4

1589 Words
4. กลางดึกสงัดนอกจากเสียงฟืนแตกปะทุอยู่ในเตาไฟติดผนังก็แทบไม่มีเสียงอย่างอื่นอีก บนโต๊ะไม้เก่าๆ ที่ตั้งอยู่ชิดกำแพงมีเจ้าหน้าที่สองนายนั่งสัปหงกอยู่ตรงนั้น เจียอีนอนลืมตาโพลง พยายามทบทวนความทรงจำเก่าๆ เธอจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้ มันต้องมีเหตุผลบางอย่างแน่ๆ แค่ตอนนี้เธอยังนึกไม่ออก เสียงกุกกักดังขึ้นปุบปับ จู่ๆ เธอก็ถูกลากออกมาจากกองฟอนที่นอนฟุบอยู่ เจียอีพยายามจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แต่...ผ้าหยาบๆ ผืนใหญ่ถูกยัดใส่ปาก ตามด้วยผ้าฝ้ายเนื้อหนาถูกตลบคลุมทั้งร่างกายและสติของเธอก็ดับวูบลง มีเพียงความมืดมิดเท่านั้นที่จำได้ “คุณหนู” เจียอีปรือเปลือกตา เธอถูกใครสักคนเขย่าแรงๆ จนสะดุ้งตื่น “ที่นี่ที่ไหนเหรอหยวนเหวิน?” ประโยคแรกที่ดังผ่านกลีบปากสีชมพูระเรื่อ หยวนเหวินมีสีหน้าทุกข์ร้อน ท่าทางหวาดกลัวจนเห็นได้ชัด “คุณหนู แย่แล้ว” กว่าหยวนเหวินจะควานหาคำตอบเจอก็ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่ง เจียอีทรงตัวนั่ง แต่แล้วเธอก็รีบก้มมองตัวเอง อาภรณ์ที่อยู่บนร่างกายแปลกไปกว่าเดิม เนื้อผ้าบางเบานุ่มมือแถมยังสีสันฉูดฉาด “เจ้าเปลี่ยนชุดนี้ให้ข้าหรือไม่?” หยวนเหวินส่ายหน้ารัวๆ “เป็นข้าเอง” เสียงแหลมบาดหู กับกลิ่นหอมฉุนจนเกือบสำลัก เจียอีเบิกตาโต แล้วก็รีบกระถดตัวหนีเพราะฝ่ามืออวบอูมเอื้อมมาหมายจะแตะใบหน้าของเธอ “ท่านเป็นใคร?” “เจ้าไม่รู้จักข้ารึ?” จินเยว่ถามด้วยเสียงที่สูงขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดข้า ต้องรู้จักท่านด้วย” เจียอีย้อนถาม “เพราะหากเจ้าเป็นคนจี๊อัน เจ้าย่อมต้องรู้จักข้าไง” จินเยว่ตอบอย่างภาคภูมิใจ ทั่วทั้งจี๊อันมีผู้ใดบ้างไม่รู้จัก ‘หอหมู่ตาน’ โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งของจี๊อัน มีนางคณิกามากความสามารถเลื่องชื่อหลายสิบนาง “ข้ามิใช่คนจี๊อัน ข้าเพิ่งมาจากเมืองหลวง” เจียอีตอบเสียงเรียบ จินเยว่หันไปมองหน้าคนสนิท “เจ้ารับซื้อนางมาจากผู้ใด?” มันต้องเกิดความผิดพลาดแน่ๆ แววตาและท่าทางของหญิงตรงหน้าผิดแผกจากผู้อื่น ท่าทางทรนงแบบนั้นมิใช่หญิงชาวบ้านที่อับจนหนทางเป็นแน่ ท่าทางกลัวลนลานนั่น จินเยว่รับรู้ถึงปัญหาทันที “มันน่านัก!!” นางสะบัดหน้าใส่ กำมือแน่น หลายสิบตำลึงที่เสียไป ดูท่าจะเสียเปล่า “พ่อข้าถูกใส่ความ นอกจากที่นี่ ข้าก็ไม่มีที่ไป” เจียอีตัดสินใจเจรจา หากบิดายังหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองไม่ได้ นางก็ควรมีที่พำนักเพื่อหาทางช่วยบิดาอีกทาง การอยู่ในกรงขังของทางการ นอกจากเสียเวลาเปล่าแล้ว ยังทรมานตัวเองด้วย จินเยว่เม้มปาก “ข้าจะได้อะไรหากยอมให้เจ้าอยู่ที่นี่” ในฐานะแม่ค้า ผลประโยชน์เท่านั้นที่โน้มน้าวนางได้ “ข้าเขียนอ่านได้ แต่งกวีเป็น เล่นเครื่องดนตรีได้นิดหน่อย” เจียอีเปรย “ที่หมู่ตานมีสาวงามอันดับหนึ่งอยู่ไม่น้อยแล้ว หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่ก็เป็นได้แค่สาวบริการทั่วไปแล้วละ” จินเยว่ตอบกลับ “ขอเวลาข้าสามวัน ข้าจะทำให้หอหมู่ตานของท่านชื่อดังกระฉ่อนไปทั้งเมืองจี๊อัน” ด้วยเทคนิคที่ติดตัวมาจากโลกก่อน เจียอีมั่นใจเธอมีความสามารถสร้างชื่อให้ตนเองได้อย่างแน่นอน จินเยว่เม้มปาก ชั่วเวลาแค่สามวันมันก็น่าสนใจไม่น้อย หากดรุณีน้อยตรงหน้า สร้างชื่อให้หอหมู่ตานได้ นางเองก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ หลายสิบตำลึงที่เสียไปก็ไม่เสียเปล่า “เจ้าตองการเครื่องดนตรีชนิดใด” จินเยว่ถามกลับ “กู่เจิงและผีผาเจ้าค่ะ” หยวนเหวินเป็นคนตอบแทนนายหญิง “ได้...” “เดี๋ยวค่ะ” เจียอีรั้งไว้ “มีอันใดอีก” “ข้าต้องการชุดสีอ่อนและหนากว่านี้สักหน่อยค่ะ” จินเยว่หลุบเปลือกตาลง นางเห็นด้วย หากดรุณีน้อยตรงหน้าต้องการเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่ง เครื่องนุ่มห่มก็สำคัญ “ได้ อีกสักพักข้าจะให้คนยกอาภรณ์มาให้เจ้าเลือก” คล้อยหลังจินเยว่ เจียอีเป่าปากดังพรวด เธอแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้สำเร็จ ที่เหลือก็แล้วแต่โชคชะตาและความมานะของตนเอง วันนี้ยังมีลมหายใจ วันต่อไปย่อมมีหนทางรอด เรื่องที่บิดาและคนสกุลเฉินถูกใส่ร้าย สักวันย่อมมีทางออก “คุณหนู” เหวินหยวนกระซิบเบาๆ “อย่าห่วงไปเลย วันนี้เจ้ากับข้ายังมิสิ้นใจ” เจียอียิ้มจางๆ และเร่งคิดหาหนทางในใจ “หากคุณหนูเป็น...” เหวินหยวนไม่กล้าพูดจนจบ “ข้ามิได้ขายร่างกาย ข้าขายศิลปะ ไม่ทำให้สกุลเฉินเสียชื่อหรอก ที่นี่มีผู้คนมากมาย ย่อมมีผู้มีอำนาจที่อาจช่วยสกุลเฉินของข้าได้” เจียอีอธิบาย ตราบใดที่ยังมีลมหาย ย่อมมีโอกาสแก้ต่างให้ตนเอง “ข้าเชื่อคุณหนู” เหวินหยวนยอมรับ “หิวไหมเจ้าคะ?” เจียอีส่ายหน้า และนั่งนิ่งๆ พักใหญ่ๆ คนของหอหมู่ตานก็ยกหีบผ้ามาให้เลือก เจียอีเลือกชุดผ้าหนาๆ ไว้สองชุด เป็นสีขาวล้วนและอีกหนึ่งชุดผ้าค่อนข้างบางและเป็นสีฟ้าอ่อน นางใช้เวลาเกือบสองชั่วยามสำหรับการปรับเสียงกู่เจิงและผีผาที่จินเย่วหามาให้ กว่าเครื่องดนตรีจะมีเสียงที่ลงตัวตามที่ต้องการ เวลาก็เคลื่อนคล้อยถึงพลบค่ำพอดี เสี่ยวเอ้อจุดคบเพลิงและโคมไฟบริเวณด้านนอก แสงสว่างจัดจ้าขึ้น พร้อมกับเสียงผู้คนที่เริ่มดังเจี้ยวจ้าว เสียงหัวเราะผสมเสียงกระซิบกระซาบ บรรยากาศเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง เหวินหยวนที่นั่งสัปหงกลุกขึ้นไปชะเง้อมองที่ระเบียง ด้านล่างบนถนน ผู้คนเดินเตร็ดเตร่ไปมา ส่วนใหญ่เป็นบุรุษสวมใส่อาภรณ์หรูหรา นับว่าจี๊อันก็มีเศรษฐกิจที่ไม่เลวเลย “คุณหนู ผู้คนเยอะไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ” เหวินหยวนตื่นเต้นจนระงับอาการไม่อยู่ บ่าวรับใช้ที่อยู่แต่ในจวนไม่ใคร่เจอความคึกคักเช่นนี้มาก่อน “เอาตั่งไปตั้งตรงระเบียงให้ข้าที” เจียอียกกูเจิ่งแนบอก ชี้นิ้วให้เหวินหยวนทำตามคำสั่ง “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ” เจียอียิ้ม “บรรเลงดนตรีสิ ข้าตั้งเสียงกู่เจิงมาตั้งหลายชั่วยาม จะเสียเปล่าได้เยี่ยงไร” พลบค่ำนอกจากเสียงลมกับเสียงพูดคุยก็ไม่มีเสียงอื่นใด ร้านรวงที่ตั้งแผงขายทำการค้ากันคึกคัก เหมือนเช่นหอหมู่ตานที่กำลังคราคร่ำ เสียงบรรเลงกู่เจิงดังแผ่วๆ เนื้อร้องและทำนองไม่ได้โดดเด่น เจียอีสูดลมหายใจเข้าปอด หลับตาตั้งสมาธิ พลางนึกถึงวิชาที่เล่าเรียนมาในโลกก่อนหน้านี้ เจียอีเป็นคนเก็บตัว ไม่มีอะไรดึงดูดสายตาผู้คนได้ ยกเว้นยามที่เจียอีนั่งอยู่หลังกู่เจิง เจียอีถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ผ่านปลายนิ้วที่พลิ้วไหว ความสดใส ความเศร้า ถูกถ่ายทอดออกมาแบบไร้ที่ติ แต่ยุคปัจจุบันกลับอดีตมิได้เหมือนกัน ยุคที่เคยอยู่นั้น หากไร้คนสนับสนุน ไร้ชื่อเสียง เจียอีก็เป็นได้แค่แสงเทียงกลางแสงนีออน “คุณหนู” เหวินหยวนกระซิบ เจียอีลืมตาวางมือบนกู่เจิงและเริ่มบรรเลง บทเพลงที่เลือกสะดุดหู ท้วงทำนองแฝงไว้ด้วยความอ่อนหวานเย้ายวน และเย่อหยิ่ง แม้แต่ผู้คนที่ไม่นิยมดนตรี ยังอดสนใจไม่ได้ เหมือนโลกหยุดหมุนเวลาที่ผ่านไปเชื่องช้าลง ฝีเท้าม้าชะงักลง ตงเฟยฉีหลุบเปลือกตาลง ตั้งใจฟังเสียงกู่เจิงที่ลอยตามลมมา เรียวปากสีเข้มเม้มเป็นเส้นตรง ทำนองและลายเส้นแบบนี้ เขาแน่ใจว่าเคยฟังผ่านหูมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง เพียงแต่เวลานี้เขายังนึกไม่ออกเท่านั้นเอง จินเยว่ยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ “ใครบรรเลงกู่เจิง” นางพึมพำ “เสียงมาจากชั้นบนเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้คนสนิทกระซิบบอก หัวคิ้วโก่งยกขึ้นสูง เสียงกู่เจิงที่เข้าถึงอารมณ์คนฟัง ไม่ใช่ว่าสตรีนางใดก็บรรเลงเช่นนี้ได้ เนื้อเพลงที่มีแต่คนชนชั้นสูงเท่านั้นที่ได้ร่ำเรียนมา แม้จินเยว่จะเป็นแค่แม่เล้าที่หอหมู่ตาน แต่ชีวิตที่ผ่านวันเวลามาไม่น้อยนั้นนางสั่งสมประสบการณ์มามากพอสมควร มากพอที่จะแยกแยะเสียงดนตรีระดับสูงแบบนี้ได้ “นับว่าสิบตำลึงของข้ามิได้เสียเปล่า” มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์ วาดแผนการในอากาศอย่างสวยหรู นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หอหมู่ตานของนาง จะกลายเป็นตำนาน มิมีหอคณิกาแห่งไหนเทียบเทียมได้ “เอากล่องผลไม้แห้งนี่ ไปให้นางคนนั้นกินแก้กระหายเถอะ” กล่องผลไม้แห้งอย่างดีถูกยกออกมาวางตรงหน้า บ่าวรับใช้เบิกตาโต จินเยว่ทั้งเคี่ยวแล้วก็เค็ม แทบไม่มีดรุณีน้อยคนไหนได้ของกำนัลจากนาง นับว่า ‘สตรี’ ผู้นี้มีความสำคัญไม่น้อยทีเดียว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD