เจ้าถิ่น…
แล้ววันที่ฉันก้าวเท้าเข้ามาใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยก็ได้เริ่มขึ้น ถึงฉันกับผึ้งจะไม่ได้เรียนคณะเดียวกันตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกเพราะฝังใจกับการจากไปของสายลม มันเป็นคำสัญญาของเราสามคนที่จะเรียนคณะเดียวกัน แต่เมื่อตอนนี้สายลมไม่อยู่แล้วพวกเราจึงตัดสินใจเลือกเรียนคณะที่ตนถนัดแทน
ความฝันของฉันในการเข้ามาเรียนมหาลัยอีกหนึ่งอย่างคือการเป็นดาวคณะและฉันก็ทำได้สำเร็จ ช่วงชีวิตนักศึกษาน้องใหม่ปีหนึ่งที่พ่วงตำแหน่งดาวคณะและนางแบบเบอร์ต้น ๆ ของประเทศก็ได้เริ่มขึ้น ทุกอย่างคือความฝันที่ฉันอยากทำตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไรหลัง ๆ มาชีวิตถึงเริ่มมีแต่มรสุมจนงานหดเงินหายและชื่อเสียงของดาวรุ่งก็ดับลง
“พวกนั้นรู้ได้ยังไงว่าเจ้ามีลูกก่อนเข้ามหาลัยอะ ไปขุดเจอได้ยังไงทั้งที่พวกเราก็ปิดกันจนมิดแล้วก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ด้วย”
เสียงหงุดหงิดของผึ้งเพื่อนรักทิ้งตัวนั่งลงข้างฉันที่กำลังกลุ้มใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงฉันจะไม่ได้ลำบากเรื่องเงินเรื่องงานแต่ฉันก็รักและอยากทำอะไรแบบนี้ ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะพังลงเพราะมีคนไปขุดเจอว่าฉันเป็นคุณแม่วัยใส มีลูกติดตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัยแถมยังลือว่าท้องไม่มีพ่ออีก
“ก็คงเป็นคนที่รู้จักหรือไม่ก็เป็นคนที่เคยเห็นเจ้าอุ้มพายัพไปฉีดวัคซีนล่ะมั้ง”
ฉันตอบด้วยท่าทีเซ็ง ๆ เพราะนอกจากเราสามคนก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก แน่นอนว่าพี่ชายฉันน่ะไม่พูดแน่
“ผู้หญิงของทัพหรือเปล่าเจ้า พวกนั้นรู้ว่าเจ้ามีลูกเพราะไปหาพายัพที่ห้องบ่อย ๆ ”
เพื่อนรักหันมาหาก่อนจะกำหมัดไว้แน่นราวกับโกรธคนพวกนั้น
“เราไม่รู้ว่าเขาทำจริงหรือเปล่า เจ้าว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจเลยผึ้ง”
“แต่อนาคตหน้าที่การงานของเจ้าพังลงเพราะพวกนั้นเลยนะ จะให้ผึ้งอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง”
คนขี้ใจร้อนหันมาหาฉันก่อนจะพ่นคำพูดหงุดหงิดออกมา
“เจ้าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินผึ้งก็รู้ แค่อยากเป็นนางแบบเพราะอยากเป็นแล้วก็อยากอยู่ในวงการนี้เพราะมันเป็นความฝันเฉย ๆ ตอนนี้ไม่เป็นแล้วก็ได้เพราะเรียนจบไปแล้วก็ต้องทำงานช่วยที่บ้านอยู่ดี”
ฉันหันไปบอกคนข้าง ๆ พลางเอื้อมมือไปแตะไหล่เล็ก ๆ ของเพื่อนเพื่อให้ใจเย็นลง ผึ้งน่ะถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับฉันก็มักจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเสมอเพราะเราคบกันมานาน และฉันก็รู้ว่าผึ้งน่ะรักและหวังดีต่อฉันมากแค่ไหน
“บอกเจ้าทัพสั่งเก็บแม่ง ยุ่งเรื่องชาวบ้านดีนัก”
เพื่อนรักพ่นคำออกมาด้วยความหงุดหงิด ฉันก็ได้แต่นั่งส่ายหัวไปมาเพราะปลงกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ในเมื่อทุกอย่างที่เขาลือกันมันเป็นความจริงก็คงไม่มีอะไรจะต้องแก้ตัวแค่ตั้งใจทำสิ่งที่ต้องทำให้ดีที่สุดก็พอ
“พายัพไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเจ้าสักหน่อย ทำไมเจ้าไม่บอกพวกนั้นไป ส่งข่าวบอกพ่อบอกญาติพายัพให้มารับกลับไปเลี้ยงซะสิ ผึ้งไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเจ้าต้องเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้ทั้ง ๆ ที่เวลาชีวิตของเจ้าที่มีตอนนี้เริ่มหายไปเรื่อย ๆ เพราะเด็กคนนี้น่ะ”
ฉันรู้ว่าผึ้งไม่อยากให้ฉันแบกรับภาระพวกนี้ไว้ แต่ฉันเลี้ยงพายัพมาตั้งแต่เกิดจนตอนนี้ก็ผูกพันไปแล้ว จะยกให้คนที่ไม่เคยรักไม่อยากมีพายัพได้ยังไงกัน แล้วฉันก็ไม่ค่อยพอใจนักที่ผึ้งพูดถึงลูกชายฉันแบบนี้
“เจ้ารักพายัพนี่ แล้วสายลมก็บอกให้เจ้าดูแลพายัพด้วย”
ฉันพูดเสียงอ่อยพลางมองออกไปยังวิวทิวทัศน์ในสวนหย่อมใกล้ ๆ ก่อนจะคิดถึงวันเก่า ๆ สมัยที่เราสามคนยังอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ถึงวันนั้นสายลมจะบอกให้ฉันดูแลพายัพแต่สายลมก็ไม่ได้บอกให้ฉันเป็นคนเลี้ยงดูพายัพ แต่ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ฉันเป็นคนเลือกเองเพราะไม่อยากให้พายัพไปอยู่ในสถานสงเคราะห์
“ตอนอยู่ก็เอาแต่สร้างปัญหาพอตายไปแล้วก็ยังทิ้งภาระไว้ให้คนอื่นอีก ผึ้งไม่เข้าใจเลยว่าเพื่อนแบบนั้นเจ้าจะทนคบทำไม”
“…”
“ยัยนั่นมาทีหลังผึ้งแต่เจ้ากับดูแลแล้วก็เอาใจใส่มากกว่าผึ้ง ยัยนั่นแย่งทุกอย่างไปจากเจ้าแต่เจ้าก็ยัง…”
“ผึ้งเรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วนะ”
ฉันตวัดสายตาดุ ๆ ไปหาผึ้งที่เริ่มพูดมากเกินไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่มันผ่านมาตั้งนานแล้วก็ยังชอบพูดขึ้นมาให้หงุดหงิดอีก
“เห็นมั้ย สายลมทำเรื่องแย่ ๆ ไว้แต่เจ้าก็ยังปกป้องอะ แต่ผึ้งที่คบเจ้ามาตั้งแต่อนุบาลเจ้าเอาแต่ห้ามนี่นั่นแล้วก็เอาแต่ดุเวลาที่ผึ้งพูดไม่ดีกับสายลม ถามจริง ๆ เถอะนะเจ้า ถ้าสายลมไม่มีเราสองคนน่ะจะมีใครคบคนเอาแต่ใจนิสัยเสียแบบนั้นได้อีก”
“ผึ้งพอได้แล้วน่า ตอนนั้นเราทุกคนยังเด็กไม่มีใครรู้หรอกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิดหรือถูก”
“แต่แย่งของของเพื่อนน่ะไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ใครเขาก็คิดได้ทั้งนั้นแหละเจ้า”
เหมือนกับว่าวันนี้ฉันกับผึ้งจะคุยกันดี ๆ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเราเริ่มมีปากเสียงกัน แถมไม่ใช่เรื่องข่าวลือที่เกิดขึ้นแต่เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว…
“ถ้าผึ้งยังพูดถึงสายลมแบบนี้อีก เจ้าโกรธจริง ๆ นะผึ้ง”
ฉันมองคนข้าง ๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะมักจะเอาเรื่องเก่า ๆ กลับมาพูดใหม่ให้คนฟังอย่างฉันพลอยรู้สึกแย่ไปด้วย
“เจ้าก็เป็นแต่แบบนี้แหละ ดีกับสายลมที่เพิ่งรู้จักแค่ไม่กี่ปีแต่กับผึ้งที่รู้จักเกือบทั้งชีวิต เจ้าไม่คิดจะปกป้องหรือฟังอะไรผึ้งเลย”
คนข้าง ๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะมองหน้าฉันด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ ส่วนฉันที่ยังคงสับสนกับหลายเรื่องที่เกิดขึ้นและหลายอย่างที่ได้ฟังก็พูดไม่ออก
“ผึ้งฟังเจ้านะ…”
“เพราะว่าผึ้งเข้มแข็งแต่สายลมอ่อนไหวง่าย แล้วก็น่าสงสารเพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ เจ้าจะพูดแบบนี้ใช่ปะ หรือเพราะว่าสายลมไม่มีเพื่อนคบนอกจากเราสองคน เจ้าเลยสงสารแล้วก็ตามใจสายลมเพราะไม่อยากให้สายลมคิดมากว่าเราสองคนรังเกียจเขาเหมือนคนอื่นงี้ปะ”
“…”
“แต่ไม่ว่าสายลมจะเป็นยังไงก็ไม่มีสิทธิ์แย่งฟะ…”
“ผึ้งพอได้แล้ว! ถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วก็เอาแต่ใส่อารมณ์แบบนี้ก็ไม่ต้องมาคุยกันอีก”
ฉันพูดแทรกเพื่อนรักที่ยืนมองฉันด้วยแววตาเจ็บปวดน้อยใจเมื่อฉันเป็นฝ่ายขึ้นเสียงใส่
“อะไรที่เป็นเรื่องของสายลมน่ะเจ้าใส่ใจตลอดเลยนะ จนบางครั้งผึ้งก็คิดว่าตัวเองไม่ใช่เพื่อนเจ้า”
พูดจบคนตรงหน้าก็เดินจากฉันไปทิ้งไว้แค่ความรู้สึกผิดที่ฉันมีต่อผึ้ง ฉันยอมรับว่าฉันลำเอียงกับเพื่อนแต่ไม่รู้เพราะอะไรเวลาสายลมเอ่ยปากทีไรฉันก็มักจะใจอ่อนทุกที หรือเพราะสายลมมีวิธีพูดให้ฉันโอนอ่อนตามกันนะ
“ทำไมถึงชอบทะเลาะกันเพราะคนที่ตายไปแล้วนักนะสองคนนี้”
เสียงทุ้มของคนบางคนที่ร่างสูงใหญ่กว่าฉันเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรทว่าเย็นชาราวกับผีดิบบ่นพึมพำขณะทิ้งตัวนั่งลงข้างฉัน ก่อนจะเหลือบมามองฉันแล้วหันกลับไปสนใจโทรศัทพ์มือถือในมือแทน
“ไปรับพายัพให้หน่อยสิ ไม่มีเรียนแล้วไม่ใช่เหรอ”
ฉันหันไปมองคนมาใหม่ก่อนจะนั่งลงตรงม้าหินอ่อนตามเดิม
“ไม่อะ ใครเป็นแม่มันก็ไปรับเองดิ เจ้าก็รู้ว่าทัพเกลียดมันจะตายยังจะให้ไปรับมันอีก”
คนที่คลานตามกันออกมาจากท้องแม่พูดกับฉันก่อนจะนั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปด้วย ฉันรู้ว่าเจ้าทัพไม่ชอบพายัพนักเพราะทำให้สาว ๆ เข้าใจผิดว่าเขามีลูกติดและทำให้พ่อกับแม่เข้าใจเขาผิดไปช่วงหนึ่งเพราะคิดว่าเขาทำผู้หญิงท้อง แต่ก็ช่วยไม่ได้ใครบอกให้เขาเซ็นรับเป็นพ่อเด็กเองล่ะ ไม่ได้ไปไข่ไว้สักหน่อยพอจะเปลี่ยนชื่อในใบเกิดพ่อกับแม่ก็ห้ามไว้เพราะสงสารเด็ก
“เมื่อไหร่จะเลิกพูดแบบนี้สักที พายัพเป็นหลานทัพนะ”
ฉันพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ เพราะพี่ชายฝาแฝดของฉันก็เป็นอีกคนที่บอกให้ฉันเอาเด็กไปไว้ที่สถานสงเคราะห์แถมยังขู่ว่าจะเอาพายัพไปทิ้งไม่ให้ฉันรู้อยู่บ่อย ๆ
“จะเป็นหลานทัพได้ไงเด็กนั่นไม่ใช่ลูกเจ้าสักหน่อย แถมตอนนี้ยังทำให้เจ้าเสียโอกาสหลาย ๆ อย่างไปอีก แม่มันก็ทำชีวิตคนอื่นพังแล้วยังจะมีลูกมาเป็นตัวถ่วงชีวิตคนอื่นอีก วุ่นวายฉิบหายไม่ใช่คนในสายเลือดเดียวกันสักหน่อย”
“ทีหลังอย่าพูดแบบนี้อีกนะทัพเจ้าไม่ชอบ ถึงพายัพไม่ใช่ลูกเจ้าแต่ก็เป็นลูกของคนที่ทัพรักเหมือนน้องชายป้ะ”
ฉันรีบเถียง ทัพกับพีทรักกันเหมือนพี่น้องถึงแม้ว่าตอนนี้พีทจะไปอยู่ต่างประเทศแล้วแต่สองคนนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ฉันรู้ดี แต่ก็ยังดีที่ทัพไม่ได้บอกพีทเรื่องพายัพยังมีชีวิตอยู่
“ใช่ลูกไอ้พีทจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แค่มือยัยนั่นไอ้พีทยังไม่อยากจับเลย ตอนคบกันก็มีแต่ยัยนั่นวิ่งตามไอ้พีท”
“แต่สองคนนั้นก็เป็นแฟนกันป้ะ ต่อหน้าพวกเราเขาอาจจะเป็นแบบนั้นแต่เวลาที่อยู่ด้วยกันสองคนเขาก็ต้องมี…”
ฉันหันไปเถียง
“แล้วตอนที่ไอ้พีทกับเจ้า…”
“ไม่ใช่นะเจ้าไม่เคย”
ฉันรีบพูดแทรกเพราะรู้ดีว่าเจ้าทัพจะพูดอะไรต่อ
“แค่มันจะเอ่ยปากบอกใครต่อใครว่าเป็นแฟนเจ้ามันยังไม่กล้าเพราะกลัวคนมองว่าเจ้ามีแฟนตั้งแต่เด็ก แล้วเจ้าจะถูกมองไม่ดี เจ้าคิดเหรอว่ามันจะกล้าทำอะไรสายลมทั้งที่มันไม่ได้รักน่ะ”
ที่เขาไม่กล้าบอกใครต่อใครแบบนั้นเพราะว่าเขาไม่ได้รักฉันต่างหากล่ะ เขาไม่ชัดเจนกับฉันเองแต่กับสายลมน่ะเขาชัดเจนทุกอย่าง…
“พอได้แล้วทัพเจ้าไม่อยากฟัง!”
ฉันขึ้นเสียงใส่คนข้าง ๆ ที่มีอายุมากกว่าฉันไม่ถึงหนึ่งนาทีเพราะรู้สึกว่าวันนี้เขาจะพูดมากกว่าทุกวัน ทั้งที่ปกติแล้วพูดแค่อือกับอืมเป็นแค่สองคำแท้ ๆ
“ทัพพูดแล้วไม่อยากฟังแต่สายลมแค่อ้าปากเจ้าก็ตั้งใจฟังแล้วก็ทำตามทุกอย่าง!”
คนข้าง ๆ ลุกขึ้นก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาหาฉันแล้วขึ้นเสียงกลับบ้าง เจ้าทัพไม่เคยเป็นแบบนี้กับฉันตั้งแต่เราโตมาด้วยกันแต่วันนี้เขา…
หมับ! มือใหญ่สองข้างของคนตรงหน้าเอื้อมมาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันเอาไว้แล้วดึงให้ลุกขึ้น ก่อนจะบีบให้แน่นจนฉันรู้สึกเจ็บแทบนิ่วหน้าตาม
“ถ้าทัพเป็นเจ้าน่ะนะ อะไรที่เป็นของของทัพ ไม่ว่าทัพจะรักหรือเกลียด จะเป็นของใหม่หรือเป็นของเก่า จะเป็นของที่ใช้แล้วหรือยังไม่ใช้ก็ตาม ใครหน้าไหนที่เอ่ยปากขอไม่ว่ามันจะเป็นเพื่อนรักหรือสำคัญกับทัพแค่ไหนก็ตาม…”
แววตาน่ากลัวของคนตรงหน้าที่จ้องมองมาทำให้ฉันรู้สึกสั่นไหวแปลก ๆ เพราะไม่ชินกับที่เป็นอยู่
“ทัพไม่มีวันให้ของของทัพกับใคร ไม่ว่าจะหน้าไหนถ้าบอกแล้วไม่ฟัง… ทัพกับมันต้องพังกันไปข้างหนึ่ง”
“…”
“เลิกฟังเสียงของคนอื่นแล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเองบ้างเจ้า…”
“…”
“เมื่อก่อนทัพจะคิดซะว่าเจ้าทำแบบนั้นลงไปเพราะยังเด็กอยู่เลยไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้เจ้าโตแล้วนะเราเรียนมหาลัยแล้ว อีกหน่อยก็ต้องออกไปใช้ชีวิตวัยทำงาน อย่าคิดอะไรน้อย ๆ อย่างี่เง่าแล้วก็เอานิสัยเด็ก ๆ ความคิดเด็ก ๆ มาใช้อีก เราโตแล้วจะมีชีวิตได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้ ทำให้ตัวเองมีความสุขแล้วก็ใส่ใจความรู้สึกของตัวเองให้มาก ๆ”
“…”
“แล้วก็ถ้าอยากรู้ว่าเด็กนั่นเป็นลูกใคร เจ้าก็พามันไปตรวจดีเอ็นเอสิ”