ห้องพักหมายเลข 612
ห้องพักชั้นหกในจำนวนสิบสองห้องต่อหนึ่งชั้น ซึ่งห้องพักดังกล่าวเป็นห้องสุดท้ายของชั้นนี้ที่ยังว่างอยู่และยังไม่เคยมีใครเข้าไปอยู่อาศัยมาก่อนด้วยเพราะเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่ถึงหนึ่งปี ซึ่งอาคารดังกล่าวล้วนเป็นแพทย์ที่ได้รับการบรรจุเข้าทำงานในโรงพยาบาลด้านโรคสมองของนครซีอานด้วยกันทั้งสิ้น
และห้องพักชุดนี้ถูกส่งมอบพร้อมกุญแจห้องพักทั้งด้านนอกและด้านในให้กับจ้าวย่าเจินแพทย์หญิงที่เพิ่งบรรจุใหม่หมาดๆ กระเป๋าเดินทางจำนวนหลายใบถูกนำมาวางไว้บนห้องเป็นที่เรียบร้อย ท่ามกลางสายตาของหญิงสาวที่เห็นภายในห้องพักแบ่งเป็นสัดส่วนได้อย่างลงตัว
ภายในห้องพักดังกล่าวมีด้วยกันสองห้องนอน และมีพื้นที่แยกเป็นห้องรับแขกส่วนหน้า ห้องครัวที่มีชุดครัวเตาแก๊สและที่ดูดควันตกแต่งเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยและที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือห้องสุดท้ายซึ่งเป็นห้องมุมจะมีระเบียง หันหน้าไปทางทิศเหนือสามารถเห็นกำแพงเมืองโบราณได้อย่างชัดเจน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังทำลายความเงียบขึ้นมา สองคิ้วเรียงสวยขมวดมุ่นเข้าหากันทันใด
“ใครกันนะมาเคาะประตูห้องพักเรา”หญิงสาวยืนพูดพึมพำพลางเดินตรงไปที่ประตูห้องมองลอดช่องตาแมวซึ่งทำเอาไว้สำหรับมองคนที่อยู่ด้านนอก
“ใครกันเนี่ยไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”หญิงสาวพูดออกมาทันทีเมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านนอก
“จากที่ไหนคะ!”จ้าวย่าเจินตัดสินใจถามกลับไปก่อนจะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายตอบกลับมา
“ห้องคุณหมอจ้าวที่เพิ่งเข้ามาประจำที่โรงพยาบาลใช่ไหมครับ”ชายคนดังกล่าวเอ่ยถามกลับไป
จ้าวย่าเจินกลอกตาไปมาครั้นได้ยินอีกฝ่ายถามกลับมาเช่นนั้น
“เขารู้ด้วยแฮะะว่าเราเพิ่งย้ายเข้ามาที่ห้องวันนี้”หญิงสาวรำพึงเสียงเบาพร้อมเสียงของอีกฝ่ายดังแทรกขึ้น
“ผมเป็นผู้จัดการอาคารชุดของที่นี่ครับ มีหน้าที่คอยดูแลครอบครัวของคุณหมอทุกๆ ท่านที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ วันนี้คุณหมอเพิ่งย้ายเข้ามา ทางเรามีของขวัญมามอบให้กับคุณหมอเพื่อเป็นการต้อนรับเข้าบ้านครับ”
คำอธิบายดังกล่าวทำให้จ้าวย่าเจินคลี่ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลางเอื้อมมือไปที่จับประตูเปิดต้อนรับแขกที่อยู่ด้านนอกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบต้นๆ และหญิงวัยกลางคนวัยประมาณสามสิบกลางๆยืนถือของขวัญและกระเช้าดอกไม้ด้วยกันทั้งคู่
“ขอโทษด้วยนะคะที่ต้องถามออกไปแบบนั้นเสียมารยาทแย่เลย”หญิงสาวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นครับคุณหมอนี่คือของขวัญจากทางเรา ขอต้อนรับเข้าบ้านนะครับ”กล่าวพร้อมยื่นของขวัญให้อีกฝ่ายท่ามกลางสายตาของจ้าวย่าเจินยืนมองของขวัญตรงหน้าด้วยความแปลกใจด้วยเพราะมีขนาดใหญ่มากนั้นเอง
“อะไรเหรอคะ! ทำไมของขวัญใหญ่จังเลย”คุณหมอคนสวยตัวเล็กกะทัดรัดถามกลับไปด้วยความแปลกใจพร้อมเสียงของอีกฝ่ายอธิบายกลับมา
“ในมือของผมนี้เป็นภาพวาดครับคุณหมอ”ผู้จัดการอาคารชุดบอกกลับไป
“ออ..ภาพวาดอย่างนั้นเหรอคะ มิน่าละทำไมถึงได้ใหญ่จัง”กล่าวพร้อมเอื้อมมือรับภาพวาดดังกล่าวซึ่งถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาลเข้มเอาไว้เป็นอย่างดี ก่อนจะเอื้อมมือรับกระเช้าดอกไม้จากมือของผู้ช่วยซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนจนเต็มสองแขน
“เพิ่งจะรู้ว่าที่นี่มีการมอบของขวัญให้ลูกบ้านด้วย สิ้นเปลืองแย่เลยค่ะ”หญิงสาวพูดพลางเดินเข้าไปภายในห้องเพื่อวางของขวัญและกระเช้าดอกไม้บนเฟอร์นิเจอร์ที่บิวอินเอาไว้
“ไม่ได้เป็นการสิ้นเปลืองอะไรเลยครับคุณหมอ เป็นนโยบายจากส่วนกลางของรัฐที่ต้องการดูแลแพทย์ในกระทรวงทุกคนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่านี้ อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าอัตราเงินเดือนของแพทย์รัฐบาลที่น้อยเกินไปทำให้เกิดภาวะสมองไหล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหนีไปอยู่โรงพยาบาลของเอกชนกันหมด”
จ้าวย่าเจินได้แต่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมาทั้งสิ้น
“ถ้าหากเทียบกับเมื่อสิบปีก่อนคุณหมอที่จบออกมาในช่วงนั้นแต่ละคนเงินเดือนรวมโอทีและโบนัสแล้วยังไม่ถึงห้าพันหยวนเลยนะครับ โชคดีที่ตอนนี้มีการปรับเงินเดือนและค่าครองชีพให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ในเศรษฐกิจช่วงปัจจุบันขึ้นมามากแล้วก็เลยทำให้มีไม่เกิดภาวะสมองไหลเหมือนเมื่อก่อน ขืนรัฐไม่ยอมปรับมีหวังตามเมืองและมณฑลต่างๆ ต้องขาดแคลนบุคลากรทางด้านนี้มากเลย”ผู้จัดการคนดังกล่าวพูดพลางส่งยิ้มให้ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ออ..ผมลืมบอกไปว่าภาพวาดที่นำมามอบให้คุณหมอเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่นี้ เป็นภาพวาดที่เจาะจงมอบให้กับคุณหมอจ้าวมาโดยตรงเลยนะครับ มีโน้ตกำชับเอาไว้ว่าจะต้องมอบให้ถึงมือคุณหมอเหมาะสำหรับติดฝาผนังในห้องนอนจะทำให้นอนหลับสบายและสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมายามเวลาตื่นครับ”
คำกล่าวของผู้จัดการคนดังกล่าวทำให้จ้าวย่าเจินขมวดคิ้วเข้าหากันทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ขนาดนั้นเชียวเหรอคะ แล้วใครเป็นคนมอบให้มา”หญิงสาวเอ่ยด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าใดนัก พร้อมเสียงของผู้ช่วยซึ่งเป็นผู้หญิงเป็นฝ่ายอธิบายกลับมา
“ภาพวาดที่นำมามอบให้กับคุณหมอเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่นี้ ถูกส่งมาจากส่วนกลางค่ะต้องมอบให้กับคุณหมอจ้าวเท่านั้นห้ามไม่ให้ใครรับแทน”
คำอธิบายดังกล่าวสร้างความแปลกใจให้กับจ้าวย่าเจินอยู่ไม่ใช่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้เงียบๆ พลางครุ่นคิดตามว่าใครหนอต้องการมอบภาพวาดนี้ให้กับเธอก่อนจะได้ยินเสียงของผู้จัดการเอ่ยขึ้น
“เราสองคนรบกวนคุณหมอมาพอสมควรแล้ว ถ้าเช่นนั้นขอตัวกลับก่อนนะครับคุณหมอจะได้พักผ่อน”
จ้าวย่าเจินส่งยิ้มให้บางๆเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไว้โอกาสหน้าคุยกันใหม่นะคะ”หญิงสาวกล่าวพร้อมเอื้อมไปจับประตูพลางปิดลงเมื่อแขกผู้มาเยือนลากลับไป
“แปลกจังเลยแฮะ! ใครกันมอบของขวัญขึ้นบ้านใหม่ให้เรามิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าต้องมอบให้กับมือเสียด้วย ภาพวาดอะไรสำคัญมากนักเหรอ”หญิงสาวพูดพึมพำอย่างสงสัยพร้อมเดินตรงไปที่ภาพวาดที่วางไว้บนชั้นที่บิวอินติดกับฝาผนัง ก่อนจะยืนมองอยู่เพียงครู่พลางสำรวจไปทั่วบริเวณห้องพักของเธอ
“บ้านพักของฉันเข้าท่าใช้ได้เลยทีเดียว มีระเบียงรับลมเย็นๆ แบบนี้เจินเจินเอ้ยเจินเจิน ยืนชมพระอาทิตย์ตกดินเห็นกำแพงเมืองโบราณแบบนี้ฟินเป็นบ้าเลยวุ้ย นี่ถ้าได้นั่งจิบชาอ่านหนังสือที่ระเบียงห้องฉันคงมีความสุขไม่ใช่น้อยเลย เดี๋ยวเดินสำรวจให้ละเอียดทั่วทุกห้องก่อนดีกว่า จะได้สั่งเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมจากที่เคยสั่งเอาไว้ลงตามห้องต่างๆ ต้องอยู่ตั้งสิบปี จัดบ้านต้องให้น่าอยู่แต่ประหยัด”
หญิงสาวพูดพลางล้วงโทรศัพท์มือถือเพื่อกดสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์มาลงในห้องพักของเธอเพิ่มเติมอย่างรวดเร็ว
จ้าวย่าเจินเดินสำรวจไปทั่วทุกห้องอย่าละเอียดพร้อมกดสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงของเธอโดยเก็บเงินจากการทำงานหารายได้พิเศษเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของหญิงสาวในขณะที่กำลังเรียนแพทย์อยู่ในขณะนั้น จนทำให้ตลอดระยะเวลาแปดปีที่เรียนอยู่นั้นทำให้เธอสามารถเก็บเงินได้นับแสนกว่าหยวนเลยทีเดียว
ร่างเล็กอรชรก้าวเดินสำรวจจนกระทั่งเข้ามาหยุดยืนมองห้องนอนใหญ่ และพบว่ามีภาพเขียนพู่กันจีนขนาดใหญ่ใส่กรอบไม้แกะสลักลวดลายโบราณสวยงามมากจนสะกดสายตาของจ้าวย่าเจินเอาไว้กับที่ทันทีที่ได้พบภาพเขียนดังกล่าว
“ห้องพักของเราเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ มีภาพเขียนใส่กรอบเอาไว้ในห้องแบบนี้ด้วยเหรอ หรือว่าจะเป็นของตกแต่งเพิ่มเติมที่ไม่ได้มีเพียงแค่ห้องเปล่าๆ เท่านั้น ห้องครัวยังมีเตาแก๊สกับที่ดูดควันให้ ห้องน้ำก็มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ ห้องนอนเล็กไม่มี มีแต่ห้องนอนใหญ่มีภาพเขียนติดไว้บนฝาผนัง เออ..ก็แปลกดีนะห้องนี้มีของแถมให้หลายรายการเลย ห้องอื่นมีเหมือนเราหรือเปล่านะ”หญิงสาวยืนพึมพำพลางก้าวเท้าเข้าไปมองภาพเขียนดังกล่าวใกล้ๆ
ในขณะที่หญิงสาวกำลังยืนมองภาพเขียนตรงหน้าด้วยความชื่นชม เธอกลับมีความรู้สึกดูเหมือนว่าภาพวาดดังกล่าวมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
“ทำไมภาพนี้มันเหมือนวาดไม่เสร็จอย่างนั้นเหรอ แต่ไม่ใช่สิคล้ายกับว่ามีภาพวาดที่จะต้องต่อจากภาพนี้ออกไปอีก แสดงว่าภาพนี้จะต้องใหญ่กว่านี้แน่นอนเลย”หญิงสาวพูดพลางมองไปทางตะปูที่เจาะเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ราวกับว่ากำลังรอภาพส่วนที่เหลือมาแขวนต่อจากกัน
จ้าวย่าเจินยกมือขึ้นกอดอกมองภาพดังกล่าวอยู่เพียงครู่ก่อนจะนึกถึงภาพวาดที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา
ร่างเล็กหันหลังกลับเดินออกจากห้องนอนใหญ่อย่างรวดเร็วเดินตรงไปที่ชั้นวางซึ่งมีของขวัญที่เพิ่งได้รับเมื่อครู่ที่ผ่านมา ก่อนจะแกะกระดาษสีน้ำตาลที่ห่อภาพวาดดังกล่าวออกจนเผยให้เห็นรายละเอียดเกี่ยวกับภาพดังกล่าวปรากกฎอยู่ตรงหน้า
“ภาพวาดคล้ายที่พักอะไรสักอย่าง ดวงจันทร์วาดซะเหมือนจริงเลย ดอกไม้สีขาวโปรยปรายก็วาดซะเหมือนมีชีวิตรายละเอียดสีคล้ายกับภาพวาดที่อยู่ในห้องเลยหรือว่าภาพนี้จะเป็นชิ้นที่เหลือต้องนำมาต่อติดกันจริงๆ”จ้าวย่าเจินพูดพลางครุ่นคิดตามก่อนจะรีบก้าวเดินกลับไปที่ห้องนอนใหญ่ตามเดิม
และทันทีที่นำภาพวาดที่อยู่ในมือมาวางต่อกันซึ่งเป็นภาพขนาดใหญ่เป็นแนวตั้ง ความสูงของภาพเท่ากับประตูห้องนอนคือสองร้อยเซนติเมตรและมีความกว้างขนาดหนึ่งร้อยยี่สิบเซนติเมตรเลยทีเดียว
“โอโห่! ภาพนี้สูงกว่าตัวคนอีกทำราวกับว่าวาดถอดแบบออกมาจากของจริงเลย ยิ่งมองเหมือนกับว่ามีชีวิตเลยแฮะหรือว่าเราตาฝาดไปเองหรือเหล่านะ”หญิงสาวบ่นพึมพำ
ในขณะที่สายตากำลังจับจ้องส่วนอื่นๆ ของภาพวาดอยู่ในขณะนั้น ก็เหลือบไปเห็นเหนือบานประตูที่ปรากฏอยู่ในภาพวาดปรากฏป้ายชื่อที่ติดอยู่เหนือบานประตูดังกล่าวเขียนเป็นอักษรจีนเก่าที่ไม่มีใครในยุคสมัยปัจจุบันสามารถอ่านออกได้ ซึ่งจะมีเพียงผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักษรโบราณจากกองโบราณคดีเท่านั้นจึงจะแปลความหมายดังกล่าวออกมาได้ว่าแท้จริงแล้วสถานที่ในภาพวาดนั้นคือแห่งหนใด
แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันพลันบังเกิดขึ้น ในขณะที่สายตาของจ้าวย่าเจินมุ่งความสนใจไปที่ส่วนอื่นของภาพวาด อักษรจีนโบราณจากยุคเก่าในภาพเขียนดังกล่าวกลับแปรเปลี่ยนไปทันที กลับกลายเป็นอักษรจีนที่คนในยุคปัจจุบันสามารถอ่านออกได้ขึ้นมาทันใดอย่างน่าอัศจรรย์
โดยที่จ้าวย่าเจินซึ่งกำลังยืนชื่นชมภาพวาดอยู่ในขณะนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตเห็นเพราะสายตาจับจ้องอยู่แต่ภาพผู้ชายตรงหน้า สวมชุดโบราณสีดำทะมึนเกล้าผมยกสูงยืนเอามือไพล่ไว้ทางด้านหลัง หญิงสาวเห็นภาพชายที่อยู่ในภาพเขียนกำลังยืนหันหลังให้ในลักษณะนั้นราวกับว่าเขากำลังยืนมองสิ่งปลูกสร้างตรงหน้าอยู่พร้อมกันกับเธอ
ภาพวาดของชายคนดังกล่าวสวมอาภรณ์โบราณของชนชั้นสูง สังเกตจากกวานที่ใช้ครอบมวยผมนั้นมีลักษณะสวยงามกว่าชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแต่คุณหมอสาวคนสวยหรือจะสนใจเพราะเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์มาหาใช่เรียนรู้ทางด้านโบราณคดีจึงจะสามารถวิเคราะห์ในเชิงประวัติศาสตร์ได้
ชายในภาพวาดยืนอยู่ในระยะไกลกำลังมองตำหนักตรงหน้าท่ามกลางแสงจันทราดวงใหญ่ที่สาดแสงในยามราตรีกาล ก่อนจะเหลือบสายตาเห็นป้ายชื่อที่แปรเปลี่ยนจากอักษรโบราณเป็นอักษรจีนสมัยใหม่
“ตำหนักเย่วเชียง!!!”จ้าวย่าเจินอ่านป้ายชื่อที่ติดอยู่เหนือบานประตูทางเข้าด้วยความแปลกใจ
“สิ่งปลูกสร้างในภาพนี้เป็นตำหนักโบราณอย่างนั้นเหรอ! ตำหนักเย่วเชียงความหมายตรงตัวก็คือตำหนักพระจันทร์ ถึงว่าทำไมมีดวงจันทร์อยู่ในภาพวาดนี้ด้วย แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครทำไมมายืนหันหลังให้กับภาพวาดแบบนี้ด้วยนะ ตอนจิตรกรกำลังวาดไม่ให้หลบไปก่อนอย่างนั้นเหรอ...แปลกจังเลยแฮะ”
หญิงสาวยืนบ่นพึมพำก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือกดสั่งเฟอร์นิเจอร์ซึ่งเป็นชุดห้องนอนพร้อมคิดหาตำแหน่งวางคร่าวๆ เอาไว้ในใจพลางเหลือบสายตามองภาพเขียนดังกล่าวอยู่เป็นระยะ
“แปลกจังเลยแฮะ ทำไมเราถึงได้รู้สึกว่าภาพวาดตำหนักเย่วเชียงยิ่งมองยิ่งเหมือนเข้ามาใกล้มากขึ้นด้วยนะ เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าเหมือนจะอยู่ไกลกว่านี้อีก”หญิงสาวพูดพลางเกาศีรษะตัวเองไปมาก่อนจะเพ่งมองภาพวาดตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจอีก
เวลาผ่านไปกว่าห้านาทีจ้าวย่าเจินได้แต่ส่ายใบหน้าตัวเองไปมาเมื่อรู้สึกว่าได้ทดลองอะไรบ้าบออะไรก็ไม่รู้ลงไป พลางเดินถอยหลังออกมาจากห้องนอนใหญ่อย่างช้าๆ
“ท่าทางเราจะประสาทแน่เลย ยืนมองภาพวาดตำหนักโบราณนั้นอยู่ได้เป็นนานสองนานก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือเป็นเพราะว่าเมื่อคืนมัวแต่เก็บของทำให้พักผ่อนน้อยไปหน่อยหรือเปล่า”หญิงสาวบ่นพึมพำพลางก้าวเดินออกจากห้องนอนโดยไม่สนใจอะไรอีกเพื่อออกไปข้างนอกหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น
ทันทีที่ร่างของจ้าวย่าเจินก้าวออกไปจากห้องนอนดังกล่าว ภาพวาดตำหนักโบราณเริ่มแปรเปลี่ยนไปทันที
เมื่อดวงจันทร์ที่อยู่ในภาพวาดเริ่มทอแสงเรืองรองออกมา ดอกไม้นานาพรรณที่อยู่ในภาพวาดดังกล่าวก็เริ่มโอนเอนไปมาตามกระแสลมที่พาดผ่านรวมไปถึงเสื้อผ้าของบุรุษที่อยู่ในภาพวาดก็เริ่มสะบัดพลิ้วไหวไปมาตามกระแสแรงลม
ภาพวาดของผู้ชายสวมชุดโบราณสีดำทะมึนค่อยๆ เคลื่อนไหวไปมาเขากำลังก้าวเดินตรงไปที่ตำหนักตรงหน้า ก่อนจะหันใบหน้าที่เห็นเพียงด้านข้างเท่านั้นพร้อมรอยยกยิ้มที่มุมปากปรากฏขึ้น เมื่อตำหนักเย่วเชียงสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมเสียงเอ็ดอึงดังออกมาจากภาพวาดดังกล่าว
“หมอหลวง! รีบไปตามหมอหลวงมาโดยเร็วพระชายาไม่ไหวแล้ว! หมอหลวง!!!”เสียงเรียกหาหมอหลวงดังกึกก้องประหนึ่งว่าดังอยู่ในความฝัน หากแต่ความเป็นจริงแล้วดังออกมาจากภาพวาดดังกล่าว
พรึบ! บริเวณส่วนใบหน้าของจ้าวย่าเจินโผล่อยู่ตรงหน้าประตูอย่างรวดเร็วด้วยเพราะเธอได้ยินเสียงเมื่อครู่อย่างชัดเจน
“เสียงใครเรียกหาหมอหลวง!”หญิงสาวพูดพลางใช้สายตาสำรวจไปทั่วห้องนอนอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ
“หูฝาดอย่างนั้นเหรอ! ดูท่าสงสัยฉันรีบต้องกินข้าวเช้าเสียแล้วกระมัง นี่มันก็เก้าโมงแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเราไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นจนถึงตอนนี้ก็เลยรู้สึกหิวจนหูอื้อตาลาย ทำให้เห็นและได้ยินในสิ่งที่ไร้สาระสิ้นดี”จ้าวย่าเจินกล่าวพร้อมยักไหล่ไหวมาพลางส่ายหน้าไปมาติดต่อกัน
ติ๊งต๊อง! ติ๊งต๊อง! เสียงออดหน้าประตูห้องพักดังกึกก้องขึ้นภายในห้องพักของคุณหมอคนสวย และนั่นทำให้จ้าวย่าเจินหันกลับไปมองประตูห้องของพักของเธอพร้อมให้ความสนใจอยู่กับผู้ที่กำลังมาเยือนอยู่ในขณะนี้
“เฟอร์นิเจอร์มาส่งครับ!”เสียงร้องเรียกของพนักงานส่งของและติดตั้งจากศูนย์เฟอร์นิเจอร์ที่หญิงสาวไปเลือกซื้อเอาไว้ล่วงหน้าและให้นำมาส่งที่ห้องพักในวันนี้
“สักครู่นะคะ”หญิงสาวตอบรับกลับไปพลางก้าวเดินไปเปิดประตูห้อง ซึ่งพนักงานส่งของและพนักงานติดตั้งกำลังยืนรออยู่จำนวนสี่คน พร้อมเริ่มลำเลียงเฟอร์นิเจอร์ที่นำมาส่งและยื่นใบตรวจสินค้าเพื่อให้คุณหมอคนสวยทำการตรวจสอบสินค้าอีกครั้ง
เวลาสี่ทุ่ม
เพียงไม่นานเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันก็ถูกติดตั้งจนครบหมดทุกห้อง บริเวณห้องรับแขกโซฟาตัวใหญ่สำหรับนั่งดูทีวีจัดวางได้อย่างลงตัว ทีวีจอขนาด 55 นิ้วถูกติดตั้งไว้บนกำแพงห้องอย่างแน่นหนา พื้นห้องปูพรมลวดลายนกยูงทองเพิ่มความสวยงามให้กับห้องมากยิ่งขึ้นไปอีก
ไม่ว่าจะเป็นห้องครัวก็เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เทคโนโลยีอันทันสมัยถูกติดตั้งไว้อย่างครบครัน ห้องนอนที่มีอยู่ด้วยกันถึงสองห้องก็ถูกจัดวางได้อย่างลงตัว ซึ่งหญิงสาวให้ความสำคัญกับสถานที่พักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญ
เตียงนอนขนาดคิงส์ไซส์ถูกนำมาติดตั้งพร้อมที่นอนและเครื่องประดับห้อง โต๊ะข้างเตียงอันทันสมัยที่สามารถชาร์ตแบต มือถือได้ รวมไปถึงโคมไฟซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือและตู้หนังสือที่มีแต่ตำราแพทย์
ครั้นมองตรงไปที่ปลายเตียงติดกับมุมห้องซึ่งอยู่ติดกับประตูสามารถเดินออกไปทางระบียงห้องนอนและมีสวนดอกไม้เล็กๆ เชื่อมต่อกับระเบียงห้องโถงกลายเป็นพื้นที่ระเบียงที่กว้างพอสมควรเลยทีเดียว
หญิงสาวใช้พื้นที่ส่วนที่เป็นระเบียงปลูกสวนดอกไม้และมีน้ำพุเล็กๆ วางตั่งโบราณและโต๊ะดื่มชาจัดสวนย้อนยุคอยู่ตรงริมระเบียงซึ่งมีกันสาดป้องกันฝนสาดยาวตลอดทั้งแนว ทำให้ระเบียงห้องของเธอน่านั่งชมพระจันทร์ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนยามเมื่อพระจันทร์เต็มดวง
ท่ามกลางความเงียบงันที่แผ่ปกคลุมเข้ามาโดยรอบ จ้าวย่าเจินเดินเข้ามาในห้องนอนหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมสระผมดำยาวสลวยจนสะอาดหลังจากต้องจัดข้าวของมาตลอดทั้งวัน ด้วยความเหนื่อยอ่อนทันทีที่เห็นเตียงนอนอันกว้างใหญ่น่านอนเช่นนั้นตาก็เริ่มปรอยขึ้นมาทันใด อาการง่วงนอนบังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เห็นเตียงแล้วง่วงจังเลย อีกตั้งห้าวันกว่าจะได้ไปทำงานช่วงที่ยังไม่ไปเริ่มงานขอนอนหลับอุตุให้เต็มอิ่มหน่อยเถอะ”หญิงสาวพูดพลางเดินเซซัดเซซ้ายไปที่เตียงนอนของตัวเองอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเอง
ฟิ้วววว!!!! ลมพัดกรรโชกแรงไม่รู้มาจากแห่งหนใดพาดผ่านผิวกายขาวนวลเนียนของจ้าวย่าเจินจนเธอต้องยกมือขึ้นลูบท่อนแขนของตัวเองไปมาก่อนจะหันรีหันขวางมองสำรวจไปทั่วห้องว่ามีลมพัดมาจากทิศทางใด
“แอร์ก็ยังไม่ได้เปิด! แล้วลมมาจากที่ไหนกัน”กล่าวพร้อมเดินตรงไปที่ประตูระเบียงห้องนอนพลางเปิดผ้าม่าน และพบว่าประตูระเบียงปิดล๊อกแน่นสนิทด้วยระบบนิรภัยอย่างดีซึ่งใช้รหัสเปิดปิดประตูระเบียงเข้าออกเช่นเดียวกับประตูบ้านของเธอ
“ประตูระเบียงก็ยังปิดล๊อกอยู่เหมือนเดิม แล้วลมจากที่ไหนกันพัดเข้ามาในห้องนอนแรงเสียขนาดนั้น”จ้าวย่าเจินบ่นพึมพำพลางปิดม่านประตูระเบียงเอาไว้ตามเดิมพร้อมยกมือเกาศีรษะของตัวเองไปมาด้วยความแปลกใจ
แต่แล้วเพียงครู่หญิงสาวก็เหลือบมองไปที่ภาพวาดซึ่งเพิ่งได้รับมาเป็นของขวัญและสังเกตพบว่าผู้ชายที่อยู่ในภาพวาดซึ่งยืนเอามือไพล่ไว้ทางด้านหลัง มาบัดนี้ตำแหน่งในการยืนจากระยะไกลดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
จ้าวย่าเจินมีความรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ในภาพวาดคล้ายจะตัวใหญ่ขึ้นจากที่เห็นเพียงตัวเล็กๆ ราวกับว่ากำลังก้าวเดินถอยหลังออกมาจากตำหนักและเริ่มเข้ามาอยู่ในระยะสายตาที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
“ทำไมรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ในภาพวาดนี้เขาตัวใหญ่ขึ้นนะ! หรือว่าเราคิดไปเอง”หญิงสาวยืนบ่นพึมพำพลางยืนมองอยู่เพียงครู่ก่อนจะส่ายหน้าไปมาด้วยความเอือมระอาตัวเอง
“เจินเจินเอ้ยเธอนี่มันบ้าจริงๆ เลยให้ตายสิ! ตาฝาดยังไม่พอกลับดันเห็นภาพหลอนไปทั่ว”หญิงสาวบ่นพึมพำพลางก้าวเดินตรงไปที่เตียงเปิดแอร์ภายในห้องนอนให้เริ่มทำงาน ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนที่นอนใหญ่พร้อมดับโคมไฟที่อยู่บนหัวเตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าสู่นิทราแห่งการหลับใหล