บทที่5 เหงื่อนไข

1946 Words
บทที่5 เงื่อนไข ร่างของพิมพ์พิชชาถูกพาไปที่ห้องพักโดยมีแพรวารินทร์นั่งอยู่ข้างเตียง คุณหญิงพราวกะรัตและคุณสิงหานั่งมองร่างไร้สติของลูกสาวอยู่ที่โซฟา ส่วนรณพีร์นั้นขอตัวไปกลับก่อนเพราะมีนัดกับลูกค้า พงศ์พยัคฆ์ยืนกอดอกมองน้องสาวอยู่ที่ปลายเตียงก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ “บ่ายโมงกว่าแล้ว แม่ทานข้าวรึยังครับ” ประสาทศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยถามผู้ให้กำเนิดอย่างเป็นห่วง “เรากำลังจะตั้งโต๊ะแต่แพรโทรมาซะก่อน อะ แล้วแพรทานข้าวรึยังลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยบอกบุตรชายก่อนจะหันไปถามลูกสะใภ้แต่เหมือนหญิงชราจะไม่ได้คำตอบมีแต่ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น “ให้เวลาหนูแพรสักนิดเถอะคุณหญิง อย่างที่อาพยัคฆ์เคยบอกหนูแพรกลัวการสูญเสียที่สุดสภาพของหนูทรายก่อนหน้านี้มันคงทำให้หนูแพรกลัว” คุณสิงหาเอ่ยบอกแก่คู่ชีวิตพร้อมโอบไหล่ไว้ ตนและภรรยารู้ดีว่าหญิงสาวคงสะเทือนใจไม่น้อยเลย เพราะนอกจากคุณตาแล้วพิมพ์พิชชานี่ล่ะคือคนสำคัญของแพรวารินทร์ “ผมว่าแม่กับพ่อไปทานข้าวดีกว่าครับหนูทรายคงไม่ฟื้นตอนนี้หรอกอีกสองสามชั่วโมงยาสลบถึงจะหมดฤทธิ์” “ก็ดี ไปเถอะคุณกลับมาลูกคงฟื้นพอดี” คุณสิงหาเอ่ยขึ้นก่อนจะประคองภรรยาลุกขึ้นแต่ร่างของคุณหญิงพราวกะรัตกลับเดินไปหาแพรวารินทร์ก่อนที่นิ้วมือเรียวจะแตะลงที่ไหล่ของลูกสะใภ้เรียกสติของแพรวารินทร์ให้กลับมาก่อนจะเอ่ยบางอย่างแต่กลับได้รับการปฏิเสธ “แพร...ไปทานข้าวกันลูก” “ไม่ค่ะแพรจะอยู่กับทราย แม่พราว พ่อสิงห์ไปทานกับคุณหมอเถอะค่ะ” นอกจากคำปฏิเสธแล้วสองสามีภรรยายังได้รับรู้ความเหินห่างของบุตรชายและสะใภ้ด้วยก่อนจะถูกบังคับให้แต่งงานกันแพรวารินทร์ที่มาค้างบ้านสัตยบดินทร์ทุกวันหยุดจะเรียกพงศ์พยัคฆ์ว่า “พี่เสือ”แต่คำที่ทั้งคู่ได้ยินเมื่อครู่คือ “คุณหมอ” นับวันความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ยิ่งห่างเหินเสียจนน่าเป็นห่วง “งั้นเดี๋ยวแม่ซื้อมาฝากนะลูก” คุณหญิงพราวกะรัตเอ่ยบอกพร้อมลูบหัวลูกสะใภ้ก่อนจะเดินออกจากไปพร้อมคุณสิงหาและพงศ์พยัคฆ์ 3ชั่วโมงต่อมา หลังจากคุณหญิงพราวกะรัตและคุณสิงหากลับจากรับประทานอาหารทั้งสามก็นั่งรอคนบนเตียงให้ฟื้นส่วนพงศ์พยัคฆ์มีเคสผ่าตัดด่วนจึงขอตัวไปทำงาน ในขณะที่แพรวารินทร์ลุกไปคุยโทรศัพท์กับผู้เป็นเจ้านายที่โทรศัพท์มาถามอาการของคนที่ชายหนุ่มแอบชอบ เปลือกตาบางเผยขึ้นก่อนจะกระพริบถี่ ๆ เพื่อปรับแสง “น้ำ...ขอน้ำหน่อย” “หนูทรายฟื้นแล้วหรือลูก...เป็นไงบ้าง” คุณหญิงพราวกะรัตถลาเข้าไปหาบุตรสาวยื่นน้ำให้บุตรสาวดื่มก่อนจะเอ่ยถามข้างกายมีคุณสิงหาที่ถลามาพร้อมภรรยายืนอยู่ด้านตรงข้ามมีแพรวารินทร์ที่เพิ่งวางสายจากเจ้านายยืนน้ำตาซึมอยู่ “ทุกคนคงรู้แล้วสินะว่าทรายเป็นอะไร ทรายขอโทษนะคะที่ไม่บอกพ่อกับแม่....ขอโทษนะที่ฉันไม่ได้บอกแก” หลังจากดื่มน้ำเสร็จพิมพ์พิชชาก็เอ่ยขอโทษทั้งสามทันที ทุกคนคงรู้กันแล้วว่าเธอเป็นอะไรถึงได้มีสีหน้าแบบนี้ “ฉันไม่ให้อภัยแก แกมีพี่เป็นหมอนะแต่แกกลับปิดบังแม้แต่คุณหมอ แกรู้ไหมฉันรักแกมากนะทรายถ้าแกเป็นอะไรไปโดยที่ฉันไม่รู้อะไรเลยฉันจะรู้สึกยังไง” “โอ๋ ๆ ไม่งอนน๊า ฉันขอโทษ” พิมพ์พิชชารู้ดีว่าเพื่อนรักกลัวการสูญเสียแค่ไหนเพราะงั้นตนจึงไม่บอกอาการป่วยให้เพื่อนสาวรู้ “ฉันก็รักแกนะแพร ฉันไม่อยากให้แกต้องทุกข์กับฉันเลย” ก๊อกๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกสายตาจากคนในห้องให้หันไปมองก่อนจะเห็นร่างสูงสมาร์ทของพงศ์พยัคฆ์ก้าวเข้ามา “พี่เสือ” “ฟื้นแล้วเหรอ...เป็นไงบ้างยัยตัวแสบเราทำพี่ขายหน้ารู้มั้ย มีอย่างที่ไหนพี่ชายเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่งที่เชี่ยวชาญระบบประสาทที่สุดแต่ไม่รู้ว่าน้องสาวมีเนื้องอกในสมองแถมยังไปตรวจกับหมอคนอื่นอีก” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยตัดพ้อน้องอย่างที่เล่นทีจริง ดวงตาของชายหนุ่มเมื่อมองน้องสาวมีแต่ความรักล้นหัวใจที่น้องสาวเพียงคนเดียวรับรู้ได้ดี...คนนี้ก็เสียใจมากไม่ต่างจากแพรวารินทร์ถ้าเธอเป็นอะไรไป ทำไมเธอจะไม่รู้ “หึ...ไงล่ะ ไปตรวจกับหมออื่นจากที่อาการไม่ได้แย่แบบสุด ๆ กลายเป็นกำลังจะตายเฉยเลย มันน่านักเชียว ถ้ายังเด็กพี่จะหวดด้วยไม้เรียว” “ฮะ อาการไม่ได้แย่?” “หมอวินิจฉัยผิด ถ้ามาหาพี่แต่แรกก็ไม่ต้องทึกทักว่าตัวเองกำลังจะตายทุกข์อยู่หลายเดือนแบบนี้หรอก” “ไม่ตายจริงดิ?” “นอกจากจะมีการผ่าตัดผิดพลาด พี่รับรองเลยว่าไม่ตาย แต่ถ้าพี่ไม่รู้อาจจะตายอย่างเขาว่าก็ได้” “โธ่เอ้ยพี่เสือ...ทรายเพิ่งง้อเพื่อนไปหยก ๆพี่ชายมาทำงอนอีก แต่จะพูดก็พูดเถอะ ถ้าน้องจะปรึกษาจริง ๆ จะได้ปรึกษาเหรอ หายหัวออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่ทุกวัน แต่ละวันน้องได้เจอมั้ย?” ผู้เป็นน้องเอ่ยแกล้งด้วยน้ำเสียงน้อยใจ พอรู้ว่าไม่ได้ถึงตายสมองที่หนักอึ้งก็ปลอดโปร่งขึ้นมาอย่างประหลาด พอจะมีกะใจบ่นให้พี่ชายหน่อย “ถ้าเราจะปรึกษาจริง ๆ มาที่โรงพยาบาลก็ได้ แต่เราไม่คิดจะทำ...ไม่ต้องมาทำน้อยใจ พี่ไม่ได้โง่” ผู้เป็นพี่ตอกกลับอย่างรู้ทันจนน้องสาวคนเดียวต้องย่นจมูก “ชิ เอาเถอะ...แล้วน้องจะเป็นไงต่อ” “เนื้องอกชิ้นนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นมากแถมยังอยู่ใกล้เส้นประสาทเพราะงั้นต้องผ่าตัดอย่างเร็วอาทิตย์หน้าอย่างช้าสามอาทิตย์” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยบอกพลางลูบผมน้องสาวอย่างแสนรัก “เข้าผ่าตัดเถอะ พี่จะเป็นคนผ่าให้เอง ตกลงเถอะนะหนูทราย ขอแค่เรายอมจะให้พี่ทำอะไรพี่ก็ยอม” “จะยอมแน่นะ?” พิมพ์พิชชาเอ่ยถามอย่างจริงจัง “งั้นหลังจากนี้ช่วยให้เวลากับเมียเยอะ ๆ หน่อยจะได้มั้ย เรื่องที่ทรายห่วงที่สุดมีแค่เรื่องของพี่กับแพรนี่ล่ะพี่เสือ ทำเหมือนสามีภรรยาคู่อื่นเขาทำกันหน่อยนะอย่าเป็นเหมือนที่เป็นตอนนี้เลย กลับไปนอนที่ห้องไม่ต้องแยกห้องแล้วนะคะทรายอยากเลี้ยงหลานแล้วด้วย ขืนไม่ปรับตัวเข้าหากันบ้างมีหวังทรายไม่มีหลานกันพอดี กลับไปนอนที่ห้องนะคะ ทำได้มั้ย ถ้าได้ทรายจะยอมตกลง” “พี่...” “พี่เสือไม่ยอมเหรอ?” “ไม่ใช่ พี่พร้อมทำตามคำขอของหนูทรายทุกอย่างแต่...เพื่อนเราอาจจะลำบากใจได้นะ” “ลำบากใจอะไรไม่มีหรอก เนาะ...แพรเนาะ” ดวงตาคู่หวานส่งไปออดอ้อนเพื่อนสาวคนสนิทก่อนจะเอ่ย “ถ้าแพรไม่โอ ทรายก็ไม่โอนะ” “อย่าพูดอย่างนั้นสิ...เพื่อทรายแพรยังไงก็ได้” แพรวารินทร์เอ่ยก่อนโดยไม่แม้แต่สบตาคนขึ้นชื่อว่าเป็นสามี “แพรตกลงแล้ว” “ได้...พี่จะทำตามคำขอของหนูทราย พี่สัญญา” “งั้นน้องก็ตกลงเข้ารักษาตัวค่ะ น้องสาวของพี่เสือต้องหาย” สองพี่น้องที่เกี่ยวก้อยสัญญากันเอ่ยที่พิมพ์พิชชาจะอมยิ้ม...หวังว่ามันจะดีนะ “ที่บอกว่าอยากมีหลานน้องจริงจังนะ” “นี่ก็เย็นมากแล้วพ่อกับแม่กลับเถอะครับ เดี๋ยวผมให้พยาบาลมาดูแลยัยตัวแสบนี่เอง” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยเปลี่ยนเรื่องเมื่อน้องสาวพูดอะไรไม่เข้าท่าออกมาราวกับไม่ได้ยินที่พิมพ์พิชชาพูด คนเป็นน้องได้แต่ค้อนลมค้อนแล้งเมื่อพี่ชายทำราวกับไม่ได้ยิน คุณหญิงพราวกะรัตอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พยาบาลจะเอาอยู่เหรอเสือ ดื้อนะคนนี้น่ะ” “นั่นสิ แล้วน้องจะนอนหลับหรือเปล่า แปลกที่ซะด้วย พวกเราอยู่เฝ้าเองดีกว่า” “แพรขอเฝ้ายัยทรายเองนะคะพ่อสิงห์แม่พราว พ่อสิงห์กับแม่พราวกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะค่ะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเฝ้า” แพรวารินทร์เอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นสีหน้าลำบากใจของพ่อและแม่สามี ความห่วงใยที่แพรวารินทร์มีให้พิมพ์พิชชานั้นเป็นที่ประจักษ์ไร้ข้อกังขาอยู่แล้วสองสามีภรรยาจึงยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะพยักหน้าอนุญาต “แม่กลับก่อนนะลูกพรุ่งนี้จะมาแต่เช้า แม่ไปนะเสือเดี๋ยวทานข้าวเย็นพร้อมน้องเลยนะเดี๋ยวแม่สั่งขึ้นมาให้แพรด้วย ทรายถ้าพี่เราหรือเพื่อนเราไม่ยอมกินโทรมาบอกแม่ด้วย” คุณหญิงพราวกะรัตเอ่ยกำชับเพราะสิ่งเดียวที่สองสามีภรรยามีเหมือนกันคือการทำงานจนลืมเวลาหรือทานอาหารไม่ตรงเวลานั้นเองก่อนจะพากันออกจากห้องไป “อีกสองชั่วโมงอาหารเย็นคงมาพักผ่อนก่อนนะหนูทราย...พี่ไปทำงานก่อน” ผู้เป็นพี่เอ่ยบอกก่อนจะเดินออกไปทำงานต่อเพราะเขามีนัดคนไข้อีกสองคน 22.30น. มือหนาของพงศ์พยัคฆ์ยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มสายตาจดจ้องที่แผ่นฟิล์มเอกซเรย์สมองของน้องสาวก่อนจะหันมองนาฬิกาบนข้อมือซ้ายเข็มสั้นชี้อยู่บนตัวเลขที่เขาไม่คิดว่าจะเวลาขนาดนี้แล้วก่อนจะลุกจากห้องไปยังห้องพักของน้องสาว ร่างสูงสมาร์ทเดินเข้าไปในห้องมองไปที่น้องสาวแล้วเดินไปขยับผ้าห่มให้น้องสาวก่อนจะลูบผมอย่างแสนรักเขาเย็นชาได้กับทุกคนยกเว้นแต่เธอคนนี้ ดวงตาคมละจากน้องสาวก่อนจะเหลือบไปเห็นร่างบางที่นั่งหลับอยู่ข้างเตียงด้านตรงข้ามของเขาชายหนุ่มหยุดคิดอย่างชั่งใจก่อนจะอ้อมไปอุ้มหญิงสาวมาวางบนโซฟาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้หญิงสาวตื่นก่อนจะหยิบผ้าห่มมาห่มให้สายตาพิจารณาในหน้านวลของภรรยาที่เขาไม่ได้ตั้งใจพิจารณามานานถึงเก้าปีไม่คิดว่าเก้าปีที่ผ่านมาหญิงสาวจะหน้าตาสะสวยน่ารักน่าหลงได้ขนาดนี้และไม่คิดเลยว่าใบหน้านวลจะดูเฉยชาไม่หวั่นไหวกับอะไรง่าย ๆ ได้ขนาดนี้ทั้งที่แต่เล็กหญิงสาวมีใบหน้าที่อ่อนโยนและน่าทะนุถนอมมาโดยตลอด ‘ใบหน้าเฉยชาได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันแพรวารินทร์...เป็นเพราะพี่เหรอ?’ ชายหนุ่มคิดในใจก่อนยื่นมือไปหมายจะสัมผัสลงที่ไรผมทว่าเพียงครู่เดียวก็ชักมือกลับและสลัดความคิดของตนแล้วเดินออกไปจากห้องไปราวกับว่าเขาไม่ได้เข้ามาภายในห้องนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD