ในขณะเดียวกัน
ยุคอดีต
ท่ามกลางความเงียบที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบภาพวาดที่มีขนาดเท่ากับประตูห้องนอนและประตูที่เปิดออกไปทางระเบียงด้านนอก ทำให้เกิดปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเมื่อประตูในภาพวาดเรียงเป็นแนวคู่ขนานกลายเป็นสามบานซึ่งตั้งอยู่ในวิถีเดียวกันจนเชื่อมต่อกับประตูทางเข้าของตำหนักเย่วเชียงซึ่งเป็นตำหนักที่ตั้งอยู่ในพระราชวังเฉิงเฉียนกงของแคว้นเทียนจิน
และในเวลาดังกล่าวภายในตำหนักเย่วเชียงกำลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อพระชายาขององค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นเทียนจิน พระนามว่าจ้าวลี่ย่าซึ่งเป็นองค์หญิงจากแคว้นจ้าว ถูกแมลงมีพิษชนิดหนึ่งขบกัดบริเวณใบหน้าจนทำให้พิษร้ายแพร่กระจายไปทั่วร่าง ก่อนจะถึงวันเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับองค์ชายรัชทายาทซึ่งกำลังจะถูกจัดขึ้นอย่างเป็นทางการเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฮ่องเต้แคว้นเทียนจินจำเป็นต้องมีพระราชโองการเลื่อนพิธีอภิเษกสมรสองค์ชายรัชทายาทออกไปอย่างไม่มีกำหนด ด้วยเพราะพระชายาจ้าวลี่ย่ามีอาการสาหัสเป็นยิ่งนัก ใบหน้าของนางที่บัดนี้ถูกแมลงพิษจำนวนหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในสวนดอกไม้ภายในตำหนักเย่วเชียง
และพวกมันต่างพากันกรูตรงเข้าขบกัดพระชายาขององค์ชายรัชทายาทซึ่งนั่งชมสวนดอกไม้อยู่กับพระพี่เลี้ยง จนเกิดบาดแผลและบวมช้ำในเวลาอันรวดเร็ว หากแต่บาดแผลดังกล่าวที่เกิดจากรอยขบกัดนั้นกลับแผ่ขยายออกเป็นวงกว้างจนทั่วกาย เต็มไปด้วยเลือดและน้ำหนองซึ่งเกิดจากพิษของแมลงร้าย แพร่กระจายไปตามกระแสเลือดจนทำให้เลือดของนางแปรเปลี่ยนกลายเป็นพิษ
ซ้ำร้ายพระพักตร์อันงดงามของว่าที่พระชายาจ้าวลี่ย่า ในวัยเพียงสิบหกพระชันษายังไม่เติบโตเต็มที่เสียเท่าใดนักแต่ถึงกระนั้นความงามก็ไม่เป็นสองรองผู้ใด ด้วยเพราะเป็นองค์หญิงชั้นเอกซึ่งประสูติจากพระมารดาชั้นฟูเหรินซึ่งเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งของแคว้นจ้าวเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ตระกูลทางฝ่ายพระมารดาเป็นขุนนางใหญ่ฝ่ายบู๊ เป็นขุนศึกคู่บัลลังก์ของแคว้นจ้าวมานับร้อยปี
ในขณะที่ฮองเฮาแคว้นจ้าวประสูติแต่พระโอรสซึ่งมีด้วยกันถึงแปดพระองค์ และองค์หญิงจ้าวลี่ย่าเป็นพระธิดาองค์ที่สิบของฮ่องเต้แคว้นจ้าวเท่านั้น ซึ่งพระธิดาองค์ที่เก้าลำดับก่อนหน้านั้นได้สิ้นพระชนม์ลงตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ จึงทำให้องค์หญิงจ้าวลี่ย่าซึ่งเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวในจำนวนพระโอรสและพระธิดาสิบห้าพระองค์ถูกเลือกเข้าพิธีอภิเษกในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้องค์หญิงจ้าวลี่ย่าจึงเป็นพระราชธิดาที่ฮ่องเต้โจวจื่อหยวนต้องการให้นางก้าวมาเป็นพระชายาขององค์ชายรัชทายาทโจวอี้หาน ด้วยเพราะเป็นคำมั่นสัญญาระหว่างลูกผู้ชายระหว่างเพื่อนสนิทที่เคยมีไว้ต่อกันระหว่างฮ่องเต้แคว้นจ้าวและฮ่องเต้แคว้นเทียนจินนั้นเอง
ว่าเมื่อฝ่ายใดมีบุตรสาวและบุตรชายก็จะให้ทั้งสองแคว้นได้เป็นทองแผ่นเดียวกันโดยการอภิเษกสมรส โดยหารู้ไม่ว่าองค์ชายรัชทายาทนั้นมีสตรีที่ต้องการนำนางมาเคียงข้างกายอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
ซึ่งนางเป็นหลานสาวของฮองไทเฮา เข้าวังมาเที่ยวเล่นอยู่เป็นประจำและคอยดูแลฮองไทเฮาด้วยเพราะเป็นหลานสาวคนโปรด
และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พบรักกับองค์ชายรัชทายาทโจวอี้หาน แต่แล้วนางก็ไปได้ไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะฮ่องเต้แคว้นเทียนจิน แต่งตั้งนางให้ได้เป็นเพียงแค่พระชายารองเท่านั้นแทนที่จะได้เป็นพระชายาเอกขององค์ชายรัชทายาท
ซึ่งพระชายารองผู้นี้มีนามว่าหลิวซือเย่ นอกจากจะเป็นที่รักใคร่ของฮองไทเฮาแล้ว ยังเป็นที่โปรดปรานและเป็นที่ปรารถนาของจูฮองเฮาทรงต้องการให้นางมาเป็นพระชายาเอกด้วยเช่นกัน แต่แล้วกลับต้องพ่ายแพ้ให้กับองค์หญิงจากแคว้นจ้าวซึ่งพระบิดาของทั้งสองฝ่ายต่างมีสัญญาใจต่อกัน
ด้วยเหตุนี้พิธีอภิเษกสมรสที่เพิ่งเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดจึงทำให้ฮองไทเฮาและจูฮองเฮาสมดั่งพระทัยยิ่งนักที่จู่ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันแปรเปลี่ยนออกมาเป็นเช่นนั้น สมความปรารถนาที่ไม่ต้องการให้พิธีอภิเษกสมรสถูกจัดขึ้นแต่อย่างใด โดยไม่ล่วงรู้เลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระชายาจ้าวลี่ย่าในครั้งนี้ องค์ชายรัชทายาทเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการนี้ทั้งหมด
พระองค์ไม่ต้องการพระชายาจากแคว้นจ้าวมาเป็นพระชายาเอก สตรีที่ต้องการมีเพียงหลิวซือเย่เท่านั้นและแมลงพิษที่รุมทำร้ายองค์หญิงจากแคว้นจ้าวก็ไม่ได้มาจากผู้ใดแต่เป็นแมลงพิษที่พระชายารองหลิวซือเย่เลี้ยงเอาไว้นั้นเอง ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนเลยว่าชายารองผู้นี้เชี่ยวชาญพิษยิ่งนัก แม้แต่พระสวามีโจวอี้หานก็ไม่ล่วงรู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
หลิวซือเย่ออกอุบายว่ามีแมลงพิษชนิดหนึ่งสามารถนำมาสกัดเป็นตัวยาใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้ แต่ในขณะเดียวกันต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะหากถูกแมลงชนิดนี้ขบกัดเข้าที่ใดของร่างกายก็ตาม จะได้ทำคนผู้นั้นราวกับว่าตายทั้งเป็นเลยทีเดียว บาดแผลจะลุกลามและเริ่มเน่าไปทั้งตัวและสิ้นชีพภายในระยะเวลาสิบสี่วันเท่านั้น
และการออกอุบายดังกล่าวทำให้องค์ชายรัชทายาทซึ่งเป็นพระสวามีของนาง ล่วงรู้แล้วว่าจะล้มเลิกงานอภิเษกสมรสครั้งนี้ได้อย่างไรและไม่เป็นที่น่าสงสัยหากทำให้กลายเป็นเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด หากใช้แมลงชนิดนี้เป็นผู้ลงมือก่อเหตุด้วยเหตุนี้แมลงพิษดังกล่าวจึงถูกองค์ชายรัชทายาทเสาะหาตามคำบอกเล่าของพระชายารอง
ซึ่งทำให้แผนการกำจัดองค์หญิงจากแคว้นจ้าวยิ่งทำให้กลายเป็นความจริงมากขึ้น เมื่อโจวอี้หานตัดสินใจจะใช้แมลงพิษสังหารพระชายาเอกของพระองค์ จึงได้เสาะหาแมลงพิษตามคำบอกเล่าของนางเพื่อนำมาใช้ล้มเลิกงานอภิเษกสมรสที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า
และการแสวงหาแมลงพิษดังกล่าวก็ได้มาอย่างง่ายดายเมื่อหลิวซือเย่เป็นผู้มอบแมลงพิษนั้นให้กับคนของนางที่คอยรายงานข่าวภายในตำหนักรัชทายาทให้นางได้ล่วงรู้อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้องครักษ์คนสนิทของโจวอี้หานซึ่งได้รับพระบัญชาให้เสาะแสวงหาแมลงพิษดังกล่าวมาให้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนของหลิวซือเย่ซึ่งได้รับแมลงพิษดังกล่าวมาแล้วชี้เบาะแสว่าแมลงพิษชนิดนี้สามารถหาได้จากที่ใด
ซึ่งแมลงพิษที่ได้รับมานั้นถูกจัดฉากว่ามีหมอสมุนไพรชาวบ้านที่คนของหลิวซือเย่รู้จัก เลี้ยงแมลงเหล่านั้นเพื่อนำมาสกัดเป็นตัวยา ทำให้องครักษ์คนสนิทผู้นั้นกว้านซื้อแมลงพิษเหล่านั้นมาในราคาตัวละสิบตำลึงซึ่งมีอยู่ด้วยกันสิบตัวเพื่อนำมาใช้สังหารพระชายาจากแคว้นจ้าวตามรับสั่งขององค์ชายรัชทายาท
และจะใช้แมลงพิษเหล่านั้นได้ตรงกับเป้าหมายจะต้องใช้เลือดขององค์หญิงจ้าวลี่ย่าให้แมลงพิษได้สัมผัสกับกลิ่น เลือดคืออาหารของแมลงพิษเหล่านั้น ซึ่งผู้ที่ทำหน้าเอาเลือดขององค์หญิงจากแคว้นจ้าวมานั้นก็คือหมอหลวง ที่จะต้องมีหน้าที่ตรวจพระวรกายของคู่อภิเษกว่ามีพระอาการป่วยหรือไม่ และกำหนดวันร่วมหอเพื่อสืบทอดสายพระโลหิตได้อย่างแม่นยำ เลือดขององค์หญิงจ้าวลี่ย่าจึงได้มาอย่างง่ายดายจากการใช้เข็มเงินเจาะเลือดเก็บไว้ที่ปลายเข็มนั้นเองเพื่อนำกลับมาตรวจ
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้แมลงพิษสามารถโจมตีองค์หญิงจากแคว้นจ้าวได้อย่างแม่นยำ ทันทีที่พวกมันถูกองครักษ์คนสนิทขององค์ชายรัชทายาทนำมาปล่อยในสวนดอกไม้ภายในตำหนักเย่วเชียง อันเป็นตำหนักที่ประทับของพระชายาเอกขององค์ชายรัชทายาท เพื่อต้องการให้คนรักของพระองค์ก้าวขึ้นมาเป็นพระชายาเอกแทนทันทีที่องค์หญิงจ้าวลี่ย่าสิ้นพระชนม์
อีกประการหนึ่งก็คือองค์ชายรัชทายาทไม่ต้องการเป็นทองแผ่นเดียวกับแคว้นจ้าว ซึ่งเป็นเพียงแคว้นเล็กๆ เท่านั้นในสายตาของโจวอี้หาน เพราะแคว้นจ้าวในขณะนั้นเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาได้ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยปีหลังจากแยกตัวออกมาภายหลังที่แคว้นจิ้นล่มสลายลงไปแล้ว
แผ่นดินของแคว้นจิ้นแตกแยกออกมาเป็นแคว้นจ้าว แคว้นหานและแคว้นเว่ยในเวลาต่อมา ซึ่งสามแคว้นดังกล่าวต่างจับมือเพื่อพัฒนาแคว้นให้เจริญก้าวหน้าไปด้วยกัน ซึ่งในภายภาคหน้าจะแปรเปลี่ยนหรือพลิกผันไปตามกาลเวลาเป็นอย่างไรนั้นหามีผู้ใดหยั่งรู้ล่วงหน้าได้
“หมอหลวง! เหตุใดหมอหลวงจึงยังไม่มาอีก! ไม่เห็นหรือไงว่าพระชายาอาการไม่สู้ดีแล้ว..ไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!!!”เสียงของพระพี่เลี้ยงนามว่าเหอยุ่นเหมียวตะโกนส่งเสียงร้องเรียกทหารหลวงและเหล่านางกำนัลที่คอยดูแลตำหนักเย่วเชียงอยู่ในเวลานั้น
เพียงครู่ร่างอวบอิ่มของพระพี่เลี้ยงก้าวออกมาจากตำหนักด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทันทีที่เดินออกมาด้านนอกซึ่งรายล้อมไปด้วยนางกำนัลและขันทีนับสิบกว่าชีวิตนางถึงกับโกรธจนลมออกหูขึ้นมาทีเดียว
“นี่พวกเจ้าไม่ได้ยินที่ข้าตะโกนบอกเมื่อครู่อย่างนั้นเหรอ เหตุใดจึงนิ่งเฉยแบบนี้หากพระชายามีอาการทรุดหนักลงไปมากกว่านี้ผู้ใดจะรับผิดชอบ!”เหอยุ่นเหมียวตวาดถามเสียงกร้าวพร้อมเสียงของหนึ่งในนางกำนัลซึ่งดูคล้ายจะคอยดูแลตำหนักเย่วเชียงของพระชายาจากแคว้นจ้าวผู้นี้
“พวกข้าไม่ได้นิ่งนอนใจแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ แต่เป็นเพราะว่าฝ่าบาทเกิดประชวรขึ้นมาอย่างกะทันหัน พอล่วงรู้ว่าพิธีอภิเษกไม่สามารถถูกจัดขึ้นได้ตามหมายกำหนดการที่วางเอาไว้ ทำให้ต้องเลื่อนพิธีออกไปอย่างไม่มีกำหนด ฝ่าบาททรงหายพระทัยติดขัดและมีอาการปวดพระเศียรจนหมดพระสติไปเลยทันที ตอนนี้หมอหลวงทุกคนไปรวมตัวอยู่ที่พระตำหนักเทียนหยวนกันจนหมดแล้วจึงทำให้ไม่มีหมอหลวงคนไหนว่างพอที่มารักษาพระอาการของพระชายาได้เลยเจ้าค่ะ”นางกำนัลคนดังกล่าวอธิบายกลับไป
“ว่าอะไรนะ! ฝ่าบาทประชวรเป็นลมหมดพระสติไปอย่างนั้นเหรอ หมอหลวงทั้งราชสำนักของเทียนจินไม่มีผู้ใดสามารถปลีกตัวมารักษาพระอาการของพระชายาได้เลยเหรอ!”เหอยุ่นเหมียวตวาดถามเสียงกร้าวกลับไปครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ตอนนี้ยังไม่มีหมอหลวงท่านใดปลีกตัวออกมาได้เลยเจ้าค่ะ อีกอย่างเมื่อช่วงเช้าหัวหน้าหมอหลวงได้มาตรวจอาการของพระชายาเบื้องต้นแล้ว ซึ่งในขณะนั้นมีเพียงแค่รอยกัดบวมช้ำจึงรักษาไปตามอาการไม่คาดคิดว่าพระชายาจะมีอาการลุกลามเช่นนี้ ดังนั้นหมอหลวงทั้งหมดจึงไปตรวจรักษาอาการของฝ่าบาทกันหมดเจ้าค่ะ”นางกำนัลคนดังกล่าวรายงานกลับไป
“อย่างนั้นนะเหรอ! แคว้นเทียนจินอันแสนยิ่งใหญ่ เพียงแค่หมอหลวงเพียงคนเดียวยังไม่สามารถปลีกตัวมารักษาพระอาการขององค์หญิงของข้าได้เลยหรือนี่ ช่างน่าขบขันสิ้นดี!”พระพี่เลี้ยงคนซื่อตวาดถามเสียงขุ่นเคือง
เหอยุ่นเหมียวเดินกลับไปกลับมาอยู่บริเวณหน้าตำหนักเพื่อครุ่นคิดหาวิธีการช่วยเหลือองค์หญิงของนางให้รอดพ้นจากอันตรายก่อนจะตัดสินใจขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว
“ข้าจะต้องเดินทางไปเข้าเฝ้าฮองไทเฮาด้วยตัวเองเพื่อรายงานพระอาการขององค์หญิงให้ทรงล่วงรู้ว่ามีพระอาการหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่คิดเอาไว้มากยิ่งนัก”เหอยุ่นเหมียวกล่าวพร้อมรีบก้าวออกจากตำหนักเยว่เชียงเพื่อมุ่งหน้าไปเข้าเฝ้าฮองไทเฮา
แกร๊ง! ทันทีที่ร่างของพระพี่เลี้ยงก้าวข้ามผ่านธรณีประตูตำหนักเย่วเชียง หอกแหลมของทหารหลวงตรงเข้าขวางทันใด