“เอ้านี่! เดี๋ยวสิ แล้วนี่จะไปทั้งสภาพอย่างนั้นเนี่ยนะ” นีรนุชวิ่งตามออกมา ทำให้พรสวรรค์จำต้องชะงัก พลันก้มมองสภาพตัวเองตามที่อีกฝ่ายว่า ก่อนจะร้องโวยวายเสียงดัง
“อะไรของป้าอีกเนี่ย หนูก็แต่งตัวเรียบร้อย ทั้งเสื้อเชิ้ตทั้งกระโปรงตามระเบียบทุกอย่างยังจะเอาอะไรอีก โอ๊ย! หนูไม่คุยกับป้าแล้ว ป้าจะถ่วงเวลาหนูใช่ไหมเนี่ย” พรสวรรค์เดินเร็วๆ ไปที่รถมอเตอร์ไซค์สีชมพูคันเล็กค่อนไปทางเก่าของตัวเอง ในขณะที่คุณป้าก็ยังเดินตามมาไม่เลิก
“มันก็เกือบจะดีไง ถ้าไม่มีรองเท้าผ้าใบมอซอของแก เอ้า! นี่เอาไป ฉันให้ยืม” คุณป้าว่าพลางยื่นรองเท้าคัทชูของตัวเองไปให้
“โอ๊ย! ไม่เอาหรอกป้า มันสูง หนูเดินไม่ถนัด”
“ก็ถ้าแกอยากได้งานนี้ แกก็ต้องใส่ เอ้า! เอาไป ถึงฉันจะไม่อยากให้แกไปสมัครงานอะไรนั่นสักเท่าไหร่ แต่ฉันก็ไม่อยากให้แกต้องอายใคร ไม่มีบริษัทใหญ่ๆ ที่ไหนเขาอยากรับพนักงานกะโปโลไปทำงานด้วยหรอก จำไว้ถ้าอยากได้งานดีๆ บุคลิกภาพภายนอกก็สำคัญ อย่าให้ใครดูถูกเอาได้ว่าแกเป็นแค่เด็กกะโปโล” เหตุผลกับสีหน้าจริงจังของนีรนุชทำให้พรสวรรค์จำต้องรับรองเท้าคัทชูของอีกฝ่ายมาสวมอย่างช่วยไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ งั้นหนูไปนะ” พรสวรรค์ยกมือไหว้
“เอ้า! แล้วนี่จะไปมอเตอร์ไซค์อย่างนี้เหรอ เอารถฉันไปสิ ยังไงวันนี้ฉันก็ไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว” นีรนุชเห็นหลานสาวใส่ส้นสูงเดินเก้ๆ กังๆ แล้วก็ไม่อยากให้ขี่มอเตอร์ไซค์
“ไม่เอาหรอก รถติด หนูไปมอเตอร์ไซค์เร็วกว่า ไปนะป้า” พรสวรรค์บอกก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงป้าตะโกนไล่หลังมาอีก
“เอ้า! แล้วไม่กินมื้อเช้าก่อนรึไง” แล้วคุณป้าก็ได้คำตอบเป็นการโบกมือหยอยๆ กลับมา
“ยัยเด็กคนนี้นี่ สอนเท่าไหร่ไม่รู้จักจำ บอกแล้วว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ไปสัมภาษณ์งานทั้งที่ท้องยังว่างแบบนั้น จะเอาแรงเอาสมองที่ไหนไปสู้กับเขา คอยดูเถอะ ถ้าไม่ได้ขึ้นมาฉันจะสมน้ำหน้าให้ดู เฮ้อ! ยังไงป้าก็หวังว่าแกจะมีความสุขกับสิ่งที่แกเลือกนะมะลิ” เอาจริงๆ คนเป็นป้าก็อดห่วงหลานไม่ได้อยู่ดี ก่อนหน้านี้ที่พรสวรรค์เคยขอออกไปทำงานเสริม คนเป็นป้าก็มักจะยกเหตุผลขึ้นมาอ้างว่าอยากให้หลานตั้งใจเรียนให้เต็มที่เพียงอย่างเดียว พอมาวันนี้วันที่หลานเรียนจบแล้ว เหตุผลนั้นจึงใช้ไม่ได้อีก สิ่งที่ทำได้คือ คอยมองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ เท่านั้นเอง
“เฮอะ! เอะอะอยากได้คนมีประสบการณ์ ในเมื่อไม่ให้โอกาสฉันหาประสบการณ์ แล้วฉันจะมีประสบการณ์ได้ไงวะ ข้ออ้างทั้งเพ ทียัยนมตู้มนั่นไม่เห็นมีประสบการณ์ ยังได้งานนี้ไปหน้าตาเฉย เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของฉันสู้ความสวยความตู้มของยัยนั่นไม่ได้ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม บริษัทเฮงซวยนี่ก็ไม่ยุติธรรม ทำไมไม่วัดกันที่ความสามารถวะ” พรสวรรค์แบกความผิดหวังลงมาจากตึก หลังถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ที่หวังเอาไว้ปฏิเสธแบบไม่เป็นท่า สุดท้ายจึงมายืนเหวี่ยงยืนวีนด้วยความหงุดหงิดอยู่หน้าตึกแบบนี้
“นึกว่าฉันไม่อยากสวยรึไง ลองถ้าไม่มีไอ้แว่นหนาๆ นี่สิ ยัยตู้มนั่นก็สู้ฉันไม่ได้” เอ่อ...เหวี่ยงไม่พอ หลงตัวเองอีก
เธอจับไปที่ใบหน้าของตัวเองอย่างน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ก่อนจะหันไปมองเงาตัวเองในกระจกรถที่จอดสนิทอยู่ข้างๆ จากนั้นก็ฮัมเป็นเพลงออกมา
“ส่องดูกี่ทีกี่หน ก็เหมาะก็สมไปทุกส่วน โอ้ว่ากระจกเจ้าเอ๋ย เคยเจอะใครไหมเพอร์เฟคอย่างนี้ ฮา............!(กรุณาใส่ทำนองเพลงกระจกวิเศษ ของไก่ สมพล ลงไป)” เธอโยกย้ายใส่ลีลาท่าทางพร้อมกับยื่นหน้าไปใกล้ๆ กระจกฟิล์มดำตรงหน้า ทันใดนั้นเอง...กระจกก็ค่อยๆ เลื่อนลงมา พร้อมกับรอยยิ้มของคนข้างใน
“เฮือก!” พรสวรรค์ผงะชะงักค้างตาโต ปากที่กำลังงับคำฮัมเพลงเป็นอันอ้าค้างอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่คิดว่ารถที่จอดสนิทจะมีคนอยู่ข้างใน และทันทีที่ตั้งสติได้ เธอจึงรีบหันหลังไปอีกทาง พลันสองเท้าก็ก้าวออกไปเร็วๆ อย่างไม่คิดชีวิต และไม่คิดจะหันกลับมามองอีก
“น่ารักดีนะพ่ะย่ะค่ะ” เฟาซีเหลือบไปมองชีคหนุ่มที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ จนอีกฝ่ายรีบหุบยิ้มแทบไม่ทัน ก่อนจะรีบหันไปอีกทาง พลันต้องหันกลับมาอีกครั้งเพราะคำพูดของฮาซาน
“อย่าเพิ่งไว้ใจอะไรง่ายๆ บางทีนั่นอาจจะเป็นสายที่ไอ้ฟาฮัสมันส่งมาสอดแนมเรา กระหม่อมว่าเราควรจะระวังตัวเอาไว้ก็ดีนะพ่ะย่ะค่ะ”
“แกก็ระแวงเกินไป ผู้หญิงคนนั้นดูไม่เห็นจะมีพิษสงอะไร ออกจะน่ารักออกแนวโก๊ะๆ ไม่ประสาด้วยซ้ำ” ฮารีฟแย้งพี่ชายแทบจะทันที
“ก็ผู้หญิงแบบนี้แหละ ใสๆ เนิร์ดๆ แว่นหนาๆ ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ฆ่าผู้ชายตายมานักต่อนัก ถ้าไม่อยากตายเพราะมารยาร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงคนนี้ก็อย่าเชื่อภาพลวงตา ไอ้ฟาฮัสมันฉลาด ถึงได้ส่งผู้หญิงแบบนี้มา แล้วถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิดล่ะก็ ผู้หญิงร้ายเดียงสาคนนี้จะต้องย้อนกลับมา” ฮาซานบอกอย่างมั่นใจ ราวกับคนมีประสบการณ์เรื่องพวกนี้มาอย่างโชกโชน
“เดี๋ยวๆๆ แกคิดมากไปรึเปล่าฮาซาน ถ้าไอ้ฟาฮัสมันคิดจะใช้แผนที่แกว่าจริงๆ สู้มันส่งผู้หญิงสวยๆ หุ่นดีๆ มาไม่ง่ายกว่ารึไง แบบนั้นยังมีอะไรให้ดึงดูดกว่าผู้หญิงที่แทบไม่มีอะไรเลยแบบนี้นะเว้ย” ฮารีฟพูดราวกับเห็นความคิดพี่ชายเป็นเรื่องตลก
“แต่ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรคนนี้ก็ทำให้แกสนใจจนต้องชมเขาไม่ใช่เหรอ” ฮาซานตอกกลับ
“เออก็จริง เฮ้ย! แบบนี้มันเข้าทำนอง สวยมักนกตลกมักได้เลยนี่หว่า เป็นความไม่มีอะไรแต่ก็มีความแปลกที่น่าสนใจ ให้ตายสิ! ไอ้ฟาฮัสมันร้ายนะคะหัวหน้า ดีนะที่ฉันฉลาดรู้ทันมันซะก่อน ไม่อย่างนั้นพวกเราแย่แน่” เอ่อ...อยู่ๆ ก็ฉลาดขึ้นมาหน้าตาเฉย ทำเอาฮาซานถึงกับกลอกตาไปมา
“เดี๋ยวนะ! ถ้าอย่างนั้นเราก็อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้วน่ะสิ เอายังไงดีพ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมสั่งคนของเราออกมาอารักขาเลยดีไหม” ว่าแล้วฮารีฟก็หยิบปืนห้ากระบอกออกมาจากที่ซ่อนด้วยสีหน้าตื่นตระหนกประหนึ่งกระต่ายตื่นตูม
“ถามจริงเถอะว่ะ แกเป็นคนคิดแผนล่อไอ้ฟาฮัสจริงๆ รึเปล่า” เฟาซีที่นั่งอยู่โซนด้านหลังข้างๆ ชีคหนุ่ม อดไม่ได้ที่จะถามเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านหน้าบ้าง
“ก็จริงสิวะ” ฮารีฟเอี้ยวหน้ามาตอบเพื่อน
“ก็ถ้าอย่างนั้นแกจะตื่นเต้นทำไม ถ้ามันเป็นอย่างที่แกคิดจริงๆ นั่นก็เท่ากับว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเรา แล้ว...แกจะตื่นตูมเพื่อ?” เฟาซีพูดพลางกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอา
“เออ...ก็จริง แต่เฮ้ย! ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีนี่หว่า ลำพังถ้าฉันคนเดียวมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่ท่านชีคต้องเข้ามาเสี่ยงด้วย ใครจะไปทนเฉยอยู่ได้วะ” ในที่สุดฮารีฟก็ยอมรับออกมา ทั้งที่เป็นคนต้นคิดแผนการทั้งหมด แต่กลับเป็นคนที่กังวลมากที่สุดเช่นกัน