3.
รถม้าคันใหญ่จอดสนิทหน้าจวนหลังหนึ่ง ประตูไม้หนาทึบปิดตาย มีกระดาษสีเหลืองแผ่นยาวๆ ปิดทับเป็นรูปกากบาทไว้ กับข้อความที่ชวนให้ตกใจ ‘ห้ามเข้า’ เจียอีแหวกผ้าม่านมองลอดช่องหน้าต่างของรถม้า เจียชวนบิดาของนางลงจากรถม้าคนแรก
“ท่านพี่ หมายความอย่างไรเจ้าคะ” จือรั่วถามสามีเสียงสั่น
“พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เจียชวนยังงง เขาหมุนซ้ายหมุนขวา อยากเจอใครสักคนเพื่อถามไถ่
คนของทางการวิ่งมาโอบล้อมรถม้ากว่าสิบคันของสกุลเฉิน เจียอีทะลึ่งพรวด นางกระโจนลงจากรถม้า มายืนประจันหน้ากับคนของทางการที่มีสีหน้าถมึงทึง
“จับไปให้หมด ข้าราชการขี้โกง” เสียงตะโกนดังอยู่รอบตัว
“พวกท่านเข้าใจผิดกันแล้ว ข้าคือผู้ว่าการคนใหม่ ข้าเพิ่งเดินทางมาถึง” เจียชวนเดินไปขวางหน้าเจียอี พร้อมกับตะโกนสวน
“พวกเจ้าโกหก ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งมีโจรป่าปลอมตัวเป็นผู้ว่าการ”
เจ้าหน้าที่นายนั้นตะโกนสวน สีหน้าของเขายังถมึงทึงไม่คลาย
“จับคนทั้งหมดไปขังไว้ที่คุก รอให้ท่านนายอำเภอส่งคนไปขอหลักฐานที่เมืองหลวงก่อน หากใช่ ข้ากับพี่น้องทั้งหมดจะขอขมาท่านเอง แต่หากว่าไม่ใช่ เจ้ากับคนทั้งหมดต้องรับโทษทัณฑ์”
เจียชวนพูดไม่ออก เขาไม่ได้เลิ่นเล่อ เอกสารของเขาเตรียมมาครบ แต่หากต้องรอคำยืนยันจากทางการ คงต้องใช้เวลาหลายวัน ระหว่างนั้น คนสกุลเฉินทั้งหมดคงลำบากไม่น้อย
“ได้สิ ยังไงข้าก็ไม่ได้โป้ปดกับพวกท่าน”
“เอาเอกสารมา ข้าจะส่งม้าเร็วเข้าเมือง” เสียงขึงขังตะคอกใส่
เจียชวนดึงซองเอกสารของตนเองจากอกเสื้อส่งให้คนตรงหน้า และถูกกระชากเอาไปจากมืออย่างรุนแรง
“รังแกกันเกินไปแล้ว” เจียอีพึมพำ
โรงเรือนคุมขังสกปรกและคับแคบเกินกว่าจะให้สมาชิกสุกลเฉินทุกคนเข้าไปอยู่รวมกันได้ ดังนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเลยแยกเพศชาย หญิงเพื่อจะได้ไม่แออัดเกินไป เจียอีถูกพรากจากอกบิดา มารดา เธอกับหยวน เหวินถูกขังแยก และอยู่ห่างจากทุกคน
เจียอีพยายามทำใจเย็น ยังมีหนทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับบิดาได้ แต่คงต้องใช้เวลา
“คุณหนูหิวมั้ยเจ้าคะ?” หยวนเหวินถามนายสาว พลางล้วงแผ่นแป้งย่างที่พกติดตัวมาด้วยออกมาจากอกเสื้อ
“เจ้ากินเถอะ ข้ายังไม่หิว” เจียอีชะเง้อมองหาบิดาซึ่งถูกแยกไปขังในห้องขังที่ค่อนข้างไกลตนเอง
“เอามานี่ ถ้าไม่กิน ข้าจะกินเอง” เพื่อนใหม่ผู้ที่อยู่มาก่อนกระโจนเข้ามากระชากห่อผ้าในมือหยวนเหวิน
“อะไรกัน ทำไมทำแบบนี้!!” หยวนเหวินโวยวาย ครั้นเมื่อมองสภาพของคนผู้นั้นนางก็เลยหยุดพูด
“คุณหนู” เจียอีเม้มปากส่ายหน้า
ความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังน่าเวทนาจนเจียอีพูดไม่ออก คราบสกปรกติดเต็มหน้าและอาภรณ์ กลิ่นเหม็นสาบสางระเหยออกมาจากร่างกายเหมือนไม่เคยได้ทำความสะอาดร่างกายมาแรมปี
“ต้องโทษอะไรละ ท่าทางไม่เหมือนคนเลว” หนึ่งในสองคนที่กระโจนเข้ามาชิงห่อผ้าจากมือหยวนเหวินเอ่ยปากถาม
“แค่ถูกใส่ความ” หยวนเหวินตอบเหมือนเสียไม่ได้
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะดังอยู่รอบตัว “เจ้าโชคร้ายเสียแล้ว ท่าทางใสซื่อแบบนี้จะอยู่รอดสักกี่วันเชียว” เจียอีขมวดคิ้ว
“พวกท่านหมายความว่ายังไง?”
“เอาเถอะ ถือเสียว่าตอบแทนแป้งย่างนี่ก็แล้วกัน จากนี้ไป ไม่ว่าใครก็ตามมาพาตัวเจ้าไป อย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด” คำเตือนที่ไม่มีรายละเอียดอะไรเลย เจียอีกับหยวนเหวินมองหน้ากันมีคำถามในดวงตาร้อยแปด แต่ไม่มีคำตอบที่พอให้คลายความกังวลได้เลย
“กินข้าวๆ” เสียงเคาะขอบถังกับเสียงล้อรถลากที่ลากไปมาบนพื้นหิน
เจียอีถลาเข้าไปเกาะลูกกรง “ท่านพ่อท่านแม่ข้า สบายดีหรือไม่”
ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบ เขาโยนหมั่นโถวหนึ่งลูกให้แทน มันตกลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยฟางแห้ง “กินซะ แล้วก็อย่าถามมากความ หากยังไม่อยากตาย”
“มันตกที่พื้นแล้ว ขอเปลี่ยนใหม่ได้ไหม?” หยวนเหวินหยิบหมั่นโถวลูกนั้นขึ้นมาจากพื้นแล้วก็ยื่นผ่านซี่ลูกกรงออกไป ชายผู้นั้นหัวเราะลั่น แล้วก็เข็นรถเก่าๆ คันนั้นผ่านไป ไม่แม้แต่จะเหลือบแลกลับมา
“กินได้ก็กินเถอะ ดีกว่าไม่มีอะไรกิน” มีคำเตือนลอยๆ พอหันกลับไปมอง คนเหล่านั้นก็พากันหลบสายตา หรือไม่ก็ซุกตัวนอนตามมุมมืดของกรงขังนั่น
“คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมด” หยวนเหวินบ่นพึมพำ
แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนปริปากคำใดออกมาอีก เจียอีที่กระวนกระวายก่อนหน้านี้เลยค่อยๆ สงบลง ตั้งแต่บ่ายจนค่ำ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดอีกเลย จนกระทั่งค่ำ
“จะนอนยังไงละนี่” ยังคงเป็นหยวนเหวินที่มีท่าทางทุกข์ใจ
“เลิกบ่นเถอะ ยังดีที่แมลงไม่กวน” เจียอีพึมพำ อิงศีรษะกับกรงไม้หลับตาพักผ่อน
“คุณหนูไม่หิวจริงๆ หรือเจ้าคะ” หยวนเหวินยังคงห่วงนายสาว
เจียอีถอนใจ เธอนึกอดีต นึกถึงพื้นที่ที่ตัวเองจากมา ที่นั่นเธอไม่ใคร่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอก ทุกอย่างรอบตัวมืดมน และรู้สึกท้อแท้ เธอกินแค่อยู่ กันตายไปวันๆ “ถึงหิว ก็ไม่มีอะไรให้กินแล้วนี่”
หยวนเหวินทรุดนั่น อาหารที่แอบซุกไว้ก็ถูกชิงไปแล้ว หมั่นโถวลูกสุดท้ายก็เช่นกัน
จวนสกุลวัง...
“ท่านพ่อ เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ?” สตรีใบหน้าละม้ายคล้ายวังลี่จูถามไถ่บิดา ซึ่งกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่บนตั่งตัวใหญ่
วังไฉ่เหมินยกมือกุมขมับ สมุดบัญชีหลายเล่มตรงหน้า คือเอกสารเกี่ยวกับการรับสินบนของเขา ซึ่งถูกค้นพบโดยผู้ว่าการคนก่อน ซึ่งถูกลอบสังหารจนตายทั้งสกุล จนทางการต้องส่งผู้ว่าการคนใหม่มา และดูท่าเรื่องจะไม่จบง่ายๆ
“สกุลมู่ว่าอย่างไรบ้าง?” วังไฉ่เหมินถามถึงคหบดีที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจี๊อัน
วังลี่จูแอบเบ้ปาก สกุลมู่พึ่งพาบารมีบิดาของนาง คบคิดทุจริตทุกอย่างแถมยังเป็นพ่อค้าหน้าเลือดขูดเลือดขูดเนื้อประชาชน ที่รอดมาได้เพราะว่าวังไฉ่เหมินรับสินบน ชาวบ้านเลยไม่เคยได้รับความเป็นธรรม
“สกุลมู่คนพ่อโลภมาก สกุลมู่คนลูกก็บ้ากาม”
“เจ้าพูดแบบนั้นไม่ได้นะลี่จู คนสกุลมู่มีบุญคุณกับสกุลวังของเรา”
“ท่านพ่อ ท่านเลิกให้ท้ายคนสกุลมู่นั่นสักที สักวันเถอะ คนสกุลมู่นั้นจะพาเราซวยไปด้วย” ความจริงสกุลวังก็มีฐานะมั่นคง แถมยังมีตำแหน่งใหญ่เป็นถึงรองแค่ผู้ว่าการ วังลี่จูไม่รู้เหมือนกัน มีอะไรบังตาบิดา เขาถึงหน้ามืดตามัวหลงผิดไปกับคนสกุลมู่ด้วย
“เพราะแบบนั้นไง พ่อถึงได้นั่งกลุ้มอยู่นี่” ไฉ่เหมินยอมรับ เขาปวดหัวเพราะยังหาวิธีปกปิดความผิดของตัวเองไม่ได้
“คุณหนู” ห่าวหนานสะกิดชายเสื้อลี่จู แล้วก็เขย่งตัวกระซิบบางอย่างข้างหูนายสาว มีไฉ่เหมินจ้องเขม็ง
“บ่าวของเจ้า แอบกระซิบอะไร”
“ท่านพ่อ...คือ...” ลี่จูพึมพำเสียงแหบ “คนของท่าน จับคนสกุลเฉินทั้งสกุลเข้าโรงเรือนคุมขังหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“สกุลเฉิน ที่จี๊อัน ไม่มีคนสกุลนี้นะ นอกจาก...” ไฉ่เหมินอ้าปากพะงาบๆ สีหน้าของเผือดสีลงเรื่อยๆ
“ใช่แล้วท่านพ่อ” ลี่จูพึมพำ
“ตายแล้ว ตายแน่ๆ” ไฉ่เหมินตะโกนโหวกเหวก ทำท่าจะวิ่งออกไปด้านนอก แต่ลี่จูรั้งไว้
“ท่านพ่อ ข้ามีความคิดดีๆ”
ไฉ่เหมินชะงัก “ลองพูดมาสิ” แววตาเจ้าเล่ห์ลุกโพลง
“....” ลูจี่กระซิบข้างหูบิดา ดวงตาของไฉ่เหมินเหลือกขึ้นบน แล้วก็ค่อยๆ หรี่ปรือ ผิวหน้าของเขาร้อนฉ่า
“แผนของเจ้า ไม่เลวทีเดียว”