รถญี่ปุ่นสีบรอนซ์เงินคันกะทัดรัดประหยัดน้ำมันจอดลงใต้ต้นไม้แต่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ในทันที คนขับละมือจากพวงมาลัยรถปลดเข็มขัดนิรภัยของตนเองจนเรียบร้อย จึงยื่นมือไปประครองใบหน้าเล็กๆบนเบาะข้างๆที่ปรับเอนจนสุดให้เอียงมาอีกฝั่ง ก่อนหยิบผ้าอ้อมผืนหนึ่งที่เบาะหลัง มาม้วนเป็นก้อนกลมตั้งใจจะหนุนศรีษะน้อยชื้นเหงื่อเพราะนอนทับอยู่นานให้พลิกมาอีกด้าน
“ถึงแล้วเหรอคะคุณแม่ขา”
เสียงสาวน้อยถามลืมตาโตแป๋วแหววมองมารดา ใบหน้ายังคงงัวเงียนิดๆ
“ค่ะ น้องนอนต่อไหมลูก”
“ไม่ค่ะ พอใจจะลงไปวิ่งวิ่ง วิ่งที่บ้านคุณยาย... ได้ไหมคะ” เสียงน้อยๆถาม พร้อมใบหน้าจิ้มลิ้มดวงตาสีดำสีเดียวกับใครอีกคนสะท้อนออกมาให้คนเป็นแม่นึกไปถึง
จึงยิ้มอ่อนโยน ลูบศรีษะบุตรรักด้วยความเอ็นดู “ได้ค่ะ เดี๋ยวคุณแม่อุ้มน้องลงรถนะ”ว่าแล้วกุลีกุจอเปิดประตูฝั่งตนเอง อ้อมมาจัดการให้ลูกรัก พอลงรถได้เสียงเจื้อยแจ้วบอกขึ้น
“คุณแม่ขา บ้านคุณยายส้วย สวยนะคะ”
“แล้วบ้านเราไม่สวยเหรอลูก”
“สวยค่ะ แต่น้องไม่ชอบบ้านเราแล้วได้ไหมคะ ไม่มีผีเสื้อเยอะๆแบบบ้านคุณยายนี่คะ”
สาวน้อยออกเดินสำรวจตาโตดำขลับมองผีเสื้อตัวเล็กตัวใหญ่ที่บินเรี่ยพื้นไปมาด้วยความเบิกบานใจ คนเดินตามอดยิ้มแย้มผ่อนคลายตามด้วยไม่ได้ ปีก่อนที่พาลูกรักมายังไม่รู้ภาษาเท่านี้ พอเห็นพัฒนาการของลูกเลยได้แต่ยิ้มมองด้วยสายตาเปี่ยมรัก
ไม่นานนักเจ้าของสถานที่เดินลงจากบ้านไม้กึ่งปูนใต้ถุนสูงค่อยๆจับราวบันไดพากายที่อายุเลยวัยเกษียณมาเพียงห้าปีลงเหยียบพื้น ทักเสียงสดชื่นไม่แพ้หน้าตา
“มาพบใครคะ”
“คุณยาย…” เสียงน้อยๆเรียกหญิงสูงวัยก่อนจะวิ่งปร๋อเข้าไปหา กระพุ่มมือไว้อย่างน่ารักน่าชัง จนชื่นจิตต์ พยาบาลวัยเกษียณผู้เป็นป้าต้องเอียงคอยิ้มอ้าแขนให้อีกฝ่ายเข้ามากอดรัดแบบทุกทีที่ได้พบ แม้สองแม่ลูกจะมาเพียงปีละครั้งแต่หญิงวัยเกษียณนั้นหากมีเวลาจะต้องแวะเวียนไป เอาของไปให้เดือนเว้นเดือนก็ว่าได้ ยิ่งหลานตัวน้อยน่าชังขนาดนี้ ท่านยิ่งมีเหตุไปหาบ่อยๆ
“ใจคอแม่เราไม่คิดจะพามาหายายเลยนะ...ใช่ไหม”
ชื่นจิตต์พูดกระทบคนแม่ให้ลูกฟัง
“มาทีก็ต้องแอบๆหลบๆมา นี่ถ้าไม่บอกว่า คนบางคนไม่อยู่บ้านหลายวันเพราะไปดูงานก็คงไม่พายัยหนูมาเยี่ยมป้าเลยสินะ”
มัชฌิมายิ้มบางๆหลบตาผู้เป็นป้าที่พูดราวกับรู้ใจของเธอดี
คนพูดค้อนหลานที่เกิดจากน้องสาวแท้ๆและเสียชีวิตไปพร้อมคู่สมรส
และเธอรับเลี้ยงหลานสาวคนนี้ต่อด้วยความรักจนเติบใหญ่ก่อนจะตัดสินใจปุบปับแต่งงานกับรุ่นพี่ที่สถาบันเดียวกันตั้งแต่เพิ่งเรียนจบ เมื่อเห็นว่าฝ่ายชายดูรักใคร่ห่วงใยในตัวหลานดี จึงยินยอมตามความต้องการของหลานสาว
แล้วชวนผู้มาใหม่
“ไปลูก ขึ้นบ้าน”
เด็กหญิงยิ้มก่อนจำนรรจาราวกับผู้ใหญ่
“บ้านคุณยายยังสวยมากอยู่เลยนะคะ เหมือนคุณยายเปี๊ยบเลยค่ะ”
“ปากหวาน...มาอยู่กับยายไหมลูก”
สาวน้อยมุ่ยหน้าหันไปทางมารดาราวกับขออนุญาต
“คุณแม่ขา...”
ชื่นจิตต์ลูบศรีษะเล็กๆก่อนเปรย
“ยายไม่มีใคร มีแค่แม่หนูกับหนู ถ้ายายเป็นอะไรไป…”
มัชฌิมาท้วงน้ำเสียงบึ้งตึงเล็กน้อย เพราะผู้เป็นป้ามักพูดจาทำนองนี้บ่อยๆ แม้จะรู้ว่าเป็นสัจธรรม แต่หากถึงวันนั้นจริงก็ไม่รู้ว่าตนจะทำใจได้มากน้อยแค่ไหน
“ทำไมพูดแบบนี้ละคะคุณป้า”
“คนเราเกิดมาก็ต้องตายทุกคน ป้าพูดผิดตรงไหนกัน”
ไม่ทันได้คุยอะไรกันต่อ เสียงรถคันหนึ่งขับเข้ามาจอดไม่ห่างจากรถของเธอ
ชื่นจิตต์ชะเง้อมองถามงึมงำ “ใครมากันนั่น”
คนมาใหม่ในชุดเสื้อยีนแขนยาวสีซีดพับแขนแบบลวกๆแค่ข้อศอกเปิดประตูพร้อมถุงของเต็มสองมือ ทำเอามัชฌิมาที่มองตามมาใจหายวาบ หันมาคาดคั้นทางสายตากับผู้เป็นป้า ก่อนถามเสียงแผ่ว
“ไหนคุณป้าว่า…”
“สวัสดีครับป้าชื่น”
ชายหนุ่มคนมาใหม่เดินมายืนประจันหน้ากับเธอ ใบหน้าหล่อเหลาติดบึ้งตึงที่มัชฌิมาไม่กล้าหลอกตัวเองว่าลืมได้เลย ตั้งแต่การจากลาในครั้งนั้น ทำให้หัวใจแม่ลูกหนึ่งกระตุกวูบ หัวใจสั่น หายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาในทันที