ห้องสวีท ณ โรงแรมสุดหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร
“ชะตาของท่านกำลังจะเปลี่ยนไป ท่านจะพบกับความยุ่งยากที่กำลังจะมาถึง มันเป็นชะตา แต่ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป เมื่อใดที่ท่านได้พบกับหญิงผู้มีดวงตาแห่งสวรรค์ เมื่อนั้นท่านจะพ้นจากเคราะห์ทั้งปวง นางจะเป็นตัวนำโชคให้ท่าน จงหานางให้เจอ หาไม่แล้วชีวิตของท่านจะพบกับความวิบัติฉิบหายไปตลอดกาล ครอบครัวของท่านจะต้องจมอยู่ภายใต้คำสาปอาถรรพ์ตลอดไป” นั่นคือคำพูดของแม่เฒ่าคนหนึ่งที่ยังดังก้องอยู่ในหัวของชีคอัฟฟาน อับดุล ฮาหมัด คาริฟา เจ้าชายลำดับที่สามแห่งประเทศดามัส ผู้คุมอำนาจทางทหารไว้ในมือกว่าครึ่ง
“ยังทรงคิดมากเรื่องคำพูดของแม่เฒ่าคนนั้นอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟหนึ่งในองครักษ์คนสนิทถามขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของชีคหนุ่ม แต่ยังไม่ทันที่ท่านชีคจะได้ตอบกลับไป ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาซะก่อน
“อย่าทรงเอาเอาเรื่องพรรค์นั้นมาใส่พระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ ก็แค่คำพูดของหญิงแก่คนหนึ่ง ยังไงซะกระหม่อมก็ยังเชื่อว่าหมอดูย่อมคู่กับหมอเดา ทรงลืมๆ มันไปซะเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ฮาซานซึ่งเป็นพี่ชายของฮารีฟ และเป็นหนึ่งในองครักษ์ส่วนพระองค์ที่ท่านชีคทรงไว้ใจแย้งขึ้น
“แต่เรื่องแบบนี้ ฟังเอาไว้ก็ไม่เสียหาย ถ้าเกิดที่แม่เฒ่าคนนั้นพูดมาเป็นเรื่องจริง ท่านชีคของเราไม่วิบัติฉิบหายไปเลยรึไง” องครักษ์คนน้องหันมาแย้งพี่ชาย
"งมงาย แกอยากเชื่อก็เชื่อไปคนเดียวสิ ทำไมต้องมาพูดกรอกหูให้ท่านชีคทรงเชื่อด้วย ที่สำคัญกล้าดียังถึงมาแช่งให้ท่านชีควิบัติฉิบหายวะ แกนี่มันปากเสียชะมัด " ฮาซานขึ้นเสียงใส่น้องชายอย่างหัวเสีย
"ไม่ได้แช่งโว้ย แล้วแกก็พูดเองว่าไม่เชื่อเรื่องงมงาย ถ้าไม่เชื่อแล้วจะกลัวว่าท่านชีคจะวิบัติฉิบหายทำไม หรือว่าจริงๆ แล้วแกก็เชื่อ" องครักษ์คนน้องตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้
"ไม่ได้เชื่อ ก็แค่...ไม่ชอบที่แกพูดว่าท่านชีคจะวิบัติฉิบหาย"
“ฉันไม่...” ยังไม่ทันที่คนน้องจะได้ตอบโต้ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นซะก่อน
"หยุดทั้งคู่นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคนที่จะต้องวิบัติฉิบหายจะกลายเป็นพวกแกทั้งสองคน บ้าฉิบ! คำก็วิบัติ สองคำก็ฉิบหาย ใจคอแกสองคนจะให้ฉันวิบัติฉิบหายจริงๆ เลยรึไงถึงจะพอใจ ไม่มีใครตอบได้หรอกว่าคำพูดของแม่เฒ่าคนนั้นเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือรอ รอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ถึงตอนนั้นเราคงได้รู้กันว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง” เหตุผลของชีคหนุ่มพาให้บรรยากาศกลับมาเครียดอีกครั้ง
“ในเมื่อมันยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเรื่องที่แม่เฒ่าคนนั้นพูดมาเป็นเรื่องจริง แล้วเราจะเครียดไปก่อนล่วงหน้าทำไม จริงไหม” เฟาซีอีกหนึ่งองครักษ์คนสนิทพูดขึ้นบ้าง หลังจากที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่นาน
“ก็ฉันไม่อยากรอ จะให้รอไปถึงเมื่อไหร่ หรือต้องรอให้ท่านชีคฉิบหายก่อน” ฮารีฟพูดขึ้นอย่างร้อนใจ แต่ความร้อนใจของเขาก็ทำเอาทุกคนต้องหันขวับมามองแทบจะทันที โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้มากที่สุด
“ดูเหมือนแกจะอยากให้ฉันฉิบหายมากเลยสินะฮารีฟ” น้ำเสียงเย็นเยียบของนายเหนือหัว ทำเอาคนฟังถึงกับขนลุกวาบ อารมณ์ร้อนก่อนหน้ากลายเป็นน้ำแข็งไปทันที
“ปะเปล่าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่ไม่อยากให้พระองค์ประมาท อะไรที่ป้องกันได้ เราก็ควรป้องกันไว้ก่อน กันไว้ดีกว่าแก้นะพ่ะย่ะค่ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง กระหม่อมคิดว่าเราควรช่วยกันตามหาตัวนำโชคที่จะมาช่วยแก้คำสาปให้พระองค์ตั้งแต่เนิ่นๆ นะพ่ะย่ะค่ะ” ฮารีฟทำสีหน้าจริงจัง แต่ก็ถูกพี่ชายแทรกขึ้นอีก
“แล้วแกรู้เหรอว่าตัวนำโชคที่ว่านั่นเป็นใคร อยู่ที่ไหน เฮอะ! ฉันว่าแทนที่แกจะเอาเวลามาเชื่อเรื่องงมงายพวกนี้ สู้เอาเวลามาช่วยกันวางแผนจับไอ้ฟาฮัสให้ได้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ อย่าลืมสิว่าที่เราอุตส่าห์ถ่อมาถึงเมืองไทยเนี่ย เพราะต้องการตัวไอ้สวะนั่น ไม่ได้มาหาตัวนำโชคที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนอยู่จริงรึเปล่า”
“ไม่ได้ลืมโว้ย เรื่องไอ้ฟาฮัสไม่ต้องห่วง ฉันคิดแผนไว้แล้วว่าจะจัดการกับมันยังไง แล้วก็เผอิญว่า...ฉันเป็นคนฉลาด ฉลาดมากพอที่จะจัดการทั้งสองเรื่องไปพร้อมกันได้ ทั้งเรื่องไอ้ฟาฮัส หรือแม้กระทั่งเรื่องตัวนำโชคนั่น” ฮารีฟทำท่ากระหยิ่มยิ้มย่อง จนเฟาซีต้องถาม
“ยังไง”
ฮารีฟอธิบายแผนการด้วยการหันไปรายงานกับชีคอัฟฟานโดยตรง
“สายของกระหม่อมรายงานมาว่าไอ้ฟาฮัสมันกบดานอยู่ที่นี่ไม่ผิดแน่ แต่ครั้งนี้เราจะไม่บุกไปจัดการมันเหมือนทุกครั้งอีก เราจะเปลี่ยนกลยุทธใหม่ เปลี่ยนจากรุกมาเป็นรับ แล้วก็ล่อมันออกมา”
“รุก รับ ล่อ ฟังแล้วทำไมมันเสียวๆ วะ หรือเราจะคิดมากไป แต่มันอดคิดไม่ได้เลยนี่หว่า” ฮาซานบ่นพึมพำกับแผนของน้องชายที่ทำให้ตนต้องคิดสองแง่สองง่าม แต่เจ้าของแผนการดันได้ยินเข้า
“คิดอกุศล ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ” ฮารีฟมองหน้าพี่ชายอย่างกล่าวหาราวกับอีกฝ่ายทำผิดร้ายแรงมา
“หรือแกไม่คิด”
“ก็คิด เฮ้ย! หมายถึงคิดเรื่องแผนโว้ย เอ่อ...เรามาว่าเรื่องแผนกันต่อดีกว่ากระหม่อม กระหม่อมคิดว่าเราควรเปลี่ยนแผน แทนที่เราจะเป็นฝ่ายบุกไปหามัน เราก็แค่ล่อให้มันเป็นฝ่ายออกมาแล้วก็ตลบหลังจัดการกับมันพ่ะย่ะค่ะ” สองหนุ่มถุ้มเถียงกันไปมา แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาของชีคหนุ่ม ฮารีฟจึงรีบกลับเข้าเรื่องดังเดิม
“แล้วจะล่อมันยังไง” เฟาซีถามเป็นการเป็นงาน ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะพากันออกนอกเรื่องอีก
“จะไปยากอะไร ในเมื่อเรามีตัวล่อชั้นดีอยู่กับตัว” ฮารีฟพูดพลางปรายตาไปมองที่ชีคหนุ่มแทนคำตอบ
“ไม่ได้” สองหนุ่มที่เหลือแทบจะโพล่งออกมาพร้อมกัน
“แต่มันเป็นวิธีเดียวที่จะล่อให้มันออกมา ไม่รู้รึไงว่าสิ่งที่มันอยากได้มากที่สุดคืออะไร” แน่นอนว่าคำตอบก็คือชีวิตของท่านชีคของพวกเขานั่นเอง
“ก็เพราะรู้ไง พวกฉันถึงได้ไม่อยากเสี่ยง แกเองก็เหมือนกัน วิธีอื่นมีเป็นร้อยเป็นพัน ทำไมถึงต้องเอาชีวิตท่านชีคไปเสี่ยงด้วย เลิกคิดไปได้เลย ไม่มีใครเห็นด้วยกับแกแน่” ฮาซานต่อว่าน้องชาย
“แต่ฉันเห็นด้วย” เสียงของชีคหนุ่มดังทะลุกลางปล้องท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุนคน
“ท่านชีค!”
“ฉันเห็นด้วยกับแผนของฮารีฟ ฉันไม่อยากเสียเวลาอีก ไอ้ฟาฮัสมันสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองเรามามากพอแล้ว ฉันปล่อยมันไว้อีกไม่ได้อยากจะจัดการมันเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ” สายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังของชีคหนุ่ม ทำเอาเหล่าองครักษ์ถึงกับหน้าเครียด ด้วยรู้ดีว่าถ้าเป็นเช่นนี้คงยากที่จะทัดทานได้