“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง อย่าลืมสิว่าฉันก็เป็นหนึ่งในทหารเสือที่ร่วมรบพร้อมกับพวกแกทุกครั้ง ฉันไม่ใช่คนอ่อนแอที่จะปล่อยให้ใครมาทำอันตรายได้ง่ายๆ พวกแกก็น่าจะรู้ดี” เรื่องความเก่งกาจด้านการต่อสู้และการใช้อาวุธพวกเขารู้ดีว่านายเหนือหัวของพวกเขาไม่เคยแพ้ใคร แต่จะให้ไม่เป็นห่วงเลยก็ใช่ที่ สีหน้าของทุกคนตอนนี้จึงเต็มไปด้วยความกังวล
“แต่บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ ผู้หญิงคนนั้นอาจจะไม่ใช่สายของไอ้ฟาฮัสก็ได้” จู่ๆ ความคิดของฮาซานก็เปลี่ยนไป ทำให้ฮารีฟถึงกับหันขวับมามองหน้าพี่ชาย
“เอ้า! แล้วแกจะพูดให้ฉันกังวลตั้งแต่แรกเพื่อ?”
“ฉันก็แค่พูดเผื่อไว้จะได้ระวังตัวกันไง ไม่ได้คิดจะให้ทุกคนต้องมาเครียดแบบนี้นี่หว่า เอาเป็นว่ามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด ยังไงก็อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ฉันไม่อยากให้เครียดกันไปก่อน” ฮาซานพูดก่อนจะหันมายิ้มแหยๆ ให้ทุกคน
“ไม่ทันแล้วมั้ง กูเครียดไปแล้ว” ฮารีฟประชดพี่ชายเข้าให้
“เฮ้อ...! แกสองคนนี่ช่างสมเป็นพี่น้องกันจริงๆ” เฟาซีถึงกับถอนหายใจแรง
“เอาเถอะ!จะใช่หรือไม่ใช่ ยังไงเราก็ต้องระวังตัวเอาไว้ ว่าแต่คนของแกแจ้งมาว่าใช่ที่นี่ไม่ผิดแน่นะฮารีฟ” ชีคหนุ่มถามขึ้น หลังจากที่พวกเขารอสังเกตการณ์มาพักใหญ่
“ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเงินสนับสนุนหลักของมันก็ได้มาจากที่นี่ด้วย แล้วที่เห็นบริษัทใหญ่โตแบบนี้ ก็แค่ธุรกิจบังหน้า เบื้องหลังธุรกิจมืดทั้งนั้น ทั้งยาเสพติด ค้าอาวุธเถื่อน แล้วถ้าคิดไม่ผิดที่เครือข่ายของไอ้ฟาฮัสยังอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะว่ามีเงินหนาของที่นี่คอยหนุนหลังมันไว้นี่แหละพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟที่รับหน้าที่หาข่าวอธิบายอย่างละเอียด
“ถ้าฟังจากที่เล่ามา ฟาฮัสกับเจ้าของบริษัทนี้คงมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เสี่ยงยอมช่วยมันขนาดนั้น” ชีคหนุ่มให้ความเห็น
“เรื่องนี้กระหม่อมก็ไม่มั่นใจนัก แต่จากสายข่าวที่ได้มาบอกว่า พวกมันเป็นพ่อลูกกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม! ก็เป็นไปได้สูง มันถึงได้พยายามปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ล่อให้พวกเราตามจับมันที่โน่นที่นี่ เพื่อให้เราไขว้เขวเพราะไม่อยากให้ใครไปยุ่งกับลูกกับอู่ข้าวอู่น้ำของมัน”
“แต่มันประมาทฝ่ายข่าวของกระหม่อมเกินไป หึ! กระหม่อมจะทำให้มันรู้ว่ากระหม่อมร้ายได้มากแค่ไหน” ฮารีฟยืดอกยกตนอย่างคนมีความดีความชอบ แต่ก็ต้องมาสะอึกเพราะคำถามต่อมาของเฟาซี
“ด้วยการ?”
“เอ่อ...ตอนนี้ยังคิดไม่ออก คิดออกแล้วจะบอก แต่รับรองว่ามันต้องเจ๋งแน่” ทุกคนพากันเมินหน้าหนีกับประโยคราคาคุยของฮารีฟ
“แต่ฉันคิดออกแล้ว ในเมื่อมันพยายามปกป้องลูกของมัน เราก็จะพยายามเข้าหาลูกของมัน เพื่อล่อให้มันเป็นฝ่ายออกมาหาเราตามแผน” ชีคหนุ่มยิ้มมุมปาก
“นั่นเลยพ่ะย่ะค่ะที่กระหม่อมจะคิด” แล้วทุกคนเบือนก็หน้าหนีอย่างเอือมระอาอีกครั้ง หลังจากได้ฟังที่ฮารีฟโพล่งออกมา
“หึ! ดีไม่ดีตอนนี้มันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าเราอยู่ที่นี่ ที่ที่ใกล้ลูกของมันแค่เอื้อม” ตอนนี้ดูเหมือนความกังวลก่อนหน้าของทุกคนได้ถูกปลดเปลื้องไปแล้วจากรอยยิ้มมุมปากของชีคหนุ่ม อีกทั้งรอยยิ้มนี้ยังสร้างความฮึกเหิมให้กับฮารีฟได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ถ้าอย่างนั้นเราบุกขึ้นไปหาลูกมันตอนนี้เลยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” ไม่ทันขาดคำ ฮารีฟก็เปิดประตูพรวดออกไป
“โครม!”
“เฮ้ย!” ทุกคนในรถแทบจะอุทานออกมาพร้อมกัน เมื่อประตูรถที่ถูกเปิดออกดันเปิดเป็นจังหวะเดียวกับรถจักรยานยนต์ที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ สุดท้ายจึงประสานงากันอย่างจัง ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยของเจ้าของรถคู่กรณี
“โอ๊ย!” พรสวรรค์พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน เมื่อเธอถูกรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กของตัวเองล้มทับเอาไว้ ความรู้สึกตอนนี้มันเลยทั้งเจ็บทั้งจุกจนน้ำตาซึม จนต้องเงยหน้าขอความช่วยเหลือจากเจ้าของประตูรถที่เธอเพิ่งชน พลันเสียงร้องจากคนในรถก็ดังขึ้น
“เฮ้ย! นี่มัน...ผู้หญิงคนเมื่อกี้นี่” ฮารีฟชี้ไปที่พรสวรรค์ด้วยสีหน้าตกตะลึง
“เป็นอย่างที่แกพูดไว้ไม่มีผิดฮาซาน ผู้หญิงคนนี้ย้อนกลับมาจริงๆ อารักขาท่านชีคเร็ว” ฮารีฟกระวีกระวาดคว้าปืนขึ้นมาและหันปลายกระบอกปืนไปทางพรสวรรค์ทันควัน ในขณะที่พรสวรรค์นั้นก็ผงะด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! ฉันเจ็บอยู่นะเว้ย ไม่ช่วยแล้วยังเอาปืนมาจ่อ พวกคุณทำฉันเจ็บนะเว้ยเฮ้ย มีสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันแบบนี้” คนที่กำลังทั้งเจ็บทั้งโมโหชี้หน้าด่ากราดเสียงดัง
“นั่นไง มันเริ่มส่งรหัสลับกันแล้ว ให้ตายสิ! ฉันถอดโค้ดลับของมันไม่ได้เลยสักตัว” เอ่อ...นั่นมันภาษาไทยโว้ย โค้ดลงโค้ดลับซะที่ไหนเล่า
“ยัง! ยังไม่มาช่วยกันอีก เห็นไหมเนี่ยว่ามันทับฉันอยู่ มาช่วยกันก่อนสิโว้ย” เอ่อ...คนหนึ่งก็เสียงดังโวยวายเพราะลุกไม่ขึ้น ส่วนอีกคนก็หวาดระแวงจนวิตกจริต เพราะฟังที่อีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่อง เหตุการณ์เลยดูวุ่นวายไปหมด
“ให้จัดการเลยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ ก่อนที่พวกของมันจะพากันแห่มาจัดการเรา” ฮารีฟกลายเป็นหนุ่มเลือดร้อน ร่ำๆ จะจัดการศัตรูท่าเดียว
“เฮ้ย! ระเบิด ผู้หญิงคนนั้นมีระเบิด” ฮารีฟรีบกระโดดคว้าย่ามมาจากมือของพรสวรรค์ เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะหยิบบางอย่างออกมา ก่อนจะเขวี้ยงมันออกไปสุดแรง จากนั้นก็ทรุดหมอบลงไปกับพื้นอย่างรอคอย แต่จากเสียงระเบิดที่รอคอยดันกลายเป็นเสียงแว้ดๆ ของเธอ
“กรี๊ด...! ไอ้บ้า อยู่ดีๆ มาเขวี้ยงของของฉันทำไม ฮือ...! โทรศัพท์ฉัน” พรสวรรค์กรีดร้องด้วยความตกใจ เธอจะไม่โกรธเท่านี้เลยถ้าในย่ามใบโปรดใบนั้นไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือที่เธอยังผ่อนไม่หมดอยู่ด้วย แล้วขว้างไปซะแรงขนาดนั้น เชื่อเถอะว่าป่านนี้มันคงจำร่างเดิมไม่แล้ว
“อะเอ่อ...ไม่ระเบิดนี่” คนที่กำลังนอนปิดหูรอคอยเสียงระเบิด ถึงกับเสียงอ่อน
“ไอ้ฮารีฟ ทำบ้าอะไรของแก ไปโยนของเขาทำไม” ฮาซานรีบเปิดประตูลงมา ก่อนจะปรี่เข้าไปยกรถมอเตอร์ไซค์
“ให้ตายสิ! ทำบ้าอะไรของแกวะเนี่ย ผมต้องขอโทษแทนน้องชายผมด้วยนะครับ” ฮาซานต่อว่าน้องชายแล้วจึงหันมาค้อมศีรษะขอโทษคนที่ยังนั่งแหมะอยู่กับพื้นเป็นภาษาอังกฤษ ในขณะที่พรสวรรค์นั้นตอนนี้แทบไม่รับรู้อะไรอีก เพราะยังเสียดายโทรศัพท์ไม่หาย
“ก็แกเป็นคนบอกเองว่าผู้หญิงคนนี้จะกลับมา แล้วเขาก็มาจริงๆ นั่นก็หมายความว่าผู้หญิงคนนี้เป็นนางนกต่อเป็นสายให้ไอ้ฟาฮัสอย่างที่แกพูดจริงๆ แล้วฉันผิดเหรอวะที่ต้องระวัง” ฮารีฟบอกอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ในขณะที่ฮาซานนั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“เออ...ฉันผิดเอง แต่เรื่องนั้นเอาไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้ช่วยผู้หญิงก่อน” สองพี่น้องตั้งใจจะหันไปพยุงคนที่ยังนั่งมองถุงย่ามที่อยู่ไกลๆ อย่างอาลัยอาวรณ์และเลื่อนลอย แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน เมื่อชีคหนุ่มที่ก้าวลงมาจากรถตอนไหนไม่รู้ชิงตัดหน้ายื่นมือไปตรงหน้าเธอซะก่อน
“ลุกขึ้นสิ” น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับนุ่มทุ้มและดึงดูดความสนใจของเธอกลับมาได้ พรสวรรค์มองมือที่ยื่นมาตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมาเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดอยู่ที่...ใต้เข็มขัด
“อะเฮือก!” เธอผงะชะงักค้าง เพิ่งรู้ตัวว่าแว่นหนาๆ ได้หลุดออกไปจากใบหน้าของเธอแล้ว ความจริงแค่แว่นอันเดียวมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าแว่นอันนั้นไม่ใช่แว่นที่ช่วยอำพรางความพิเศษทางสายตาของเธอที่สามารถมองผ่านทะลุเสื้อผ้าได้ และเมื่อไม่มีมันแล้ว สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้คือ...บางอย่างที่อยู่ใต้ร่มผ้านั่นเอง