หลังจากที่ฟื้นไข้แล้ว ฉันก็เริ่มปรับสภาพจิตใจได้และไม่หวนคิดถึงประสบการณ์ที่สุดยอดนั้นอีก
ฉันแต่งตัวในชุดทำงานเตรียมพร้อมจะไปทำงานที่บริษัทเล็กๆ ของครอบครัวในตำแหน่งผู้บริหารฝึกหัดหลังจากที่ไปฝึกงานที่อื่นเพื่อเอาประสบการณ์จริงมาก่อนหน้านี้
“พร้อมจะไปทำงานแล้วเหรอลูก”
“ค่ะ แม่”
“งั้นก็ไปพร้อมกันเลย แม่จะได้แนะนำตัวลูกให้กับผู้จัดการกับระดับหัวหน้างานให้รู้จัก” คุณแม่ของฉันพูดด้วยความยินดี ใบหน้าดูมีความสุขที่ฉันจะได้ไปช่วยงานท่านอย่างเป็นทางการเสียที
“แต่งหน้าเบาลงหน่อยก็ดีนะลูก ไปทำงานไม่ได้ไปเดินแบบ” พ่อของฉันทักท้วงเรื่องการแต่งหน้าด้วยความห่วงใย
“ลูกเราโตเป็นสาวแล้วนะคะ แต่งหน้าแบบนี้ก็ดูสวยออก อย่าหวงลูกนักเลย” แม่ฉันบอกอย่างรู้ทัน
“พ่อหวงลูกสาวคนเดียวก็อย่างนี้แหละ กลัวลูกสวยแล้วมีคนเข้ามาจีบเยอะ” แม่หันมาบอกฉันแล้วยิ้มให้กำลังใจฉัน
“จีบไปก็เท่านั้นแหละ หลานฉันมีคู่หมั้นแล้ว” คุณยายพูดขึ้นทำเอาฉันสำลักข้าวต้มที่กำลังทานอยู่
“คุณยายอย่าล้อเล่นสิคะ คู่หมั้นอะไรวาไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“นั่นสิคะคุณแม่ คู่หมั้นอะไรกัน”
“ผมไม่ยอมนะครับ” คุณพ่อเองก็รีบประท้วง แต่กลับเป็นคนเดียวที่โดนคุณยายมองด้วยสายตาที่ตำหนิ ทำให้ลูกเขยอย่างท่านต้องหลบสายตาแม่ยายลงไป
“ตอนแรกแม่ว่าจะคุยเรื่องนี้วันอาทิตย์ งั้นเอาเป็นว่าบอกตอนนี้เลยก็แล้วกัน” คุณยายพูดด้วยท่าทางจริงจังแล้ววางช้อนข้าวต้มลง สบตากับฉันด้วยสายตาที่แน่วแน่
“ยายได้รับปากหมั้นหมายวากับหลานชายของเพื่อนคุณตาเอาไว้ แต่ไม่รู้ว่าหลานคนไหน หนึ่งในสองคนนั้นวาต้องไปเลือกเอง”
“นี่ยัยวาต้องเป็นฝ่ายเลือกเหรอคะคุณแม่” คุณแม่ของฉันรีบประท้วงออกมา ถูกจับหมั้นโดยไม่รู้ตัวไม่พอ ฉันยังจะต้องเป็นฝ่ายเลือกผู้ชายเองอีก
“ดีเท่าไรแล้วยังมีโอกาสได้เลือก หรือจะให้ยายเลือกให้เอง” คุณยายบอกคุณแม่เสียงเรียบ ก่อนจะหันมาถามฉันแล้วเลิกคิ้วสูงใส่
“วาเลือกเองก็ได้ค่ะ” ฉันรีบบอกอย่างไม่เอะใจ ทำให้คุณยายยิ้มกริ่มออกมาด้วยความพอใจ เพราะนั่นหมายถึงฉันรับปากจะเลือกใครสักคนมาแต่งงานกับฉัน
“รับปากแล้วนะ งั้นอีกสองสัปดาห์เตรียมตัวเอาไว้เลย ยายจะพาไปไหว้แนะนำตัวกับท่านแล้วไปดูสองหนุ่มนั้นว่าจะเลือกใคร”
“จะให้เลือกตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าเลยเหรอครับคุณแม่ เขาจะไม่ว่าทางเราใจง่ายเหรอ” คุณพ่อถามขึ้นแล้วหลบสายตาคุณยายลงไปอีกครั้ง
แต่นั่นแหละคือความรู้สึกของฉัน จะให้เลือกผู้ชายมาเป็นสามีแค่เจอหน้ากันวันแรก มันจะไม่ดูรีบร้อนไปเหรอ
“ฉันว่าฉันพูดชัดแล้วนะว่าไปดูว่าจะเลือกใคร ไม่ได้บอกให้ไปเลือก” คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ หากเป็นคนอื่นคงลุกจากโต๊ะอาหารไม่ทานต่อ แต่ทานกลับยิ้มช้อนขึ้นมาตักทานต่อหลังจากพูดจบแล้ว
ฉันเองสิที่ทานอาหารต่อไม่ลง งื้อ...มีคู่หมั้นโดยไม่รู้ตัวแล้วจะต้องเลือกผู้ชายมาแต่งงานด้วยในอายุยี่สิบสอง อะไรกันคะเนี่ย!
************************
การทำงานในวันแรกผ่านพ้นไปด้วยดี พนักงานทุกคนต้อนรับฉันอย่างอบอุ่น บริษัทเล็กๆ ที่มีพนักงานไม่ถึงห้าสิบคนแต่ว่าก็สร้างกำไรมหาศาลให้ครอบครัวเราจนร่ำรวยมาถึงทุกวันนี้
พ่อกับแม่ของฉันยังคงรู้สึกเป็นกังวลแทนฉันเรื่องคู่หมั้นที่ยังไม่เคยเห็นหน้า ระหว่างทางที่กลับจึงถามฉันถึงเรื่องนี้กังวลว่าฉันจะคิดมากและอาจจะรู้สึกเสียใจที่ตนเองไม่มีโอกาสได้เลือกคนรักด้วยตนเอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะใช่ แต่หลังจากที่ฉันได้รับประสบการณ์อย่างนั้น ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้เป็นสาวบริสุทธิ์อะไร การรีบหาสามีอาจจะทำให้ฉันลืมเรื่องแย่ๆ นี้ไปก็ได้
“ให้แม่ช่วยพูดกับคุณยายให้ไหมลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ วาโอเค” ฉันบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า เพราะงานวันแรกในตำแหน่งผู้บริหารฝึกหัดนั้นถือว่าหนักหนาพอสมควร
“พ่อไม่อยากเห็นวาไม่มีความสุขไปทั้งชีวิตนะลูก ถ้าไม่อยากแต่งงานพ่อกับแม่จะช่วยขอร้องคุณยายให้” ทั้งสองช่วยกันปลอบโยนฉันด้วยความรักและเข้าใจหัวอกคนที่จะถูกจับคลุมถุงชน
“ไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะคุณพ่อ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจมีคนรักอยู่แล้ว การหมั้นหมายด้วยปากก็จะได้ยกเลิกไป แต่ถึงไม่มีวาก็คิดว่าคบหาดูใจกันไปก่อนถ้าเข้ากันไม่ได้ก็แค่บอกผู้ใหญ่ไปตามตรงแล้วถอนหมั้นตอนนั้นก็ยังไม่สาย ดีกว่าให้คุณยายต้องเสียสัจจะ” ฉันบอกความคิดของตนเองออกไป ทำให้บุพการีทั้งสองพอใจมาก
“ลูกสาวแม่โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากเลย มีความคิดโตขึ้นมาก แม่ภูมิใจในตัววามากนะลูก”
“นั่นสิ ลูกเราโตเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ” พ่อกับแม่พูดชื่นชมฉัน
ฉันอมยิ้มออกมารับคำชื่นชมนั้น ประสบการณ์หลายๆ อย่างสอนให้ฉันโตขึ้น ไม่อยากเชื่อเลยว่าหลังจากเรียนจบฉันก็รู้สึกว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบและความคิดที่โตขึ้นตามวัยแบบนี้
‘หรือเป็นเพราะประสบการณ์คืนนั้นทำให้เราโตขึ้น...บ้าไปแล้วจะไปคิดถึงเรื่องนั้นทำไมกันนะ’ ฉันหวนคิดเรื่องวันไนท์สแตนด์ควบสองของตนเองไม่ได้
เสียสาวกับสองหนุ่ม แล้วคู่หมั้นก็ดันมีมาให้เลือกตั้งสองคน นี่ดวงของฉันต้องมาเจอผู้ชายมาเป็นแพ็กคู่อยู่ตลอด หวังว่าแต่งงานคงไม่ต้องมีเจ้าบ่าวสองคนอย่างเคยเห็นในข่าวหรอกนะ
“จะเปลี่ยนวันกันยังไงให้ลงตัวล่ะทีนี้ หึ๋ย”
“วาว่าอะไรนะลูก” แม่ฉันหันมาถามจากเบาะหน้า
“อ๋อ เปล่าค่ะ แค่บ่นไปเรื่อย” ฉันยิ้มกลบเกลื่อนแล้วนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง
สัมผัสที่แสนสุขสมและซ่านสยิวยังคงตราตรึงอยู่ในทุกอณูของร่างกาย แม้จะห้ามใจไม่ให้คิดแต่ว่าในหัวตอนนี้เต็มไปด้วยใบหน้าที่เร้าอารมณ์และเสียงครางกระเส่าของพวกเขา
************************