“แต่มันมีตั้งหลายวิธีนะพ่ะย่ะค่ะที่ไม่ต้องเสี่ยง” ฮาซานพยายามโน้มน้าวจนถึงที่สุด
“งั้นเจ้าก็ลองว่ามาสิ”
“เอ่อ...! ขอเวลากระหม่อมคิดก่อนได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ” ฮาซานอึกอักด้วยมันกะทันหันเกินไป หรือพูดง่ายๆ ว่ายังคิดไม่ออก
“ไม่ล่ะ! ฉันไม่อยากรอ เอาเป็นว่าฉันตัดสินใจแล้ว เราจะทำตามแผนของฮารีฟ” ทุกคนพากันถอนหายใจยาวด้วยไม่สามารถคัดค้านการตัดสินของชีคหนุ่มได้ ในขณะที่ตัวต้นคิดอย่างฮารีฟเองก็มีสีหน้าหนักใจไม่แพ้กัน
“เอ่อ...กระหม่อมคิดว่าเรายังพอมีเวลา ยังไงเรามาช่วยกันคิดหาวิธีอื่นที่...” ฮารีฟเริ่มไม่แน่ใจในแผนการครั้งนี้ จึงอยากจะเปลี่ยนแผน แต่ก็ถูกท่านชีคค้านขึ้น
“ไม่! ฮารีฟ ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันต้องทำยังไงบ้าง ว่าแผนของแกมาได้เลย”
“เอ่อ...ไม่ต้องทำอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ แค่ปล่อยข่าวออกไปว่าพระองค์เสด็จมา กระหม่อมเชื่อว่ามันไม่ยอมอยู่เฉยแน่ จากนั้นเราก็แค่รอให้มันลงมือ” ฮารีฟอึกอัก นึกอยากตบปากตัวเองที่เสนอแผนนี้ออกไปตั้งแต่แรก
“อืม! งั้นหน้าที่นี้ให้เจ้าจัดการไป และเพื่อไม่ให้มันไหวตัว ทำยังไงก็ได้ให้การปล่อยข่าวของเจ้าไม่ดูเป็นการจงใจ แต่ดูเป็นข่าวลับที่หลุดลอดออกไป”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟรับคำแข็งขัน แน่นอนว่างานนี้พวกเขาต้องรอบคอบเป็นสองเท่า เพราะมันหมายถึงชีวิตของท่านชีคด้วย
“และเพื่อความสมจริง จากนี้ไปฉันคือสามัญชนเช่นพวกแกทุกคน” สิ้นเสียงชีคหนุ่ม ทุกคนพากันหันมามองหน้ากัน ก่อนที่ฮารีฟจะเป็นฝ่ายโพล่งออกมาอย่างเข้าใจสถานการณ์
“ทำนองละครซ้อนละครใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ เล่นละครหลอกให้มันนึกว่าเรามาอย่างลับๆ แต่จริงๆ กลับตั้งใจให้ความลับรั่วไหลไปถึงมัน ให้ตายสิ ทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้วะเนี่ยฮารีฟ” ชีคหนุ่มยิ้มรับในไหวพริบของฮารีฟ แต่จะดีกว่านี้ถ้าพ่อคุณไม่หลงชื่นชมตัวเองจนออกนอกหน้า
“เพราะงั้นเราคงต้องเริ่มต้นกันตั้งแต่ตอนนี้ สั่งคนของเราให้ตามแค่ห่างๆ อยู่ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนพวกแกทุกคนก็ห้ามมีพิรุธ แล้วก็...ปฏิบัติกับฉันเหมือนเพื่อนคนหนึ่งก็พอ” ทั้งเฟาซีและฮาซานต่างพากันทำหน้าเครียด อดหวั่นใจกับแผนการครั้งนี้ไม่ได้ ต่างกับฮารีฟที่กลับมามั่นใจในแผนการของตัวเองอีกครั้ง และจับประเด็นบางอย่างจากคำพูดของชีคหนุ่มได้
“เพื่อนเหรอพ่ะย่ะค่ะ” จู่ๆ ฮารีฟก็ถามโพล่งออกมา
“อืม! จากนี้ไปอยู่ที่นี่เราคือเพื่อนกัน” ให้ตายเถอะ มันเป็นคำตอบที่เปิดโลกทัศน์แล้วก็จุดรอยยิ้มกว้างให้กับฮารีฟ ไม่รอช้าพ่อคุณก็สวมบทเพื่อนห้ามที่ต้องการ
“หึๆ งั้นเราไม่เกรงใจแล้วนะเพื่อน” ฮารีฟลุกไปนั่งข้างๆ พลางยกแขนพาดไหล่เพื่อนอย่างสนิทสนม ทำเอาอีกสองคนที่เหลือหันขวับไปมองตาโตจนแทบเหลือกถลนออกมานอกเบ้า พลันสองเท้าก็ก้าวถอยห่างออกมาโดยอัตโนมัติ ราวกับต้องการจะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้
“ก็เพื่อนชีคเป็นคนบอกเองว่าให้ปฏิบัติกับเขาเหมือนที่ปฏิบัติกับเพื่อน หรือพวกแกจะขัดรับสั่งท่านชีค ขัดรับสั่งเบื้องสูงนี่โทษหนักเลยนะโว้ย จริงไหมครับเพื่อน” ฮารีฟพูดพลางตบไหล่เพื่อนต่างศักดิ์เบาๆ ทำเอาเจ้าของไหล่ถึงกับหันมามองแรง และตอบกลับไปว่า...
“อืม!”
“เห็นไหมฉันบอกแล้วว่าท่านชีคทรงอนุญาตเต็มที่ โอกาสดีๆ ที่จะได้กอดคอกันตามประสาเพื่อนแบบนี้ ไม่ได้มีง่ายๆ นะเว้ย ยัง! ยังจะช้าอยู่ได้ มาๆๆ กอดคอกัน” สองหนุ่มหันมามองหน้ากัน ก่อนจะพากันเดินตรงเข้าไปหาเพื่อนใหม่แบบกล้าๆ กลัวๆ สองแขนที่กำลังวาดขึ้นพลันต้องชะงักค้างกลางอากาศ เพราะคำพูดต่อมาของเพื่อน
“อย่าลืมซะล่ะว่าเพื่อนคนนี้ยังสามารถสั่งบั่นคอเพื่อนเมื่อไหร่ก็ได้” ชีคหนุ่มพูดพลางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยท่าทางสบายๆ ต่างกับเพื่อนอีกสามคนที่เห็นจะไม่สบายด้วย ในขณะที่ฮาซานกับเฟาซีรีบถอยกลับไปยืนที่เดิมแทบไม่ทัน ฮารีฟเองก็ค่อยๆ พาขาสั่นๆ ของตัวเองถอยห่างตามมา
“เปลี่ยนจากเพื่อนเป็นลูกพี่น่าจะดีกว่าเนอะ เราจะได้มีระยะห่างระหว่างกัน” ฮารีฟทำหน้าจ๋อยๆ พลางจะส่งยิ้มแหยๆ อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวไปให้ ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าให้ฝั่งหนึ่งเป็นลูกพี่ และอีกฝั่งคือลูกน้องเป็นอันลงตัวที่สุด
“โอ๊ย! สายๆๆ สายแล้วๆ จะทันไหมเนี่ย” พรสวรรค์หรือมะลิสาวแว่นสุดเนิร์ดวิ่งกระหืดกระหอบลงมาจากชั้นบน ในสภาพที่หัวกระเซอะกระเซิง มือหนึ่งหอบแฟ้มเอกสาร ในขณะที่อีกมือก็กลัดกระดุมเสื้อให้วุ่นวายไปหมด
“เอ้าๆๆ จะรีบไปไหนนักหนาล่ะ ระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็ตกบันไดหัวร้างข้างแตกกันพอดี” คุณป้ายังสาวนามว่านีรนุช หรือที่เธอเรียกว่าป้านีน่าหันมามองหลานสาวแล้วอดหวาดเสียวกับความรีบเร่งของอีกฝ่ายด้วยไม่ได้
“วันนี้หนูมีสัมภาษณ์ ขืนไม่รีบหนูก็ชวดงานนี้สิป้า” พรสวรรค์ว่าพลางหยิบรองเท้าผ้าใบคู่ใจมาใส่อย่างรีบร้อน
“ก็แล้วใครใช้ให้แกนอนกินบ้านกินเมืองเล่า รู้ทั้งรู้ว่ามีสัมภาษณ์ยังจะนอนตื่นสาย” นีรนุชบ่นไปในขณะที่กำลังจัดการกับมื้อเช้าของตัวเองแบบสบายๆ ตรงข้ามกับแม่หลานสาวโดยสิ้นเชิง
“ก็ไม่ใช่เพราะคุณนายเหรอคะที่ใช้งานหนูจนดึก หนูถึงได้ตื่นสายแบบนี้เนี่ย ไม่รู้แหละถ้าหนูไม่ได้งานนี้ ป้าต้องรับผิดชอบด้วย” พรสวรรค์พูดพลางลุกขึ้นจัดผมเผ้าสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้ง
“รับผิดชอบก็รับผิดชอบสิ กลัวซะที่ไหน ก็บอกแล้วว่าให้อยู่ช่วยงานฉัน จะไปสมัครงงสมัครงานให้มันยุ่งยากทำไม หรือแกกลัวว่าฉันจะไม่จ่ายเงินเดือนให้แก นี่! ไม่ต้องกลัวหรอกย่ะ กะอีแค่จ่ายเงินเดือนแกขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วงหรอก” นีรนุชทำเสียงประชดประชัน ด้วยไม่อยากให้หลานออกไปทำงานข้างนอก
“โอ๊ย! หนูรู้ค่ะว่าคุณนายรวย แต่จะให้หนูนั่งงอมืองอเท้าขอเงินคุณนายใช้ไปวันๆ หนูก็ไม่เอาหรอก ให้หนูได้ใช้ความรู้ที่อุตส่าห์พากเพียรเรียนมาตั้งหลายปีบ้างเถอะ เดี๋ยวสมองหนูก็ฝ่อกันพอดี มันจะไม่คุ้มค่าเงินที่คุณนายอุตส่าห์ส่งเสียให้หนูเรียนนะ” สองป้าหลานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ก็รักและสนิทกันมาก จึงมักแหย่กันเล่นเช่นนี้เสมอ
“ใครว่าไม่คุ้ม แค่ที่แกช่วยงานฉันได้ทุกวันนี้ก็คุ้มแล้ว เพราะงั้นแกไม่ต้องกลัวว่าฉันจะขาดทุนหรอก ต่อไปฉันจะใช้งานแกให้คุ้มทุกบาททุกสตางค์เลย ไม่เชื่อก็ลองดู” คุณป้ายังสาวหว่านล้อมอย่างไม่ยอมแพ้
“โอ๊ย! มันจะคุ้มกันได้ยังไงล่ะคะคุณนาย กะอีแค่งานเอกสารง่ายๆ ที่คุณนายให้ทำกับค่าจ้างที่คุณนายจ่ายให้ในแต่ละเดือน แค่นี้คุณนายก็ขาดทุนป่นปี้แล้วค่ะคุณนายขา” พรสวรรค์ส่ายหน้าน้อยๆ ด้วยรู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมดเพราะอะไร
“ก็บอกแล้วไงว่าแค่นี้ขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วง อยู่ช่วยงานฉันนี่แหละนะ ไม่อย่างนั้นต่อไปใครจะช่วยทำเอกสารให้ฉันเล่า เอกสารตั้งเยอะตั้งแยะ ใจคอแกจะปล่อยให้ฉันนั่งทำเอกสารนั่นงกๆ คนเดียวเหรอ” นีรนุชทำท่างอแงเรียกร้องความเห็นใจจากหลาน
“ก็ถ้าเป็นแค่เรื่องเอกสารอย่างเดียว ป้าก็ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงหนูก็ยังช่วยป้าได้เหมือนเดิม แต่ตอนนี้หนูขอออกไปใช้ความรู้ที่หนูเรียนมาหาประสบการณ์ให้ชีวิตก่อนนะ เดี๋ยวมันจะขึ้นสนิมซะเปล่าๆ โอ๊ย! หนูไม่คุยกับป้าแล้ว คุยเรื่องนี้ทีไรยาวทุกที เฮ้ย! สาย โห! สายมากเลย ป้าจะชวนหนูคุยทำไมยืดยาวเนี่ย หนูสายเลยเห็นไหม” เธอก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วถึงกับร้องลั่น พลันรีบวิ่งกุลีกุจอออกไปหน้าบ้านด้วยความลนลาน