คุณยายเลือกชุดที่สุภาพและอ่อนหวานให้กับฉัน แล้วให้ลดสีลิปสติกลงเป็นสีที่ดูอ่อนหวานเข้ากับชุด
“แบบนี้สวยมากลูก”
“แต่มันไม่เป็นตัวเองเลยสักนิดนะคะคุณยาย”
“การเป็นตัวเอง กับการแต่งตัวให้เกียรติสถานที่มันคนละอย่างกัน ไปหาผู้ใหญ่วันแรกก็ต้องให้เกียรติท่านหน่อย วันหลังวาจะไปเดทกับหลานของท่านจะแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดแค่ไหนก็ค่อยว่ากัน” คุณยายสอนเรื่องมารยาทฉันไปอีกหนึ่งกรุบ
เราเดินลงไปที่หน้าบ้าน พี่สมคิดที่ต้องแอ๊บแมนต่อหน้าคุณย่าก็รีบมาเปิดประตูให้อย่างสุภาพแล้วยิ้มมองชุดสวยๆ ของฉันอย่างชื่นชมแล้วแอบยกนิ้วให้
“ไปไหนครับคุณยาย” เขาถามอย่างสุภาพ
“ไปบ้านกิจวัฒนาไพศาลรุ่งเรือง” คุณยายบอกแล้วหันมายิ้มให้ฉันที่กำลังทำตาโตด้วยความตกใจกับนามสกุล
“นามสกุลคุ้นหูใช่ไหมล่ะ คุณปู่กิจชัยท่านเป็นเจ้าของตลาดและโครงการหมู่บ้านจัดสรรตรงข้ามตลาดของท่าน”
“นั่นนามสกุลเหรอคะคุณยาย ‘วาสิตา กิจวัฒนาไพศาลรุ่งเรือง’ หนูต้องใช้นามสกุลนี้จริงๆ เหรอคะ” ฉันไม่อยากจะคิดสภาพตอนกรอกข้อมูลลงไปในเอกสาร
คิดไกลไปจนถึงตอนลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้วครูให้คัดลายมือชื่อกับนามสกุลสิบบรรทัด แค่คิดน้ำตาก็ปริ่มขอบตาแล้ว
“นั่นชื่อบ้าน นามสกุลท่าน ‘เลิศรุ่งไพศาล’ ใครจะไปนามสกุลยาวขนาดนั้น” คุณยายพูดแล้วส่ายหัวเบาๆ กับความคิดของฉันที่มักกังวลอะไรไปก่อนจะเกิดขึ้นเสมอ
ว่าแต่ฉันคิดไกลไปถึงเรื่องมีลูกแล้วเหรอเนี่ย หน้าว่าที่สามียังไม่เห็นหน้าเลย
“สมคิด อย่าลืมจอดแวะซื้อผลไม้ที่ตลาดให้ฉันด้วยนะ เลือกที่สดและดีที่สุดจัดกระเช้าให้ด้วย” คุณยายหันไปบอกพี่สมคิดเมื่อนึกได้ว่าต้องนำของฝากติดมือไปเยี่ยมเยียนคุณปู่กิจชัย
“ครับคุณยาย” พี่สมคิดรับคำอย่างสุภาพ
คนรับใช้ทุกคนในบ้านเรียกคุณยายฉันว่าคุณยาย ท่านอาจจะดูพูดจาห้วนๆ ตรงๆ แต่ว่าก็ใจดีมีเมตตากับทุกคน ด้วยเหตุนี้แหละฉันก็ไม่อยากขัดใจท่านและยอมมาที่บ้านของคู่หมั้นที่ฉันเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้า
เมื่อถึงบ้านกิจวัฒนาไพศาลรุ่งเรือง ฉันเดินตามคุณย่าเข้าไปอย่างตื่นเต้น และมีพี่สมคิดถือกระเช้าผลไม้ตามมา
คนรับใช้ที่บ้านที่แทบจะเรียกว่าคฤหาสน์ เดินออกมาต้อนรับแล้วรับกระเช้าผลไม้จากพี่สมคิด เพื่อให้เราเข้าไปแค่สองคนแล้วถือกระเช้าผลไม้ไปวางที่โต๊ะทรงเตี้ยในห้องรับแขกที่เชิญให้เราไปนั่ง
บ้านหรูหราที่ตกแต่งสไตล์ไทยแท้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก มันสวยจนฉันขนลุกเลยทีเดียว
สักพักชายวัยประมาณหกสิบกว่าก็เดินเข้ามาในห้องรับแขก ฉันกับคุณยายยกมือไหว้ทักทายท่านตามมารยาทแล้วไม่ลืมยิ้มแย้มอย่างที่ท่านย้ำมาบนรถเพื่อแสดงว่าฉันเต็มใจมาโดยไม่ได้ถูกบีบบังคับ
“พี่กิจสบายดีนะคะ”
“ครับ สบายดี แล้ววารีล่ะ”
“ก็เรื่อยๆ ค่ะ วันที่ที่มาก็เพราะเรื่องที่พี่กิจเคยขอหมั้นหมายยัยวากับพี่สุนทรเอาไว้ให้กับหลานชายค่ะ” ทั้งสองคุยถามไถ่กันแล้วคุณยายก็เข้าเรื่องถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้
“เรื่องนั้นก็ว่าจะทวงถามอยู่พอดี เจ้าอ้ายเจ้ายี่ก็โตมีการมีงานกันหมดแล้ว อยากให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที”
“แล้วหนุ่มๆ ล่ะคะ” คุณยายของฉันถามแล้วยิ้มอย่างสุภาพ
“กำลังให้คนไปตามน่ะ วันหยุดก็อย่างนี้แหละ ตื่นสายทั้งพี่ทั้งน้อง” คุณปู่กิจชัยบ่นแล้วมองกระเช้าของฝากตรงหน้าด้วยความพอใจ
ฉันได้แต่นั่งยิ้มฟังพวกท่านคุยความหลังถึงคุณตาของฉันที่เป็นเพื่อนกับคุณปู่ ทำให้ฉันรู้หลายๆ เรื่องว่าครอบครัวเราเคยสนิทกัน และตอนเด็กๆ ฉันก็เคยมาที่นี่
‘แต่จำไม่ยักกะจำได้แฮะ’
“นั่นไง เจ้าอ้าย เจ้ายี่ มาไหว้คุณยายวารีสิ” คุณปู่กิจชัยเรียกทั้งสองให้เข้ามา
พอพวกเขาเดินมานั่งเก้าอี้รับแขกตรงข้ามกับฉันเท่านั้น ฉันก็มองเขาด้วยดวงตาที่เบิกโพลง ในขณะที่ทั้งคู่เองก็มองฉันด้วยสายตาที่ประหลาดใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นอมยิ้มมองเหมือนจะคิดถึงเรื่องคืนนั้น
‘พวกเขาคือสองคนที่พรากพรหมจรรย์ในคืนวันไนท์สแตนด์ของฉันไป…ทำไมโลกมันกลมขนาดนี้นะ’
“สวัสดีครับคุณยาย” ทั้งสองพูดอย่างพร้อมเพรียง
“สวัสดีจ้ะ ...ยัยวา ไหว้พี่ๆ เขาสิลูก” คุณยายรับไหว้แล้วหันมาบอกฉันให้ทักทายทั้งคู่
“สวัสดีค่ะ พี่อ้าย พี่ยี่” ฉันยกมือไหว้ทั้งสองคน แล้วก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกอับอายและอดสู ทำไมต้องเป็นทั้งสองคนนี้ด้วย เขาจะคิดว่าฉันมาย้อมแมวขายให้พวกเขาไหมนะ
“เจ้าอ้ายน่ะเป็นวิศวกร ส่วนเจ้ายี่เป็นสถาปนิก ทั้งสองดูแลโครงการหมู่บ้านจัดสรรของปู่อยู่ หน้าที่การงานมั่นคง ส่วนนิสัยหนูวาต้องศึกษาดูเอง” คุณปู่บอกเป็นนัยว่าฉันสามารถดูใจไปนานๆ อย่างพึ่งด่วนตัดสินในตอนนี้
“ค่ะคุณปู่” ฉันตอบรับอย่างสุภาพแล้วยิ้มอย่างเอียงอาย ในใจแทบอยากแทรกแผ่นดินหนีสายตาของสองพี่น้องคู่นั้น
“งั้นเราไปเดินเล่นในสวนกันดีไหมครับน้องวา เราจะได้พูดคุยทำความรู้จักกันให้มากขึ้น” พี่อ้ายเป็นฝ่ายชวนขึ้นมาก่อน
“นั่นสิ พี่ว่าเราไปเดินเล่นกันที่สวนดีกว่า” พี่ยี่เองก็พูดเชิญชวนจนคุณยายต้องสะกิดให้ฉันออกไปเดินเล่นกับพวกเขา
พอเราสามคนอยู่ตามลำพัง ทั้งสองก็เริ่มพูดถึงความหลังของพวกเราในคืนนั้น
“พวกพี่ตามหาวาตั้งนาน ที่แท้ก็อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วให้พี่ได้รับผิดชอบวานะ”
“วาแค่ทำตามคุณยายให้ท่านสบายใจ ไม่ได้หวังจะมาให้พวกพี่ลำบากใจหรอกนะคะ แกล้งคุยๆ กันไปก่อนไม่ถูกใจวาจะเป็นฝ่ายบอกคุณยายให้ถอนหมั้นเอง” ฉันบอกความตั้งใจก่อนที่พวกเขาจะดูถูกฉัน
“อ้าย ไหนแกบอกว่าไม่อยากแต่งงาน ฉันจะแต่งกับวาเอง”
“แต่แกก็เคยพูดว่าไม่อยากแต่งงาน ฉันจะแต่งงานกับวาเอง”
อ้าว นึกว่าจะเกี่ยงกันแต่งงานกับฉัน นี่พวกเขาอยากแต่งงานกับฉันอย่างนั้นเหรอ
“วาบอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องมารับผิดชอบ แล้วอีกอย่างวาก็แค่มาที่นี่เพื่อเอาใจคุณยายเท่านั้น” ฉันบอกเขาไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่ตอนมาคิดไปจนถึงลูกเรียนอนุบาลแล้ว
“พี่จะแต่งงานกับวา” ทั้งสองพี่น้องพูดขึ้นมาพร้อมกัน สายตาที่มองมานั้นดูจริงจังและแน่วแน่
หัวใจฉันเต้นแรงไปกับความจริงจังนั้นคิดว่าการได้แต่งกับคนแรกของตนก็ดีเหมือนกัน แต่ว่าอีกคนก็เคยได้กันมันจะเข้าหน้ากันติดได้อย่างไร
************************