ตอนที่ 1 / 2

2079 Words
หัวคิ้วเข้มของอัครากดลงข้างหนึ่ง เขาพอทราบความเป็นไปของผู้หญิงตรงหน้าอยู่บ้างว่า หลังจากที่เธอสารภาพกับเขาว่าตั้งท้องกับผู้ชายคนอื่น ผู้ชายคนนั้นที่เป็นลูกชายของตระกูลดัง และสำหรับเขาตอนนั้นยังเป็นแค่ลูกชายเจ้าของโรงงานผลิตน้ำผลไม้เล็กๆ ยังไม่มีชื่ออยู่เลย             แน่สิ เธอถึงกล้าทรยศเขา แล้วทอดตัวให้กับผู้ชายอีกคนได้เชยชมอย่างง่ายดาย เพียงหวังที่จะได้เป็นลูกสะใภ้ของตระกูลดัง แต่ไม่นานเธอกลับไม่ได้ดังหวัง เพราะอรพิมถูกผู้ชายคนนั้นสลัดทิ้งไม่ต่างจากรองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่ง ทางตระกูลนั้นไม่ยอมรับเธอและลูก พร้อมกับอ้างว่าจะใช้ข้อกฎหมายเข้าจัดการเธอ หากเธอแพร่งพรายเรื่องนี้ไปทำให้ตระกูลนั้นเสื่อมเสีย และหากอรพิมอยากให้ทางตระกูลนั้นรับลูกสาวเอาไว้ก็ให้เธอไปฟ้องร้องเอาเอง หญิงสาวที่เป็นแค่ลูกชาวสวนผลไม้ธรรมดาๆ คงไม่สามารถไปต่อกรกับตระกูลดังได้ เธอจำต้องพาลูกกลับไปหลบเร้นเลียแผลใจอยู่ที่บ้านสวน เลี้ยงลูกสาวคนเดียวมาตลอดสิบสี่ปี                                         แล้วสิบสี่ปีให้หลัง เธอกลับมาขอให้เขาช่วยดูแลลูกสาวเธอ  แล้วทำไมไม่ไปเรียกร้องให้ผู้ชายคนนั้นดูแลลูกสาวเอง “เท่าที่ทราบ ตระกูลนั้นออกจะใหญ่โต เลี้ยงเด็กผู้หญิงคนเดียวทำไมจะทำไม่ได้”                                                                   อรพิมยิ้มหยันให้กับตัวเอง ว่าแล้วว่าอัคราจะต้องพูดแบบนี้ เขาก็คงรู้อะไรดีๆ อยู่ “คุณก็รู้ว่าพวกเขาไม่ยอมรับยัยแพร คุณแม่ของเขาเกลียดพิมพ์ เกลียดยัยแพรอย่างกับอะไรดี”                           เอ่ยจบ อรพิมก็เห็นมุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้น คล้ายยิ้มหยันความน่าอดสูที่เธอและลูกสาวกำลังได้รับ                               “น่าเสียดาย สุดท้ายคุณก็ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ได้เป็นลูกสะใภ้ของไฮโซคนดัง”                                                                    อรพิมหันกลับไปปาดน้ำตาออกจากแก้ม สายตาเขาที่มีให้เต็มไปด้วยความสมเพช ส่วนวาจาเขาก็มีแต่ถ้อยคำเย้ยหยันเหลือเกิน         “มาวันนี้ คุณกลับมายัดเยียดเด็กที่เป็นลูกของคุณกับผู้ชายคนนั้นให้ผมเลี้ยงดูแทน คุณไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอพิมพ์ หัวใจคุณมันทำด้วยอะไร” อัคราเค้นเสียงถาม แม้ไม่ใช่การตะคอก ทว่าอรพิมก็จับได้ว่า เขามีความโกรธแค้นกับสิ่งที่เธอทำกับเขาอยู่ แต่จะทำอย่างไรได้ ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ลูกสาวของเธอจะต้องมีคนดูแลต่อ                        “พิมพ์ไม่มีทางเลือก” อรพิมพ์เอ่ยขึ้นก่อน แล้วกลั้นใจบอกถึงสาเหตุที่ต้องมาขอร้องให้เขาช่วยแบบนี้ “พิมพ์ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย”  อัคราชะงัก แล้วใช้สายตาพิจารณาสภาพหญิงสาวอีกครั้ง มิน่าสภาพร่างกายของเธอถึงได้ดูทรุดโทรมลงอย่างน่าใจหาย                  แล้วเสียงสั่นเครือของอรพิมดังขึ้นอีก “หมอบอกว่าพิมพ์จะอยู่ได้อีกไม่นาน โรคที่พิมพ์เป็นอยู่มันทรมานมาก พิมพ์ไม่มีทางเลือกนอกจากจะฝากยัยแพรให้คุณช่วยดูแล”       อัคราจะปฏิเสธต่อ แต่อรพิมก็รีบพูดแทรก                            "ตากับยายแกตายแล้วเมื่อสามปีก่อน พวกเขาทั้งสองขับรถไปชนกับรถสิบล้อ เป็นเวลาเดียวกับที่พิมพ์รู้ว่าตัวเองกำลังเป็นมะเร็งระยะที่สาม"     เสียงสั่นเครือและเสียงสะอื้นไห้เบาๆ ทำให้เขาจับได้ว่าเธอกำลังเศร้าอยู่กับหลายเรื่อง อัคราสูดลมหายใจเข้าลึก…ผู้หญิงที่ทรยศหักหลังเขา จากกันไปนานร่วมสิบกว่าปี กลับมาอีกครั้งพร้อมลูกสาววัยสิบสาม และมาบอกว่ากำลังจะตาย ใช้ความตายของเธอมาบีบบังคับให้เขารับเลี้ยงลูกสาวเธอต่อ ไม่ว่าจะมองทางไหน อรพิมก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว              เธอกำลังผลักภาระในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมาให้เขารับผิดชอบเต็มๆ ลูกสาวของเธอกับผู้ชายคนนั้น หากอรพิมไม่สามารถจะเลี้ยงดูต่อไปได้แล้ว ก็ควรต้องเป็นหน้าที่ของผู้ชายคนนั้นสิ ไม่ใช่เขาที่อยู่ในฐานะคนรักเก่าของเธอ แถมเป็นคนรักเก่าที่เธอเลือกจะทรยศหักหลังได้แบบเลือดเย็นอีกด้วย  อัคราเอ่ยเสียงเด็ดขาด "เสียใจด้วย ผมทำตามที่คุณขอร้องไม่ได้ มันไม่ใช่ธุระอะไรของผม พาแกไปพบพ่อแท้ๆ ของแกเถอะ”  จากนั้นก็หันกลับไปนั่งในรถ อรพิมก็ยืนร้องไห้โฮออกมา แล้วประตูรถก็เลื่อนปิดอย่างช้าๆ ชายหนุ่มยังวางท่านิ่งขรึมไม่ยอมชายตาแลกลับมาที่เธออีก   อรพิมทำได้แค่ยืนก้มหน้าร้องไห้ กระทั่งรถยูเอสวีคันนั้นแล่นออกจากประตูหน้าบ้านไปอย่างช้าๆ                                        “คุณพิมพ์ คุณพิมพ์คะ”                                                       อรพิมรีบปาดน้ำตาเพื่อมองผู้อาวุโสที่เดินมาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “เมื่อครู่ คุณอัครสั่งป้าเด็ดขาดว่า หลังจากคุณกับลูกสาวกินข้าวกินปลาเรียบร้อย ให้คุณกับลูกออกไปจากบ้านหลังนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข ป้าจำเป็นต้องบอกคุณตรงๆ นะคะ เพราะถ้าคุณอัครกลับมายังเห็น…” อรพิมกล้ำกลืนความผิดหวังแล้วรีบพยักหน้ารับ “ค่ะ พิมพ์เข้าใจ”                                                                                                สินี ถอนหายใจด้วยโล่งอกที่อีกฝ่ายเข้าใจ แม้จะรู้สึกสงสารผู้หญิงคนนี้ แต่ถ้าเจ้าของบ้านสั่งเอาไว้เป็นเด็ดขาดแล้ว ตนก็ต้องทำตามหน้าที่ คือให้ทั้งสองแม่ลูกนี้ออกจากบ้านไปเสียนั่นเอง อัคราอยู่ที่บริษัท เขากำลังประชุมอยู่กับทีมฝ่ายการตลาดของบริษัทที่เขาเป็นผู้จัดการอยู่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นทันทียามเห็นเลขาฯ เดินกลับเข้าในห้องประชุมหลังจากออกไปรับโทรศัพท์สายหนึ่งมา สีหน้าของเลขาฯเขาไม่ค่อยดีนัก                                                      “คุณอัครคะ มีสายจากทางตำรวจค่ะ”                              เ ขากะพริบตาด้วยอาการงุนงง อยู่ดีๆ ทำไมมีตำรวจโทรมา “มีอะไรรึเปล่า”                                                                                 “ตำรวจโทรมาบอกว่า พบผู้หญิงกระโดดน้ำตายชื่ออรพิม เนตรสุวรรณ ในกระเป๋าของเธอมีจดหมายถึงคุณอัครด้วยค่ะ”                         มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! แล้วลูกสาวเธอล่ะ!                                             ตัวของอัคราชาวาบ และเกิดภาวะงุนงงไปชั่วขณะ เขาไม่คาดคิดว่าอรพิมจะกล้าทำแบบนี้ เขารีบพักการประชุมทันที ผุดลุกจากหัวโต๊ะก่อนจะเดินไปรับโทรศัพท์มือถือจากเลขาฯมาคุยรายละเอียดเสียเอง  หลังจากได้คุยโทรศัพท์กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัคราก็ทราบว่า ผู้หญิงที่กระโดดน้ำตายชื่ออรพิม ตำรวจค้นกระเป๋าสะพายที่เธอวางทิ้งไว้บนสะพานพบจดหมายสองฉบับ หนึ่งฉบับปิดผนึกฝากถึง อัครา สุทธินาท อีกฉบับไม่ได้ปิดผนึกมีใจความในจดหมายบอกว่า เธอทำไปทุกอย่างด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ เธอป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่จะมีเวลาอยู่ในโลกได้ไม่เกินหนึ่งปี จึงไม่อยากเจ็บปวดกับโรคร้ายนี้อีก และขอฝากลูกสาวคนเดียวให้กับ ชายหนุ่มที่ชื่ออัครา สุทธินาท ดูแลแทน                                                                                          “บ้าที่สุด!” อัคราสบถด้วยความโกรธและคับแค้นใจ ทำไมอรพิมถึงได้เลือกตัดช่องน้อยแต่พอตัว พ่วงด้วยการมัดมือชกเขาแบบนี้นะ จากนั้นชายหนุ่มก็รีบกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางเขาโทร.ไปถามสินีก็พบว่าลูกสาวคนเดียวของอรพิมยังอยู่ที่นั่น      เมื่อมาถึงบ้าน ชายหนุ่มก็พบว่าสินีกำลังรอเขาด้วยท่าทางกระวนกระวาย ทันทีที่เห็นหน้าป้าแม่บ้าน เขาถามถึงเด็กคนนั้นทันดี “เด็กนั่นล่ะ”    “ยังนอนหลับอยู่ค่ะ แกเป็นไข้คงเพราะตากฝนเมื่อคืน ตอนเที่ยงป้าเพิ่งเอายาให้กิน” สินีหน้าตาไม่สู้ดี แล้วเล่าต่อ “ตอนสายป้าขอร้องผู้หญิงคนนั้นว่าให้พาลูกสาวออกไปจากที่นี่ เธอก็รับฟังและยอมทำตามแล้ว แต่ก็เธออ้างว่าลูกสาวไม่สบายขอให้ลูกนอนพักก่อน สักบ่ายๆ จะพากันออกไป จากนั้นป้าก็ไม่รู้ว่าเธอออกจากบ้านไปทำเรื่องแบบนั้น …”  อัคราพยักหน้า ก่อนจะถามอีก “แล้วเธอรู้เรื่องแม่ของเธอหรือยัง”    “ยังค่ะ มีถามป้าว่าแม่อยู่ที่ไหน แต่ป้าก็บอกว่าแม่ออกไปซื้อของ เรื่องของเรื่องป้าไม่กล้าบอกแกเลยค่ะ สงสารแกมาก” "ผมจะไปดูเธอเอง และอาจจะต้องปลุกให้เธอไปดูศพแม่ด้วยกัน”  จากนั้น สินีก็หลีกทางให้เจ้านายหนุ่มเดินไปยังห้องที่เด็กผู้หญิงคนนั้นนอนพักอยู่ พร้อมกับถอนหายใจยาวด้วยความสงสาร               อัคราเดินไปที่ห้องพักของบริวาร กลั้นใจเคาะประตูเบาๆ สองครั้งก่อนจะเปิดประตู เขาเห็นเด็กหญิงคนนั้นยังนอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ชายหนุ่มถอนหายใจเดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วค่อยๆ วางฝ่ามือหนาลงที่หน้าผาก ก็พบว่าเธอยังตัวรุมๆ อยู่ แต่เพราะได้ยาลดไข้ จึงเห็นเม็ดเหงื่อผุดพรายตามหน้าผากและไรผม  ขณะที่วางมือทาบลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน เด็กหญิงก็พึมพำออกมาคล้ายกับละเมอ                                                   “แม่คะ เรากลับบ้านสวนกันเถอะ หนูไม่อยากไปที่บ้านนั้น พวกเขาเกลียดหนู พ่อเกลียดหนู ย่าก็เกลียดหนู”                                            ดวงหน้าคมคายนิ่งขรึมลง แววตาที่หลุบมองเด็กหญิงเป็นแววดำมืด ว่ากันตามตรง เด็กคนนี้เปรียบเสมือนบาดแผลทางจิตใจของเขาด้วย เพราะเธอเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า มารดาของเธอเคยทรยศความรักของเขาอย่างไรบ้าง ยิ่งเธอกำลังพร่ำพรรณนาถึงความทุกข์ตรมที่ได้รับ ก็ไม่ต่างจากเขาที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการขจัดตัดมารดาของเธอทิ้งไปจากใจเมื่อสิบกว่าปีก่อน                                                               อรพิมทำเรื่องไม่ดีเอาไว้ คนที่ได้รับผลกระทบไม่ได้มีแค่เขา แต่ยังมีเด็กคนนี้ด้วย เพราะตระกูลนั้นไม่ยอมรับว่าเด็กคนนี้ แถมแม่ของเธอยังเที่ยวเอาลูกสาวมาให้คนอื่นอย่างเขาช่วยเลี้ยงเอาไว้หน้าตาเฉย       อัครารู้ดีว่า อรพิมคงรู้ตัวอยู่แล้วว่า เธอคงอยู่ต่อไปได้ไม่นาน จึงตัดสินใจพาลูกสาวกลับไปหาพ่ออีกครั้ง แต่คนในตระกูลนั้นก็เลือดเย็น ขับไสไล่ส่งเธอและลูกออกมาอีก                                                                    สุดท้ายเมื่อไร้ที่พึ่ง อรพิมจำต้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากเขา ยัดเยียดลูกสาวคนนี้ไว้ให้เขาดูแล ส่วนเธอก็รีบตัดทุกบททุกอย่างด้วยการฆ่าตัวตาย นี่คงเพราะต้องการมัดมือชกเขาอีกทางนั่นเอง   ไม่มีทาง! เขาไม่อาจทำใจดูแลเด็กคนนี้ต่อได้โดยไม่รู้สึกอะไรได้หรอก เขาไม่ใช่พ่อพระถึงขนาดนั้น       ร่างเล็กที่ซุกตัวในผ้าห่มงัวเงียลืมตาขึ้น ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อพบว่ามีบุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งบนเตียง แพรพิศลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง พร้อมกับจ้องมองเขาด้วยความหวาดระแวง จากเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ท่าทางหน้าตาของเขาก็ดูดี จนเด็กหญิงนึกได้ว่าชายหนุ่มคนนี้อาจจะเป็นเจ้าของคฤหาสน์งามหลังนี้                                                         “คุณ…” ลุกเถอะ แล้วล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อย ฉันจะพาเธอไปที่แห่งหนึ่ง” เขาเอ่ยกับเธอขรึมๆ แล้วลุกยืนขึ้น ทำเอาแพรพิศที่นั่งบนเตียงพลอยเหลือบตามองตาม แววตาเด็กหญิงยังเต็มไปด้วยความสงสัย  “แม่อยู่ไหนคะ”                                                                           “ฉัน…” ท่าทางเขาเหมือนลำบากใจขึ้นมา “ฉันก็จะพาเธอไปหาแม่นี่ไง”  แพรพิศแปลกใจ แม่ของเธออยู่ไหน ทำไมเขาถึงต้องพาเธอไปพบแม่ด้วย  เมื่อช้อนดวงตาขึ้นมองร่างสูงอีกครั้ง เขาก็ตัดบท พร้อมกับก้มดูเวลานาฬิกาเรือนหรูบนข้อมือไปด้วย “ฉันให้เวลาเธอสิบนาที รีบไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเราจะไปพบแม่ของเธอด้วยกัน”                              
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD