6.
วังไฉเหมินขมวดคิ้ว บุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างอาชาตัวใหญ่ด้านหน้าประตูจวนสกุลวังดูคุ้นตาเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน รองผู้ว่าการเดินปราดเข้าไปใกล้ สองมือยกขึ้นลูบเคราใต้ปลายคาง มองสำรวจบุรุษตรงหน้าอย่างจริงจัง
“ผู้ใดมายืนเตร่หน้าจวนของข้า พวกเจ้าไม่ได้ซักถามเขาหรืออย่างไร” วังไฉเหมินถามบ่าวชายร่างกายกำยำที่เฝ้าหน้าจวนด้วยเสียงแข็งกร้าว
เฟยฉีหมุนตัวกลับมา พลางยิ้มมุมปาก และสำรวมท่าทางมากขึ้น
บ่าวชายยังมิทันตอบ ประมุขของบ้านก็เดินเหมือนกับเหาะได้ ก้าวไปยืนหน้าบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นเสียแล้ว
“เจ้า เจ้าใช่ไหม ข้าจำเจ้าได้ เจ้าคือบุตรชายสกุลตง ผู้ที่สอบเค่อจี่ผ่านในครั้งแรก”
อารามรีบร้อนวังไฉเหมินเลยลืมเก็บกริยา
เฟยฉียิ้มรับ ยกมือขึ้นทำความเคารพ “ใช่...ข้าเองท่านลุง”
“แล้วเจ้า มาทำอันใดที่นี่...” วังไฉเหมินถามต่อ
เฟียฉีล้วงเอกสารราชการที่พกติดตัวไว้ตลอดยื่นส่งให้ “ข้ามาตามคำสั่งแต่งตั้งน่ะขอรับ”
วังไฉเหมินมองเลยไปด้านหลังเฟยฉี ไม่มีขบวนใหญ่โต มีเพียงอาชาตัวใหญ่หนึ่งตัวกับบ่าวรับใช้หนึ่งคน และสัมพาระอีกนิดหน่อยที่ห้อยอยู่ด้านข้างอาชาตัว ไม่มีแม้แต่หีบห่อขนาดใหญ่ให้สมฐานะผู้ที่สอบผ่านเค่อจี่เลยสักนิด
วังไฉเหมินรีบก้มมองเอกสารในมือตนเอง ตราราชสำนักเด่นหราเขาเลยไม่กล้าที่จะทักท้วงอะไรอีก
“แล้วท่านผู้ว่าคนใหม่ละ ท่านมาถึงแล้วหรือยังขอรับ” เฟยฉีถามต่อ
เขาออกเดินทางทันทีที่ได้รับการแต่งตั้ง ผู้ว่าการคนใหม่เองก็เช่นกัน เพียงแต่เขาคล่องตัวกว่าเพราะเดินทางคนเดียว บ่าวที่ติดตามมาพร้อมกับรถม้าจึงมาถึงล่าช้ากว่า
วังไฉเหมินกระอึกกระอัก...สีหน้าซีดฉับพลัน
“คือ...” เขาไม่กล้าตอบว่าตนเองก่อเรื่องใหญ่โตไว้
“ท่านพ่อ...” โชคดีที่บุตรสาวแทรกมาได้ถูกจังหวะพอดี
วังลี่จูเดินกระชดกระช้อยเข้ามาใกล้ และยอมเสียมารยาท เพราะอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ไหว บุรุษรูปงามท่าทางองอาจแบบนี้ไม่ได้ม่ให้เห็นกันง่ายๆ
“เจ้ามาพอดี รีบไปจัดเตรียมห้องหับให้ท่านนายอำเภอคนใหม่เสียสิเจ้า”
แพขนตางอนงามกะพริบถี่ๆ ท่าทางเอียงอายประหนึ่งพบเจอหน้าคู่หมั้นคู่หมายที่ผู้ใหญ่จัดหาไว้ให้ขัดตาเฟยฉีจนแทบเสียอาการ เขาไม่คิดว่าเพื่อนเก่าในโลกก่อนจะมีท่าทางเช่นนี้ตอนที่เจอหน้ากัน สมัยนั้นวังลี่จูมีท่าทางสำรวมมากกว่านี้
“ไม่รบกวนท่านแล้ว ข้ามีที่พักแล้ว รอคนของข้ามาถึงก่อน จวนของข้าคงเข้าพักได้พอดี” เฟยฉีรีบบอกปัด เขารู้สึกอึดอัดกับท่าทางของฝ่ายตรงข้าม
“ข้าขอเสียมารยาท คุณชายท่านพักโรงเตี้ยมไหนหรือเจ้าคะ” วังลี่จูพลั้งปากถาม แล้วก็รีบก้มหน้าหลบ เพราะบิดาถลึงตาใส่
“ที่จี๊อันนี้มีโรงเตี๊ยมแค่แห่งเดียว” เพราะไม่อยากเสียมารยาทตั้งแต่การพบกันครั้งแรก อย่างน้อยเขาก็ไม่ผิดใจกับจวนขุนนางระสูงของท้องถิ่น ถึงแม้ตนเองจะรู้สึกลำบากใจ
“คุณชาย ท่านย้ายมาพักที่จวนท่านพ่อข้า ดีหรือไม่” ไหนๆ ก็เสียอาการจนไม่อาจรักษาภาพกุลสตรีที่ดีไว้ได้แล้ว แต่จะไม่ยอมพลาดซ้ำสองอีกเป็นอันขาด ความรู้สึกบางอย่างที่กระตุ้นเตือนในใจ วังลี่จูเลยทิ้งกฏมารยาทสตรีทิ้งอย่างไม่แยแส
“ไม่เหมาะ อย่าดีกว่า ท่านอาจจะเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะข้า” เฟยฉีปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดทบทวน
เขามีที่พักแล้ว เรื่องการมาพักที่จวนของรองผู้ว่า ดูจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
“โรงเตี๊ยมนั่น เต็มไปด้วยผู้หญิงไม่ดีเพ่นพ่านเต็มไปหมด” วังลี่จูอดที่ทักท้วงไม่ได้
“แค่สองสามวัน คงไม่เป็นไรกระมัง” วังไฉเหมินพูดแทรก
“อย่าดีกว่าขอรับ” เฟยฉีปฏิเสธรอบที่สอง
“คุณชาย ห้องพักเตรียมพร้อมแล้วขอรับ” ไฉ่หงเดินหน้าตั้งตรงมาหา เฟยฉีถึงกับโล่งใจ เขาทำความเคารพวังไฉเหมินแล้วก็หมุนตัวเดินตามไฉ่หงไป
“ท่านพ่อ ทำไมไม่รั้งเขาไว้” วังลี่จู่เสียอาการเกินกว่าที่บิดาอย่างวังไฉเหมินจะรับได้
“เจ้าก็สำรวมหน่อย อย่าให้คนอื่นว่าได้ว่าเจ้าหย่อนการอบรม”
“ท่านพ่อ...”
“ยังมีเวลาอีกมาก อย่ารีบร้อน ระวังบุรุษผู้นั้นจะกระโจนหนีเจ้าไปเสียก่อน เพราะเจ้าดูไม่เหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่เลยสักนิด”
วังลี่จูก้มหน้ายอมรับผิด
คุณสมบัติแปดประการของหญิงงามที่เหมาะสำหรับการเป็นฮูหยินใหญ่มีมากมาย แม้จะน่าอึดอัด แต่ทำให้ผู้คนรอบตัวชื่นชม วังลี่จูพยายามสำรวมอย่างที่สุด แม้ความรู้สึกลึกด้านในจะสั่งให้ตนเองพยายามรั้งชายผู้นั้นไว้ ไม่อย่างนั้นคงหมดโอกาส
“คืนนี้คุณชายจะไปฟังดนตรีที่หอหมู่ตานอีกหรือไม่”
เป็นคำถามแสนธรรมดา แต่อาการหน้าร้อนวูบวาบนั่นก็บ่งบอกว่าตนเองรู้สึกอาย เป็นการพบหน้าที่สร้งแรงดึงดูดเข้าหากันได้อย่างมหาศาล เฟยฉีเองก็รู้สึกตระหนกไม่น้อย ในเมื่อโลกก่อน เขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้กับหญิงผู้นั้นมาก่อน
เจียอีเหมือนอากาศที่ไหลวนรอบตัวเขา
เขาไม่เคยรับรู้การมีตัวตนของเธอ แค่มองผ่านๆ ผ่านมาผ่านไปเหมือนสายลม
แต่การเจอกันที่นี่ มีบางอย่างเปลี่ยนไป
หรือไม่เขาก็ไม่เคยมองเจียอีตรงๆ มาก่อน
ตอนที่สบตากัน หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นจนน่าตกใจ
แววตาที่เขาเห็นและพยายามแปลความหมายไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน ในแววตานั่นเต็มไปด้วยรอยคำนึง มีคำตัดพ้อเต็มไปหมด เฟยฉีเองก็รู้สึกแปลกใจ เขาแปลความในในนัยน์ตาคู่นั้นออกได้อย่างไร
“ไม่...คืนนี้ข้าอยากพักมากสักหน่อย” เป็นคำตอบที่ตรงข้ามกับความต้องการ
แรงดึงดูดมหาศาลนั่นทำให้เขาตระหนก
เลยอยากอยู่ให้ไกลหญิงผู้นั้นมากหน่อย
“ขอรับ” ไฉ่หงอมยิ้ม ถึงตนเองจะเพิ่งย่างเข้าวัยหนุ่ม ยังไม่เคยต้องตาต้องใจหญิงคนไหนมาก่อน ซึ่งก็เหมือนๆ กับคุณชาย คนที่ตนดูแลรับใช้มาหลายปี แววตาเช่นนั้นคุณชายของตนเองไม่เคยใช้มองหญิงใด ความพึงใจนั่นแสดงออกมาหลายส่วน เลยทำให้ไฉ่หงมั่นใจมากขึ้น
โฉมงามพิลาศพิไลเช่นนั้นมีมากมายเกลื่อนเมือง
แต่กลับไม่เคยต้องใจคุณชาย
ดังนั่นการมาที่จี๊อันถือว่าไม่เสียเปล่า
อย่างน้อยตอนกลับ คุณชายอาจมีของฝากชิ้นใหญ่กลับไปฝากนายท่านกับฮูหยินอย่างแน่นอน
“เตรียมน้ำอาบไว้ให้ข้า แล้วเจ้าจะไปไหนก็ไป”
เฟยฉีสั่ง แล้วก็เดินหน้าตึงไปนั่งหลังตั่ง หยิบม้วนหนังสือม้วนแรกมาเปิดอ่านฆ่าเวลา
ไฉ่หงเดินเลยเข้าไปด้านใน เขาใช้เวลาไม่นานก็เดินกลับมาเรียกเฟยฉี
“คุณชาย น้ำอุ่นเตรียมเสร็จแล้วขอรับ”
เฟยฉีทรงตัวยืน เขาปลดสาบเสื้อจนแทบจะเหลือแค่ตัวเปล่าๆ ตอนที่หย่อนปลายเท้าแตะผิวน้ำอุ่น อุณหภูมิน้ำอาจจะร้อนเกินไป หรือไม่ก็เพราะตนเองเผลอเหม่อ ร่างกายที่ยังปรับตัวไม่ทันเลยประท้วง
พอคุ้นชินกับไอร้อนแล้ว เฟยฉีเอนหลังพิงขอบอ่างไม้ เขาหลุบเปลือกตาลง และเพราะความคำนึงหาที่อยู่ในจิตใต้สำนึกหรืออาจเป็นเพราะโรงเตี๊ยมกับหอหมู่ตานอยู่ไม่ไกลกันเท่าใดก็เป็นได้ หูของเขาถึงได้ยินเสียงกู่เจิงที่ลอยตามลมมา เฟยฉีเม้มปาก มือกระทุ้มผิวน้ำแรงๆ แรงปรารถนาที่ฝังลึกในอก เรียกร้องให้เขา ทำตามใจปรารถนาของตนเอง
“อยู่ที่นี่ ข้าจะทำอันใดก็ได้”
ความจริงในข้อนี้ เฟยฉีลืมเสียสนิท
เขาเป็นคนแปลกที่ที่พลัดหลงเข้ามาในโลกใบนี้ หากเขาจะทำตามใจปรารถนา ก็คงไม่มีใครทัดทาน
“ไฉ่หง เตรียมชุดให้ข้าหน่อย”
“ขอรับคุณชาย” ไฉ่หงรับคำ เขาไม่ได้ไปไหนไกล
เฟยฉีจึงพยายามไม่สบตาบ่าวคนสนิท แววตารู้ทันนั่นทำให้เขาตะขิดตะขวงไม่น้อย