บทที่4 เหตุไม่คาดคิด

2205 Words
บทที่4 เหตุไม่คาดคิด วันต่อมา... บริษัทตกแต่งภายในเกตรัตนากรณ์ ภายในห้องประชุมที่ถูกออกแบบอย่างสวยงามละลานตาการประชุมอันเคร่งเครียดกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นก่อนที่จะหยุดลงเมื่อใบหน้าของบุคคลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะดูเคร่งเครียดผิดปกติ “เอาล่ะผมขอปิดการประชุมเพียงเท่านี้” รณพีร์ เกตรัตนากรณ์หรือบอสพีร์ประธานหนุ่มของบริษัทรับออกแบบและตกแต่งภายในชื่อดังแห่งนี้เอ่ยปิดการประชุมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อเห็นอาการผิดปกติของหญิงสาวที่ตนแอบชอบ “พิมพ์พิชชาคุณเป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายตรงไหน?” รณพีร์เอ่ยด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่คนอื่น ๆ ในห้องประชุมออกไปแล้วเหลือเพียงคนที่เขาถามไถ่และเพื่อนสนิทของเธอ ชายหนุ่มสังเกตเห็นหญิงสาวเป็นแบบนี้มาพักใหญ่ ๆ แล้วจนอดเป็นห่วงไม่ได้ “นั่นสิทราย แกเป็นไรรึเปล่าปวดหัวเหรอ” แพรวารินทร์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อนสาวเอ่ยถามทันทีสภาพที่หญิงสาวได้เห็นคือพิมพ์พิชชาเพื่อนรักผู้พ่วงตำแหน่งน้องสาวสามีที่ยกมือนวดคลึงขมับอยู่ด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี “ไม่เป็นไรหรอก แค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง” พิมพ์พิชชาเอ่ยพร้อมยิ้มส่งให้เพื่อนรักทั้งที่อาการปวดหัวอย่างหนักกำลังเล่นงานเธออยู่ “เลิกประชุมแล้ว งั้นเราไปหาลูกค้ากันเถอะแพร เสร็จแล้วจะได้ยิงยาวกลับบ้าน” “โอเค ไปนะคะบอส” แม้จะไม่อยากเชื่อแต่แพรวารินทร์ก็ไม่เซ้าซี้ด้วยรู้ว่านั้นคือสิ่งที่พิมพ์พิชชาไม่ชอบ “หวังว่าคุณสองคนจะไม่ทำให้ลูกค้าและผมผิดหวังนะ” รณพีร์เอ่ยบอก “เดี๋ยวผมให้โบนัสพิเศษ” “ชิ โบนัสๆ ๆ เหอ พูดงี้ตลอดแต่บอสพีร์คะ...ดิฉันไม่ได้โบนัสมาสองปีได้แล้วมั้ง” พิมพ์พิชชาเอ่ยแทรกขึ้นอย่างหมั่นไส้ “เหอะ เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้ล่ะผมจัดพิเศษให้คุณเลย ขอแค่คุณช่วยเคารพเจ้าของบริษัทอย่างผมหน่อย เรียกบอสแต่การกระทำตรงข้ามตลอด” ชายหนุ่มเอ่ย “ไม่ต้อง ๆ ผมรู้คุณจะเถียง ไปเลย รีบออกไปหาลูกค้าเลยผมก็มีนัดลูกค้าไม่อยากมาเสียเวลาฟังคุณเถียง” “ชิ อย่าให้เถียงได้บ้างก็แล้วกันนะอิตาบอสพีร์” สะบัดผมใส่ก่อนที่จะเดินออกจากห้องประชุมไปโดยมีแพรวารินทร์เดินยิ้มขำขันตามไป รณพีร์ทอดสายตามองตามอย่างเป็นห่วง เขาตกหลุมรักพิมพ์พิชชามาหลายปีจึงเฝ้าสังเกตเธอตลอดและช่วงนี้เขาเห็นเธอนวดขมับบ่อยจนน่าสงสัย แต่ก็ได้แต่หวังว่าหญิงสาวจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงอะไร “ตามไปดูหน่อยล่ะกัน ไหน ๆ ก็นัดที่เดียวกันนี่เนาะ” เวลาต่อมา บนท้องถนนที่เต็มไปด้วยยานพาหนะยี่ห้อและชนิดต่าง ๆ สองสาวเพื่อนซี้กำลังถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วนกับการจอดติดไฟแดง ไฟแดงเปลี่ยนเป็นเขียวไปแล้วแต่รถของพิมพ์พิชชากลับยังไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนไกล “อยากรู้จริง ๆ ต่างจังหวัดจะติดขนาดนี้ไหม ติดอยู่แถวนี้นานแล้วนะจะทันนัดลูกค้าไหมเนี่ย” “ใจเย็นแก ฉันไลน์บอกลูกค้าแล้วว่าอาจจะช้านิดหน่อยเพราะรถติด” แพรวารินทร์เอ่ยบอกก่อนที่จะทอดถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนที่จะยิ้มออกเมื่อรถสามารถเคลื่อนตัวไปได้ “กว่าจะหลุดออกมาได้” “แพร...เช็คเวลาเลยแกเหลืออีกกี่นาทีจะถึงเวลานัด” หลังจากหลุดจากการจราจรที่ติดขัดพิมพ์พิชชาก็เอ่ยถามขึ้นถึงเวลานัดหมายที่นัดกับลูกค้าไว้ “20นาทีแก” คนถูกถามตอบแล้วก็เช็คเข็มขัดด้วยรู้นิสัยเพื่อนสาวตัวแสบดีว่าจะทำอะไร “หาที่เกาะด้วยนะ พิมพ์พิชชาจะซิ่งแล้ว” พูดจบรถมินิสีสวยของพิมพ์พิชชาจะพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วหลบหลีกรถคันอื่นได้อย่างมืออาชีพและถึงจุดหมายก่อนเวลานัดถึง10นาที “เวียนหัวกับการขับรถของแกจริง ๆ บอกเลย” มันเป็นคำแรกที่แพรวารินทร์เอ่ยเมื่อรถของพิมพ์พิชชามาจอดยังลานจอดรถของสถานที่นัดหมาย หญิงสาวปลดเข็มขัดก่อนที่จะหยิบกระเป๋าก้าวลงจากรถโดยที่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของเพื่อนสาวที่ยังคงนั่งอยู่ภายในรถ... พิมพ์พิชชาเปิดประตูก้าวลงจากรถด้วยสภาพอ่อนแรง อยู่ดี ๆ อาการปวดหัวที่ทุเลาลงก่อนหน้านี้ก็รุนแรงขึ้นและกำลังจะทำให้เธอทนไม่ไหว...มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ เหรอเนี่ย? ดวงตาที่เคยเห็นชัดพร่าเบลอขึ้น มือบางยกขึ้นกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวดจนดทำให้ผมเผ้ารุงรังไปหมด หญิงสาวสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดที่ปลายจมูกทว่าด้วยความเจ็บปวดหญิงสาวไม่อาจจะยกมือมาแตะดูได้ว่าเป็นเลือดหรือไม่...และแล้วสติที่มีก็ดับวูบไปด้วยความเจ็บปวดที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป แพรวารินทร์หันกลับมามองเพื่อนสาวก่อนจะอุทานลั่นเมื่อร่างบางทรุดลงไปในเวลาที่รถอีกคันแล่นมาพอดี “ทราย!!!” ขณะที่แพรวารินทร์ตกใจสุดขีดร่างสูงของใครคนนึงก็พุ่งเข้ามาหาพิมพ์พิชชาอย่างรวดเร็ว มือหนารวบเอาร่างอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงไว้ได้ทันก่อนที่รถจะแล่นเข้ามาใกล้ แพรวารินทร์ที่เห็นเพื่อนปลอดภัยถึงกับเข่าอ่อนแต่แล้วเสียงของใครคนนึงก็เรียกสติของเธอกลับมาได้ “ทราย ทราย ตื่นสิทราย ทราย” “บอสกับทรายเป็นอะ...” “ทรายหมดสติไปแล้ว” ชายหนุ่มแทรกขึ้นก่อนที่แพรวารินทร์จะได้ถามจบ เป็นรณพีร์ที่ขับรถตามหลังมาเพราะมีนัดกับลูกค้าที่เดียวกันและเป็นห่วงสองสาวจึงรีบตามมาก่อนเวลานัดนั่นเองที่ช่วยหญิงสาวไว้ แพรวารินทร์มองสภาพของเพื่อนสาวที่ใบหน้างามมีเลือดไหลออกจากจมูกและมีคราบน้ำตาอยู่บนแก้มราวว่าก่อนจะหมดสติเธอจะทรมานมากก่อนจะออกความคิดเห็น “ระ...รีบพาทรายไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ” “โอเค” รณพีร์ตอบตกลงแล้วเดินไปอุ้มร่างของมัณฑนากรสาวที่ตนแอบรักไว้แนบอกแล้วเดินพาร่างบางไปที่รถของตนโดยมีแพรวารินทร์เดินตามหลังมาด้วยความเป็นห่วงเพื่อนสนิทก่อนจะโทรศัพท์หาผู้เป็นแม่สามีหรือก็คือแม่ของหญิงสาวไร้สติเพื่อบอกอาการของเพื่อนสาว โรงพยาบาลรักษ์บดินทร์ รณพีร์พาร่างไร้สติของพิมพ์พิชชามาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอาจเป็นเพราะโชคชะตาหรือแค่ทฤษฎีโลกกลมทำให้เป็นโรงพยาบาลในเครือธุรกิจของสัตยบดินทร์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสาขาใหญ่ที่พงศ์พยัคฆ์ทำงานอยู่และรณพีร์เองก็จงใจที่จะให้ลูกน้องสาวเข้ารับการรักษาจากหมอหนุ่มที่เพิ่งผ่าตัดให้คุณป้าของเขาเมื่อไม่นานมานี้ด้วยความเชื่อมั่นว่าคุณหมอหนุ่มน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถมากพอที่จะช่วยหญิงสาวที่เขาหลงรักได้...โดยหารู้ไม่ว่าพิมพ์พิชชาไม่ประสงค์จะให้หมอหนุ่มรับรู้สิ่งที่ตนเป็นมากที่สุดรวมไปถึงครอบครับและแพรวารินทร์ด้วย “หมอพงศ์พยัคฆ์ครับ...ช่วยดูอาการของเธอให้หน่อยครับ” รณพีร์ที่เจอกับพงศ์พยัคฆ์ระหว่างทางไปห้องฉุกเฉินรีบเรียกหมอหนุ่มทันที ร่างคุ้นตาในอ้อมแขนของชายหนุ่มที่บังเอิญรู้จักและร่างคุ้นตาที่เดินตามหลังมาทำให้ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าและรีบเดินเข้ามาใกล้ “เกิดอะไรขึ้น...ทำไมถึงเป็นแบบนี้” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยถามเมื่อเห็นสภาพอันน่าตกใจของน้องสาวเพียงคนเดียว ในชีวิตเขาไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องเห็นภาพแบบนี้เลย...ไม่เลย “เธอน่าจะปวดหัวครับ แล้วจู่ ๆก็หมดสติไป” รณพีร์เอ่ยตอบเพราะแพรวารินทร์นั้นอยู่ในสภาพที่ห่วงเพื่อนจนพูดอะไรไม่ออก “ปวดแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยถามคำถามที่คล้ายต้องการถามแพรวารินทร์มากกว่ารณพีร์แต่เหมือนจะไม่ได้คำตอบจากหญิงสาว “เท่าที่ผมเห็นก็พักใหญ่แล้วครับ ประมาณสองสามอาทิตย์ได้แต่ไม่รุนแรงจนน้ำตาไหลและหมดสติเหมือนครั้งนี้ แพรคุณใกล้ชิดทรายที่สุดคุณบอกหมอไปซิครับ” รณพีร์เอ่ยตอบก่อนหันไปเรียกสติหญิงสาวที่ยืนด้านหลังเสียงเรียกของรณพีร์ทำให้สติของแพรวารินทร์กลับมาหญิงสาวทบทวนความผิดปกติของเพื่อนก่อนตอบออกมา “ทรายเป็นมาสักพักใหญ่ ๆ แล้วค่ะ เธอบอกว่าไปหาหมอมาแล้วแค่เครียดมากไปหมอให้ยามากิน แต่หลังจากนั้นเธอยังปวดหัวอีกแล้วเหมือนจะมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว พักหลัง ๆ เหมือนจะไม่มีแรงเพราะทำของหลุดมือบ่อย ๆ” สิ่งที่ได้ยินสร้างความตกใจให้พงศ์พยัคฆ์ไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าน้องสาวจะเป็นแบบนั้น ‘คงไม่ใช่’ หมอหนุ่มค้านความคิดของตนในใจก่อนจะเอ่ย “รามเตรียมทำMRI ด่วน ” 30นาทีต่อมา “เสือ...น้องเป็นไงบ้างลูก” คุณหญิงพราวกะรัตเอ่ยถามบุตรชายคนโตทันทีที่ชายหนุ่มออกมาจากห้องหลังจากที่แพรวารินทร์โทรศัพท์มาบอกตนและผู้เป็นสามีอย่างคุณสิงหาก็รีบมาทันทีและได้ทราบหลังจากมาถึงว่าผู้เป็นลูกชายคือหมอที่ทำการวินิจฉัยก็เบาใจได้ ส่วนรณพีร์ที่เพิ่งรู้ว่าหญิงสาวที่ตนแอบรักเป็นน้องสาวของพงศ์พยัคฆ์ก็โล่งใจที่สาวที่ตนแอบรักอยู่ในมือหมอที่เก่งที่สุดในประเทศ “ไปคุยกันที่ห้องทำงานของผมดีกว่าครับ” พงศ์พยัคฆ์เอ่ยบอก ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของบุตรชายสร้างความไม่สบายใจให้ผู้เป็นพ่อแม่ได้ไม่น้อย แพรวารินทร์กุมมือของแม่สามีและบีบเบา ๆ เพื่อให้กำลังใจก่อนที่ทั้งสี่จะตามหมอหนุ่มไปในห้องประจำของหมอหนุ่ม “จากการทำMRI พบว่าหนูทรายมีเนื้องอกในสมองครับและมันก็ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆทำให้หนูทรายปวดมาก จากผลตรวจที่หนูทรายไปตรวจที่โรงพยาบาลแถบชานเมืองมีการวินิจฉัยว่าเป็นเนื้อร้ายที่ลุกลามรวดเร็ว หมอที่นั่นบอกน้องว่าจะอยู่ได้อีกไม่ถึงปี” คำพูดของพงศ์พยัคฆ์สร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้เป็นพ่อและแม่รวมถึงอีกสองคนในห้องเป็นอย่างมากและมากขึ้นกับถ้อยคำต่อมา “น้องทรายเลื่อนการผ่าตัดและรักษาอย่างจริงจังมาแล้วหลายครั้งและดูเหมือนจะไม่ได้ไปหาหมอมาพักใหญ่แล้ว ทำให้ไม่รู้ว่ามีเลือดคั่งด้วยทำให้น้องปวดหัวมากกว่าเดิม” “ยะ อย่างนี้เอง ผมถึงเห็นทรายปวดหัวบ่อย ๆ ” รณพีร์เอ่ยขึ้นก่อนจะเซไปพิงพนังห้องอย่างหมดแรง “ไม่จริงใช่มั้ยเสือ น้องไม่ได้กำลังจะ...” คุณหญิงพราวกะรัตถามลูกชายด้วยน้ำเสียงจวนเจียนจะขาดใจทันทีที่ฟังจบ “ใจเย็น ๆ ครับแม่ ผมตรวจอย่างละเอียดแล้วครับ มันไม่ใช่เนื้อร้ายเพียงแต่จากขนาดและตำแหน่งของเนื้องอกอันตรายมาก เพราะอยู่ใกล้กับเส้นประสาท ต้องทำการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด และอาจมีผลข้างเคียงหลังผ่าตัดนิดหน่อย แต่น้องจะหายครับ เชื่อผมสิ” พงศ์พยัคฆ์ถอนหายใจก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะมากอดปลอบใจมารดา “คิดในแง่ดีสิครับแม่เนื้องอกที่พบไม่ได้เป็นเนื้อร้ายก็ดีแค่ไหนแล้ว” พงศ์พยัคฆ์ได้แต่ปลอบมารดาที่เอาแต่ร่ำไห้ตรงหน้าของหมอหนุ่มคือมารดาที่ซุกอยู่ในอกแกร่งด้านหลังของผู้เป็นแม่คือภรรยาสาวของตนที่ร้องไห้ไม่มีเสียงสะอื้นอยู่ ผู้เป็นบิดาได้แต่โอบลูกสะใภ้ที่อาการแย่เอามาก ๆเพราะคุณสิงหารู้ดีหากถ้าเสียใจหนักมากจริง ๆหญิงสาวจะเงียบปล่อยให้น้ำตาไหลทะลักดั่งเขื่อนน้ำตาแตกเช่นครั้งนี้มือหนาลูบไล้ปลอบใจลูกสะใภ้ที่ตนรักดั่งลูกสาวอีกคนตลอดเก้าปีที่แพรวารินททร์เข้ามาอยู่ในครอบครัวหญิงสาวไม่เคยร้องไห้ไร้เสียงสะอื้นเช่นวันนี้เลย...ไม่เคยเลยสักครั้ง รณพีร์มองบรรยากาศภายในห้องด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทำไมเขาไม่สังเกตเธอให้เร็วกว่านี้ ทำไมเขาได้แค่คิดที่จะปรึกษาพี่ชายเธอแต่ยังไม่ได้ปรึกษาสักทีจนมาถึงวันนี้...เขาน่าจะทำอะไรให้เร็วกว่านี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD