขอรับ หกล้มมีแผลถลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้” คุณปู่ฟูหัวบ่นเป็นหมีกินผึ้งเลยทีเดียว โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าคุณหนูคนสวยกำลังมองหน้าตนเองตาไม่ระพริบ
“คุณปู่คะ... เมื่อกี้เห็นใครอยู่กับชิงเชียงไหม เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ สูงสักประมาณร้อยเก้าสิบน่าจะได้ เมื่อกี้เขารับชิงเชียงเอาไว้ไม่ให้ล้มลงกับพื้น”
คำกล่าวของคุณหนูคนงามทำให้ชายชราขมวดคิ้วขาวเข้าหากันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“คุณหนูเห็นผู้ชายอยู่ในบริเวณนี้อย่างนั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะมีผู้ชายเล็ดลอดเข้ามา เพราะกำแพงด้านนอกที่ล้อมบ้านตระกูลฟ่าน ปล่อยกระแสไฟฟ้าแรงสูงเพื่อป้องกันขโมยอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน จะมีก็แค่บ่าวไพร่ที่ล้วนแล้วแต่เป็นวัยกลางคนและแก่ชราเหมือนกระผมนี่แหละ และที่สำคัญเรือนโบราณฝั่งตะวันออกมีผู้ชายแค่คนเดียวก็คือกระผมนะ”
คนสวยนิ่งงันไปเลยทีเดียวเมื่อได้ยินชายชราที่คอยดูแลบ้านตระกูลฟ่านมานานนับหลายสิบปีอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด
“เอื๊อก!!!” ชิงเชียงค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอ
“แล้วเมื่อกี้ทำไมเราถึงได้เห็นเขาคนนั้น เราตาฝาดไปเองอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ... ไม่สิก็เห็นชัดๆ เต็มสองตาเลย” เธอบ่นพึมพำอยู่คนเดียวท่ามกลางสายตาของชายชรา
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ จู่ๆ ก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียวว่าตาฝาดแต่เห็นชัดๆ ฟังแล้วงง” ผู้สูงวัยถามกลับไปด้วยความสงสัยทำให้ใบหน้าสวยค่อยๆ ฉีกยิ้มแห้งๆ ออกมา
“ปะ... เปล่า... ค่ะคุณปู่ ชิงเชียงแค่บ่นให้กับตัวเองว่าคงตาฝาดเห็นอะไรก็เท่านั้นเองค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมค่อยๆ ลากขาเรียวเพื่อชันเข่าขึ้น
แต่แล้วกลับต้องหยุดชะงักเมื่อรองเท้าผ้าใบของเธอสัมผัสถูกกับอะไรบางอย่างจากพื้นดิน ปลายเท้าที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาวค่อยๆ กวาดดินและใบไม้ออก ก่อนจะเห็นสิ่งที่โผล่ขึ้นมาจากเหนือพื้นดิน คล้ายมีของบางอย่างถูกฝังอยู่ด้านล่าง
ร่างงามรีบลุกขึ้นนั่งพลางใช้มือเรียวค่อยๆ กวาดใบไม้และดินออกไปจนหมดจนเห็นชิ้นส่วนที่โผล่ขึ้นมาจากเหนือดินตรงหน้า คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจ
“อะไรเนี่ย มีลวดลายด้วย เครื่องปั้นดินเผาอย่างนั้นเหรอ” ครั้นคิดได้เช่นนั้น ดวงตากลมโตพลันเบิกกว้างขึ้นมาทันใดก่อนจะรีบมองหาอุปกรณ์ที่สามารถขุดลงไปในดินได้
“มีอะไรเหรอครับคุณหนู” ฟูหัวเอ่ยถามพร้อมก้มลงสังเกตพื้นดินตรงหน้า
“มีอะไรฝังอยู่ในดินตรงขาของชิงเชียงค่ะคุณปู่ มีอะไรขุดไหมคะ... อยากรู้ว่ามันคืออะไร” หญิงสาวบอกความต้องการของเธอกลับไปทันที
“อ่อ... มีครับ มีชุดทำสวนอยู่ที่ห้องเก็บของติดกับกำแพง คุณหนูรอสักครู่ เดี๋ยวกระผมจะไปเอามาให้... แล้วอย่าเพิ่งเดินไปไหนนะขอรับ เดี๋ยวจะหกล้มหรือโดนอะไรขึ้นมาอีก” ชายชราเอ่ยกำชับด้วยความเป็นห่วงคุณหนูของตน
“ค่ะคุณปู่ ชิงเชียงจะไม่เดินไปไหนเลยค่ะ จะรออยู่ตรงนี้แหละ” หญิงสาวชูสองนิ้วให้สัญญา
ชายชราได้แต่ส่ายหัวไปมาพร้อมลุกขึ้นยืน พลางรีบก้าวเดินกลับไปทางเดิมเพื่อนำเครื่องมือทำสวนมาให้คุณหนูของตน
ชิงเชียงก้มลงมองวัตถุที่โผล่พ้นมาจากพื้นดิน พลางใช้มือเรียวค่อยๆ เกลี่ยดินบริเวณนั้นออกจนเผยให้เห็นรูปร่างคร่าวๆ ของวัตถุตรงหน้า
“มีลวดลายแกะสลักด้วย หน้าตาคล้ายมังกรเลย” ดวงตากลมโตจดๆ จ้องๆ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตาไม่กะพริบ
เพียงครู่ร่างสันทัดของชายชราก็กลับมาพร้อมกับเสียมยาวและเสียมสั้นอย่างละอัน พลางทรุดนั่งลงกับพื้นดินตรงหน้า
“คุณหนูลุกออกจากบริเวณนี้ก่อนขอรับ... เดี๋ยวเศษดินจะเปื้อนเสื้อ ผ้าเอาได้” ชายชราบอกคุณหนูของตน
คุณหนูคนงามลุกขึ้นจากพื้นอย่างว่าง่ายพลางถอยออกมายืนห่างๆ เฝ้ามองคุณปู่ฟูหัวใช้เสียมยาวลงมือขุดสิ่งที่ฝังอยู่ในดินตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
เพียงไม่นานหน้าดินตรงหน้าเธอถูกขุดลงไปอยู่ในระดับลึกเท่าข้อ ศอก เผยให้เห็นสิ่งที่คล้ายเครื่องปั้นดินเผามีลวดลายสลักเป็นมังกร รูปร่างคล้ายระฆังซึ่งทำมาจากดินเผา ก่อนจะถูกมือเหี่ยวย่นของคุณปู่หยิบขึ้นมาพร้อมชูขึ้นเหนือพื้นด้วยความแปลกใจ
“กระดิ่งลม!” เสียงของหญิงสาวและชายชราเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ทำไมถึงมีกระดิ่งลมมาฝังไว้ในดินแบบนี้ล่ะคะคุณปู่... แปลกจัง” หญิงสาวพึมพำออกมาเบาๆ มือเรียวสวยค่อยๆ ยื่นไปรับจากชายชราก่อนจะยกสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณารูปร่างอย่างละเอียด
“คิดว่าคงจะเป็นกระดิ่งลมที่แขวนไว้เพื่อสังเกตทิศทางลมในสมัยโบราณมากกว่าจะใช้เป็นฮวงจุ้ยนะขอรับ” ชายชราเอ่ยแสดงความคิดเห็นออกมาจากรูปพรรณสัณฐานที่เพิ่งขุดพบ และนั่นทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันทันที
“ทำไมคุณปู่ถึงมั่นใจว่าเป็นกระดิ่งลมเพื่อใช้สังเกตทิศทางลมแทนที่จะใช้เป็นฮวงจุ้ยล่ะคะ แล้วรู้ได้ยังไงว่าไอ้เจ้านี่อยู่ในสมัยโบราณ” คนงามถามกลับไปด้วยความสงสัย
กงฟูหัวคลี่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อคุณหนูคนสวยเอ่ยถามเช่นนั้น
“สังเกตไม่ยากหรอกคุณหนูชิงเชียง สิ่งของที่ทำขึ้นในสมัยโบราณยุคก่อนรวมแผ่นดินหรือหลังแผ่นดิน สังเกตจากเครื่องใช้ต่างๆ นี่แหละ ถ้ายุคก่อนรวมแผ่นดินเครื่องใช้มักจะทำจากดินเผา ไม้ เปลือกหอย ทองแดงและทอง จากที่สังเกตกระดิ่งลมนี้ทำมาจากดินเผาแกะสลักลวดลายเป็นมังกร แสดงว่าเป็นเครื่องใช้ภายในราชวงศ์ก่อนรวมแผ่นดิน กระดิ่งลมในสมัยนั้นจึงไม่ได้นำมาใช้เพื่อศาสตร์ฮวงจุ้ยแต่ใช้เพื่อคอยสังเกตทิศทางลม”
คำอธิบายอย่างละเอียดของคุณปู่ทำให้คนงามยืนอึ้งไปทันที
“โอ้โห! คนปู่จับสังเกตและล่วงรู้อายุของชิ้นนี้เลยเหรอคะ เท่ากับว่ากระดิ่งลมที่อยู่ในมือของชิงเชียงมีอายุเก่าแก่ตั้งสามพันกว่าปีเลยอย่างนั้นเหรอ”
ชายชราพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเป็นการยอมรับสิ่งที่คุณหนูคนสวยกล่าวออกมา
“คุณหนูส่งกระดิ่งลมมาเถอะขอรับ เดี๋ยวจะเอาไปทำความสะอาดและจะได้นำไปเก็บไว้ในห้องวัตถุโบราณที่เรือนตะวันออก” ชายชรากล่าวพร้อมเอื้อมมือหมายจะรับสิ่งที่อยู่ในมือของคุณหนู
หากแต่หญิงสาวเบี่ยงตัวหนีอย่างรวดเร็วพร้อมเอ่ยขึ้น
“ชิงเชียงขอเก็บเอาไปศึกษาก่อนนะคะคุณปู่ ส่วนเรื่องทำความสะอาดเดี๋ยวจะทำเอง ศึกษาเสร็จแล้วจะเอามาคืนให้ค่ะ อยากรู้ว่าลวดลายมังกรที่แกะสลักมีลักษณะยังไงบ้าง” หญิงสาวบอกความต้องการของเธอออกไป
“เอาแบบนั้นก็ได้ขอรับ คุณหนูศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อไรก็บอกได้เลยตลอดเวลา จะได้ให้เด็กๆ ลงบันทึกในรายการวัตถุโบราณที่ขุดพบในบริเวณบ้านทำเป็นบัญชีให้นายท่านได้รู้”
“โอ้โห! ถึงขนาดต้องทำรายการบัญชี แสดงว่าภายในบริเวณนี้ขุดเจอของโบราณอยู่บ่อยๆ อย่างนั้นเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจระคนสงสัย
“ก็ขุดพบบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้านับรวมระยะเวลาอันยาว นานที่ผ่านมา ก็มากพอสมควร” กงฟูหัวตอบกลับไปตามความเป็นจริง
หญิงสาวเอียงคอมองทันทีครั้นมีความรู้สึกสงสัยอย่างยิ่งยวด
“วัตถุโบราณขุดเจอภายในบ้านมากขนาดนี้ น่าแปลกมากเลยนะคะที่รักษามาได้นับรุ่นต่อรุ่นมาอย่างยาวนานแบบนี้ไม่อยากจะเชื่อเลย”
“การให้สัจจะและความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ผู้นำทุกรุ่นของตระกูลฟ่านให้ปฏิญาณเอาไว้เมื่อถูกมอบหมายให้เป็นผู้นำ เป็นสิ่งที่ชาวจีนทุกคนยึดถือและปฏิบัติมาอย่างยาวนานนับหลายพันปีและตระกูลฟ่านก็เป็นหนึ่งในตระกูลที่รักษาสัจจะยิ่งชีพเลยขอรับ”
ชิงเชียงพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันเมื่อเธอเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสตรงหน้าอธิบาย ก่อนจะได้ยินชายชราเอ่ยขึ้น
“นี่ก็ใกล้เที่ยงวันแล้ว คุณหนูหิวหรือยังขอรับ จะได้โทรบอกให้บ่าวไพร่จัดอาหารกลางวันพร้อมของว่างเตรียมไว้รอ คุณหนูกลับไปจะได้ทานเลย”
หญิงสาวยืนครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ดวงตากลมโตเปล่งประกายขึ้นมาทันที
“จัดอาหารและของว่างเยอะๆ เอามาทานกลางวันในนี้ดีกว่าค่ะ ชิงเชียงขี้เกียจเดินกลับไปกลับมา นั่งทานกับพื้นในที่ร่มๆ และชมดอกโบตั๋นไปด้วย คงจะฟินน่าดูเลย” หญิงสาวพูดพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำท่าฟินอยู่คนเดียวท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ของผู้สูงวัย
“เดี๋ยวจะโทรสั่งบ่าวไพร่ให้จัดการตามที่สั่งทุกอย่าง คุณหนูอยู่คนเดียวสักครู่นะ เดี๋ยวจะเดินกลับไปดูความเรียบร้อยไม่เกินครึ่งชั่วโมงอาหารกลางวันเตรียมพร้อมเสิร์ฟให้คุณหนู ณ ตำหนักจันทราขอรับ”
“คร้า... ขอบคุณค่ะคุณปู่” หญิงสาวลากเสียงยาวพร้อมรับคำ
ชายชรายิ้มบางๆ พลางหันหลังกลับเดินตรงไปทางบ้านฝั่งทางทิศเหนือเพื่อเตรียมอาหารกลางวันโดยมีดวงตากลมโตคู่สวยของชิงเชียงมองตามหลังจนลับสายตา
ร่างงามค่อยๆ หันกลับไปมองประตูตำหนักที่ปิดสนิทอยู่ตรงหน้า ก่อนจะมองเลยไปตรงชายคาประตูที่มีชานยื่นออกมา พร้อมสังเกตเห็นมีไม้รูปร่างคล้ายตะขออยู่ตรงซ้ายขวาของประตู ราวกับว่าใช้แขวนอะไรบางอย่าง
“เอาแขวนไว้ตรงนี้ก่อนก็แล้วกันอยู่สูงดี คนโบราณเขาชอบแขวนกระดิ่งลมเพื่อสังเกตทิศทางลมและยังเสริมเป็นฮวงจุ้ยที่ดีให้กับบ้านอีกด้วย อยากฟังเสียงเหมือนกันว่าพอกระทบกับลมแล้วเสียงจะดังออกมาแบบไหน”
ริณรณีย์พูดพร้อมยกกระดิ่งลมที่อยู่ในมือของเธอขึ้นไปแขวนกับตะขอซึ่งยื่นออกมาจากชายคาของประตูโดยไม่รู้เลยว่าเป็นตำแหน่งเดียวกันกับกระดิ่งลมที่ถูกแคว้นเอาไว้ในอดีตกาลเช่นเดียวกัน
ทันใดนั้นเอง
“ฟิ้วววว!!!!” สายลมอ่อนๆ บังเกิดขึ้นโดยพลัน
“กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!”
กระดิ่งลมที่เพิ่งนำมาแขวนที่ชานระเบียงหน้าประตูพลิ้วไหวไปมาครั้นเมื่อต้องสายลมพาดผ่าน ส่งเสียงกังวานไพเราะเสนาะหูขึ้นมาทันใด และรวมไปถึงกลิ่นหอมรัญจวนของเหล่าดอกโบตั๋นพลันฟุ้งกระจายตลบอบอวลขึ้นมาทันที พร้อมกับไอขาวคล้ายสายหมอกค่อยๆ ปรากฏขึ้นทันใด ก่อนจะเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณ และบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของริณรณีย์
โซ่ขนาดใหญ่ที่คล้องประตูตรงหน้าตำหนักเมื่อครู่ พลันเลือนหายไปชั่วพริบตา
“แอ๊ดด!!!” เสียงประตูตรงหน้าที่ปิดตายมาเป็นเวลานานพลันดังขึ้นทันใด
ประตูที่ถูกปิดตายมานานกว่ายี่สิบเอ็ดปีค่อยๆ เปิดออกกว้างอย่างช้าๆ ทั้งๆ ที่กงฟูหัวบอกว่าไม่สามารถเปิดออกได้มานานมากแล้ว เบื้องหน้าประตูเปิดออกด้วยตัวเองเผยให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในท่ามกลางอาการตกตะลึงของสาวเจ้า
“โอ้โห! ข้างในนี้สวยจัง... ทำไมคุณปู่ถึงบอกว่าถูกปิดตายล่ะ สภาพแบบนี้มีคนอยู่ชัดๆ และต้องคอยดูแลทำความสะอาดอยู่ตลอดเวลาแน่ๆ สะอาดสะอ้านซะขนาดนี้” เธอกล่าวชื่นชมไม่ขาดปาก
เท้าที่ยืนอยู่นอกเขตประตูค่อยๆ ยกขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อก้าวข้ามธรณีประตูพาร่างงามแทรกสายหมอกที่กำลังปกคลุมไปทั่วบริเวณเข้าไปข้างใน โดยมิรู้ตัวเลยว่ากำลังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นกับชีวิตของเธอ
เพราะทันทีที่กระดิ่งลมถูกนำมาแขวนไว้ที่เดิมตรงหน้าประตูตำหนักจันทรา มิติแห่งกาลเวลาจากแรงรักแรงคิดถึงของบุรุษในอดีตกาลและทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยดำรงอยู่ในอดีตและในปัจจุบันได้กลับมาอยู่ในจุดเดียวกัน ส่งผลให้ประตูตำหนักจันทราเกิดมิติห้วงเวลาของยุคอดีตกาลบังเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
“ชิงเชียง!!!”