5.
เจียอีพักมือเพื่อจิบชา และทอดสายตามองลงไปด้านล่าง ตรงจุดนั้นมีบุรุษทั้งหนุ่มและวัยชรายืนอออยู่ไม่น้อย เจียอีหลุบเปลือกตาลง ข่มความประหม่าไว้ในใจ ที่นี่เธอไม่มีความละอาย มิมีผู้ใดรู้ปูมประวัติของตนเอง
“แม่นางร่ำเรียนกู่เจิงมาจากที่ใดรือ” เป็นคำถามง่ายๆ ที่บุรุษหนุ่มท่าทางองอาจตะโกนถามเจียอี
เจียอียิ้มจางๆ ยังมิทันได้ตอบคำถามแรก คำถามต่อมาก็ตามมาอีกระลอก
“ไม่จริง!” เสียงพึมพำดังผ่านริมฝีปากอิ่มเย้ายวน เหวินหยวนมองตามสายตานายสาวที่ทอดยาวไปยังกลุ่มควันที่รอยปกคลุมทิศตะวันออกของหอหมู่ตาน ตรงนั้นมีอาชาตัวใหญ่กำลังเดินฝ่าหมอกหนาๆ นั่นมา บนหลังอาชามีบุรุษรูปงามท่าทางองอาจนั่งอยู่
มือเรียวบางกำเข้าหากัน
“มันไม่น่าจะบังเอิญขนาดนี้หรอก” เจียอีไม่วายพึมพำต่อ บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นซ้ำๆ บุรุษลึกลับนั่น ต่อให้เห็นแค่เงานางก็แน่ใจ ตนเองไม่มีวันมองพลาด
คนในดวงใจที่ถูกซุกไว้ในอกลึกสุดกู่
ต่อให้ขาดใจตาย เจียอีมั่นใจ ตนเองไม่มีทางปริปากพูด
เปลือกตากะพริบถี่ ยิ่งอาชาตัวใหญ่นั่นขยับเยื้องย่างเข้ามาใกล้ เจียอีก็ยิ่งมั่นใจ
เจียอีมองนิ่งๆ ราวกับว่า ห้วงเวลาตอนนี้มีแค่ตนเองกับบุรุษผู้นั้น
ตงเฟยฉีมองสบตาสตรีรูปร่างงดงามสวมอาภรณ์ขาวสะอาด
“บทเพลงเมื่อสักครู่เพราะจับใจยิ่งนัก” เขาเอ่ยชมแบบไม่นึกกระดาก แม้จะเพิ่งพบกันครั้งแรก แต่กลับมีความคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
เจียอีตะลึง เผลอกลืนน้ำลายและนิ่งไปหลายอึดใจ
“หากไม่เป็นการเสียมารยาท ข้าอยากฟังแม่นางบรรเลงอีกสักหนึ่งบทเพลง” เป็นคำขอร้องแสนสุภาพ ซึ่งเจียอีเองก็ไม่ได้คิดจะปฏิเสธ ยิ่งบรรเลงกู่เจิงให้ชายคุ้นหน้าผู้นี้ฟัง เจียอีก็ยิ่งเต็มใจ
เจียอีครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะไม่มั่นใจ แต่เชื่อว่าตนเองทำได้ดี ไม่มีข้อผิดพลาดแน่ๆ ในโลกใบเก่า เจียอีสนใจตงเฟยฉี แต่กลับไม่กล้าเปิดเผยความรูสึกตัวเอง ความเจียมตัวทำให้เธอเสแสร้ง ดังนั้น…
ในโลกใบนี้ เมื่อโอกาสมาถึงตรงหน้า ไม่คว้าไว้
เธอก็คงได้แต่เสียดาย...
เสียงกู่เจิงดังแหวกอากาศ กรีดลึกลงไปกลางจิตใจ ทำนองไพเราะบาดหู ทั้งอ่อนโยนและบีบเคล้นในบางครั้ง ตงเฟยฉีกระตุกยิ้ม ทำนองเพลงนี้ก็คุ้นหูอีกเช่นกัน
จินเย่วสั่งให้คนของตนเองจัดสถานที่รอไว้
นางให้บ่าวรับใช้ไปตามเจียอีลงมา ดังนั้นพอเวลาผ่านไปพักใหญ่ หอหมู่ตานที่เคยเงียบเหงาก็คราคร่ำไปด้วยผู้คน ท่ามกลางผ้าโปร่งกับกู่เจิงหนึ่งลำ เจียอีนั่งสงบนางเริ่มพรมนิ้วไปบนกู่เจิงด้วยท่วงท่าสง่างาม สาวขี้อายในอดีตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ที่แห่งนี้ไม่มีผู้คนรู้จักเธอ
เจียอีสามารถเริ่มต้นใหม่สร้างชื่อให้ตัวเอง และหาหนทางช่วยเหลือสกุลเฉิน
หากเป็นเจียอีคนเดิม นางไม่มีทางกล้าทำเช่นนี้
แต่เพราะตอนนี้เจียอีแน่ใจ...เธอเป็นคนที่อยู่ผิดที่ผิดทาง
แต่ดีสำหรับตนเอง
เฟยฉีจิบชาหลุบเปลือกตาฟังเสียงกู่เจิง ทำนองแบบนี้เย้ายวนชวนให้ลุ่มหลง ความนัยที่แทรกสอดมาในเสียงเพลงนั่น ชวนให้เฟยฉี อยากรู้ บนโลกใบนี้มีผู้ได้ที่อาภัพเช่นนี้ได้ โลกไม่ได้โหดร้ายจนกระทั่งเหยียบหนึ่งชีวิตให้จมดินจนไม่อาจเงยหน้ามองท้องฟ้าได้
น้ำตาเจียอีไหลปรี่ ความเศร้าในใจถูกระบายออกมาผ่านปลายนิ้ว นางรู้สึกโล่งใจนิดหน่อย มุมปากจึงมีรอยยิ้มเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว
แต่การใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ง่ายดั่งใจคิด
มีเรื่องราวซับซ้อนรอการแก้ไขอีกหลายอย่าง ครั้นพอคิดถึงปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ความเศร้าก็โถมใส่หัวใจอีกครั้ง เสียงกู่เจิ่งเลยผสมความหม่นหมองมากกว่าก่อนหน้านั้นอีกหลายส่วน
เสียงชื่นชมดังเซ็งแซ่รอบตัว เจียอีเพียงยิ้มรับ แล้วก็เดินกลับไปด้านใน
จินเย่วที่รอจังหวะอยู่เดินสวนขึ้นไปแทนที่
“ใจเย็นๆ เจ้าค่ะ หากท่านๆ ทั้งหลายสนใจฟังเสียงเพลงที่ชวนเคิบเคลิ้มเช่นนี้ หอหมู่ตานของเรามีให้บริการทุกคืน นับจากวันนี้เป็นต้นไป แม่นางเจียอีจะมาบรรเลงเพลงให้ฟังทุกค่ำคืน”
เฟยฉีวางถ้วยชา มองตามแผ่นหลังบอบบางที่หายกลับเข้าไปหลังม่าน แววตาลุ่มลึกของเขาแปลความหมายไม่ออก
เจียอียกมือลูบอก หัวใจเธอเต้นแรงแทบจะทะลุออกมาด้านนอก เหวินหยวนยกมือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะ เอียงคอมองนายสาวที่ตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่
“คุณหนูตื่นตกใจหรือเจ้าคะ”
เจียอีพยายามสงบใจ นางเดินเอื่อยๆ ไปทิ้งตัวนั่งบนเบาะ พลางยกกาน้ำชารินชาใส่จอกดินเผาสีเขียวเข้ม พยายามสุดตัวที่จะประคองอาการ แม้มือยังสั่นน้อยๆ “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผู้คนสนใจเสียงที่ข้าพยายามสื่อ”
“สื่อ...” เหวินหยวนพึมพำ ไม่เข้าใจคำพูดที่นายสาวเอ่ยถึง
เจียอีมีสีหน้ายุ่งยาก การอธิบายความหมายคำพูดของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ข้าหมายถึง มีคนยอมฟังการเล่นกู่เจิ่งของข้าไง” เจียอียิ้มจางๆ สมัยก่อน เธอแอบฝึกเพราะความชอบส่วนตัวแต่กลับไม่มีคนสนใจ คงเพราะการบรรเลงกู่เจิ่งสมัยของเธอ ไม่เป็นที่นิยมแล้วนั่นเอง
“คุณหนูเล่นเพราะขนาดนี้ นับว่าเป็นบุญหูของคนที่ได้ฟังแล้วเจ้าค่ะ”
“นั่นย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับข้า”
“แล้วเรื่อง...” เหวินหยวนเอ่ยต่อ แต่ไม่กล้าพูดจนจบ คงเพราะสีหน้าที่สลดลงของนายสาวนั่นเอง
“ข้ามิได้ลืม กำลังคิดหาวิธีอยู่”
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในดินแดนแห่งนี้ เจียอีเร่งคิดหาวิธีแก้ต่างให้บิดา มารดา สภาพความเป็นอยู่ในที่คุมขังเลวร้ายจนทั้งสองท่านอาจเจ็บป่วยได้ง่ายๆ แต่ทว่าหนทางที่นางจะทำได้ก็มืดมน แทบหาทางเดินไม่เจอ