ฉันไม่ให้เธอลาออก

2652 Words
ไม่กี่วันหลังจากนารายื่นใบลาออก ชีวิตที่เธอคิดว่ากำลังเริ่มต้นใหม่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อพบซองเอกสารสีขาวหนาวางอยู่หน้าประตูบ้านของเธอ นาราหยิบมันขึ้นมา ดวงตาอ่านชื่อผู้ส่งอย่างรวดเร็ว “อคิน กรุ๊ป” เธอเปิดซองออกมา และสิ่งที่เห็นในนั้นทำให้เธอรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน เอกสารระบุว่าเธอจะไม่ได้รับเงินค่าชดเชยจากการลาออก เนื่องจากเธอไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขบางอย่างในสัญญาการจ้างงานที่เธอเคยเซ็นไว้เมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นเธอยังเด็กและไร้เดียงสา ไม่เคยคิดว่าสัญญาฉบับนั้นจะกลายเป็นบ่วงที่รัดคอเธอในตอนนี้ “นี่มันเรื่องอะไรกัน?” นาราพึมพำกับตัวเอง สายตาเต็มไปด้วยความตกใจและความโกรธ เธอพยายามอ่านรายละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อหาช่องโหว่ แต่กลับพบเพียงความละเอียดถี่ถ้วนที่เหมือนกับว่าเอกสารนี้ถูกออกแบบมาเพื่อมัดเธอโดยเฉพาะ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ทำลายความคิดของเธอ เบอร์ที่แสดงบนหน้าจอทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่นทันที "อคิน" ชื่อนี้ปรากฏขึ้นราวกับเป็นเงาที่เธอพยายามหนี แต่ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เธอกดรับสายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้แข็งกระด้างที่สุด “คุณอคิน?” “สวัสดีครับ นารา” เสียงของเขาเรียบนิ่ง แต่แฝงด้วยความเย็นชาและอำนาจที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกกดดันอยู่ใต้ปลายเท้าของเขา “คุณได้รับเอกสารแล้วใช่ไหม?” “ใช่ค่ะ แต่นี่มันอะไรกัน? ฉันทำงานให้คุณมาตั้งสิบปี!” เธอพยายามเก็บอารมณ์ แต่ความโกรธก็เดือดพล่านจนเสียงของเธอสั่น “แค่เอกสารเล็กน้อยที่ผมอยากให้คุณอ่าน” อคินตอบอย่างใจเย็น “คุณก็รู้ดีว่าสัญญามีผลบังคับใช้ ถ้าคุณต้องการแก้ไขเงื่อนไข เราคงต้องคุยกันเพิ่มเติม” นาราเริ่มเข้าใจในทันทีว่าทั้งหมดนี้เป็นเกมของเขา เกมที่ออกแบบมาเพื่อรั้งเธอไว้และแสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีทางหนีไปได้ง่ายๆ “ฉันจะไม่ยอมแพ้คุณง่ายๆ” เธอตอบกลับอย่างหนักแน่น ก่อนจะวางสายลง แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความกดดันที่เพิ่มขึ้น เธอนั่งลงบนโซฟา มือข้างหนึ่งกำโทรศัพท์ไว้แน่น ส่วนอีกข้างถือเอกสารที่ดูเหมือนจะกลายเป็นตรวนที่มัดตัวเธอไว้ในชีวิตที่เธออยากหนี เธอหลับตาลง สูดลมหายใจลึก และพยายามคิดหาวิธีต่อสู้ในเกมนี้ “ถ้าคุณอยากเล่นเกมนัก…งั้นก็มาเล่นกัน” เธอพูดกับตัวเอง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่ภายในใจยังเต็มไปด้วยความสับสน เธอรู้ดีว่าเกมของอคินไม่ใช่สิ่งที่ง่ายต่อกร แต่เธอก็ไม่มีทางยอมให้ตัวเองกลับไปอยู่ในกรงขังเดิมๆ ที่เธอเพิ่งก้าวออกมา ในขณะที่เธอกำลังวางแผน เธอไม่รู้เลยว่าอีกด้านหนึ่งของเมือง อคินกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของเขา มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเคร่งขรึมและรอยยิ้มบางที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ “ถ้านาราคิดจะหนี เธอก็ต้องรู้ว่าเธอกำลังเล่นอยู่ในสนามของใคร” เขาพูดเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเกมนี้เพิ่งเริ่มต้น และเขาไม่เคยแพ้เกมไหนมาก่อน... นาราโยนเอกสารลงบนโต๊ะด้วยความโกรธ มือกำแน่นจนสั่น ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะระเบิดเสียงกรี๊ดออกมาอย่างสุดกลั้น "ไอ้บ้าอคิน!" เสียงนั้นก้องอยู่ในห้องเล็กๆ ของเธอ เธอขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด จนเส้นผมที่เคยมัดรวบดูยุ่งเหยิงไม่ต่างจากความคิดในหัว “ฉันทุ่มเทให้เขาขนาดนั้น!” นาราพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ใจของเธอเต็มไปด้วยภาพความทรงจำที่เคยทำให้เธออดทนมานานปี เธอเห็นตัวเองในอดีต ชุดเชิ้ตขาวเรียบๆ ที่เริ่มยับจากการวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งวัน รองเท้าส้นเตี้ยคู่เก่าที่ต้องเปลี่ยนพื้นบ่อยๆ เพราะใช้งานหนัก ผมที่เคยสลวยกลับเหนียวเหนอะจากการไม่มีเวลาสระ เธอจำได้ว่าตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมงานให้เขา วิ่งซื้อกาแฟจากร้านที่เขาโปรดปราน คอยรับโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุดจากปัญหาเล็กใหญ่ที่เขาโยนมาให้ "นารา ไปหากระดาษประชุมให้หน่อย" "นารา! ช่วยจัดตารางให้ใหม่ ฉันเปลี่ยนใจ" "นารา โทรไปบอกคุณพีระว่าเลื่อนนัดประชุมบ่าย!" เสียงของเขาดังขึ้นซ้ำๆ ในหัวเธอ น้ำเสียงสั่งการที่ดูเย็นชาแต่มีพลังบีบบังคับที่เธอไม่อาจปฏิเสธ เธอเห็นตัวเองวิ่งวุ่นตามคำสั่งทุกอย่าง หัวฟู เสื้อผ้ายับ ผิวหน้าที่เคยเนียนใสเต็มไปด้วยความอ่อนล้าจากการอดนอน เธอทำงานจนลืมกินข้าว ลืมพักผ่อน ลืมดูแลตัวเอง เพื่อสนองทุกความต้องการของผู้ชายคนเดียว ดวงตาของเธอเริ่มคลอด้วยน้ำตา แต่ไม่ใช่เพราะความเศร้า มันคือความโกรธที่สุมอยู่ในใจ “แล้วนี่เขายังกล้าทำแบบนี้อีกเหรอ!” เธอพึมพำเสียงสั่น ก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที “คิดว่าฉันจะกลับไปวิ่งวุ่นทำตามใจนายอีกเหรอ อคิน! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไปแล้ว” เธอพูดกับตัวเอง ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาเปล่งประกายความมุ่งมั่น แต่ลึกลงไป เธอรู้ดีว่าอคินไม่ใช่คนที่จะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ และเกมที่เขาเริ่มต้นขึ้นนี้จะไม่จบลงง่ายๆ เช่นกัน นาราหยิบเอกสารขึ้นมาดูอีกครั้ง แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความโกรธเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ “ได้... ในเมื่ออยากเล่นเกมส์นัก ฉันจะทำให้นายรู้ว่า ฉันไม่ใช่คนเดิมที่นายเคยรู้จัก!” เธอพูด ก่อนจะโยนเอกสารลงบนโต๊ะอีกครั้ง และเริ่มคิดแผนการของตัวเอง เพื่อต่อกรกับผู้ชายที่เคยควบคุมชีวิตเธอทุกอย่าง .............................. นารากลับถึงบ้านพร้อมถุงช้อปปิ้งใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสวยๆ และเครื่องสำอางที่เธอเพิ่งซื้อมาใหม่ เธอวางถุงทั้งหมดลงบนโต๊ะ หยิบรองเท้าส้นสูงคู่ใหม่ที่เธอเพิ่งซื้อขึ้นมาดู ก่อนจะยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ดวงตาของเธอเปล่งประกายความมั่นใจที่หายไปนาน เธอหมุนตัวเบาๆ มองเห็นภาพสะท้อนของผู้หญิงที่เธอเคยลืมไปว่าเป็นใคร “ฉันสวยขนาดนี้… แล้วไปหมกตัวอยู่กับงานบ้าๆ นั่นมาได้ยังไงตั้งสิบปี?” เธอพูดกับตัวเองพลางหัวเราะเบาๆ แต่ในใจเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเมื่อคิดถึงอดีตที่ผ่านมา "สิบปี!" เธอพูดเสียงดังพลางหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาเปิดดู “สิบปีที่ฉันทุ่มเทให้กับผู้ชายคนนั้น ทำงานแทบทุกอย่างตั้งแต่เรื่องในบริษัทยันเรื่องส่วนตัว ฉันแทบไม่มีชีวิตของตัวเอง ทั้งต้องจัดการเอกสาร ประชุม ตอบอีเมล จัดตารางเวลา ไหนจะต้องวิ่งวุ่นหาของโปรดให้เขา ดูแลบ้าน ดูแลรถ หรือแม้แต่ไปช่วยเขาเลือกของขวัญให้ผู้หญิงที่เขาอยากจีบ!” เธอโยนกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะและทรุดตัวลงนั่ง หัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเอง “รู้ไหม... แค่เงินเก็บจากโบนัส โอที และค่าเหนื่อยตลอดสิบปีนั่น มันมากพอจะให้ฉันอยู่สบายไปอีกสิบปีโดยไม่ต้องทำงานเลย ฉันไม่เคยได้ใช้มันด้วยซ้ำ” ดวงตาของเธอวาวโรจน์ เธอลุกขึ้นไปหยิบคอมพิวเตอร์ เปิดดูบัญชีบิตคอยน์ที่เธอลงทุนไว้ตั้งแต่หลายปีก่อน ยอดเงินที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้เธอยิ้มออกมา “บิตคอยน์นิดๆ หน่อยๆ พวกนี้ก็มากพอจะให้ฉันอยู่ดีมีสุขได้อีกสิบยี่สิบปี” เธอเอนหลังพิงเก้าอี้ มองดูตัวเองในกระจกอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “รู้ไหม ฉันไม่แคร์แล้ว ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น นายอยากเล่นเกมของนายก็เล่นไปเถอะ อคิน ฉันจะใช้ชีวิตของฉันให้คุ้ม ฉันจะกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ผู้หญิงที่สวย รวย และไม่ต้องการให้นายมากำหนดชีวิตอีกต่อไป” เธอลุกขึ้น หยิบเดรสตัวใหม่ที่ซื้อมาไปลองสวม พลางนึกถึงอนาคตที่ไม่มีอคินเข้ามาเกี่ยวข้อง “อยากทำอะไรก็ทำไปสิ ฉันไม่แคร์!” เธอพูดกับเงาสะท้อนในกระจก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปาก “จากนี้ไป ฉันจะเป็นคนเลือก ไม่ใช่นาย!” ................................................. ค่ำคืนที่ลมเย็นพัดผ่านกรุงเทพฯ บนยอดตึกสูงของโรงแรมหรูที่แสงไฟจากเมืองใหญ่กระทบกระจกจนเปล่งประกายระยิบระยับ นาราก้าวออกจากลิฟต์ด้วยท่าทางสง่างาม เธอสวมเดรสรัดรูปสีแดงเพลิงที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย ดึงดูดทุกสายตาที่มองมา ผมยาวสลวยของเธอถูกรวบขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอระหงและเครื่องประดับเพชรระยิบระยับที่ขับกับผิวเนียนใสจนดูราวกับนางแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่น เธอเดินผ่านโถงร้านอาหารหรู เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นหินอ่อนเป็นจังหวะเบาๆ บริกรในชุดทักซิโด้เข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอ่อนน้อมและพาเธอไปยังโต๊ะที่นัดไว้ ที่โต๊ะใกล้หน้าต่าง คุณหมอหนุ่มผู้ที่เธอถูกนัดดูตัวนั่งอยู่แล้ว เขาสูงโปร่ง สวมสูทพอดีตัวสีกรมท่าที่ขับให้เขาดูหล่อสมบูรณ์แบบ ดวงตาของเขาอยู่หลังแว่นกรอบบางที่เสริมความคมชัดของใบหน้า และเมื่อเขาเงยหน้ามองเห็นนารา ดวงตาเรียวนั้นเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาราวกับหลุดมาจากซีรีส์เกาหลี สายตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แต่ยังคงสงบและนุ่มนวลในคราวเดียว “คุณนารา?” เขาลุกขึ้นยืนและยิ้มบางๆ เสียงนุ่มลึกของเขาฟังดูสุภาพและอบอุ่น “ค่ะ ฉันเอง” นาราตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เธอยื่นมือออกไปจับมือเขาเบาๆ “และคุณก็คือ…คุณหมอภัทรใช่ไหมคะ?” เขาพยักหน้า ยิ้มกว้างขึ้น “ใช่ครับ ยินดีที่ได้พบคุณ” บริกรนำไวน์มาเสิร์ฟพร้อมเมนูอาหาร ทั้งสองคนเริ่มพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง บทสนทนาของพวกเขาไหลลื่นเหมือนรู้จักกันมานาน นาราสังเกตว่าเขามีบุคลิกที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เขาพูดถึงงานของเขาในฐานะแพทย์ศัลยกรรมที่ยุ่งอยู่เสมอ แต่เขาก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอเมื่อเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวัน “แล้วคุณล่ะครับ?” เขาถามด้วยความสนใจ ดวงตาคมหลังแว่นมองตรงมาที่เธอราวกับอยากรู้จักเธอให้มากขึ้น “คุณทำอะไรอยู่ตอนนี้?” นาราหัวเราะเบาๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ “ตอนนี้ฉันกำลังลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้ทำมาก่อนค่ะ…และหนึ่งในนั้นก็คือการมาเจอคุณในคืนนี้” คำพูดของเธอทำให้เขายิ้มกว้างขึ้น ดวงตาหลังแว่นแฝงความสนุกและขบขัน “งั้นผมคงต้องขอบคุณโอกาสนี้ ที่ทำให้เราได้พบกัน” ในบรรยากาศที่รายล้อมด้วยแสงเทียนและวิวเมืองที่ส่องประกาย ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ราวกับเวลาหยุดลงสำหรับพวกเขา ค่ำคืนนี้ไม่ใช่เพียงแค่การนัดดูตัวธรรมดา แต่เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่มากกว่านั้น... บางสิ่งที่อาจเปลี่ยนชีวิตของนาราไปตลอดกาล ในร้านอาหารสุดหรูที่ตั้งอยู่บนยอดตึกสูง แสงเทียนอ่อนๆ ทาบเงาบนผนังกระจก นารานั่งอยู่กับคุณหมอหนุ่มรูปหล่อที่กำลังพูดคุยอย่างมีความสุข บรรยากาศรอบตัวเธอดูสดใส รอยยิ้มที่เปล่งประกายบนใบหน้าของเธอเหมือนแสงอาทิตย์ที่ทำให้ใครต่อใครต้องเหลียวมอง ชุดเดรสรัดรูปสีแดงเพลิงที่เธอสวมขับเน้นทุกส่วนโค้งเว้า ดึงดูดสายตาในร้านไปที่เธออย่างเลี่ยงไม่ได้ ในอีกมุมหนึ่งของร้าน อคิน นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ พร้อมกับสาวสวยอีกคนหนึ่งที่ดูสง่างามไม่แพ้กัน แต่ไม่มีสิ่งใดที่ดึงดูดความสนใจของเขาไปจากนารา เขาเฝ้าสังเกตทุกการเคลื่อนไหว ทุกท่าที ทุกเสียงหัวเราะของเธอ และทุกครั้งที่เธอหัวเราะกับชายหนุ่มตรงหน้า แววตาของเขายิ่งเย็นลง ลึกลงไปในความนิ่งนั้นคือพายุอารมณ์ที่กำลังก่อตัวอย่างช้าๆ เมื่อเขาเห็นเธอโน้มตัวเข้าใกล้ชายหนุ่มตรงหน้าในท่าทีที่ดูสนิทสนมเกินควร ทันใดนั้น เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเงียบเชียบ ทิ้งหญิงสาวที่มาด้วยให้มองตามด้วยความตกใจ ไม่มีคำพูดใด ไม่มีเสียงใดบอกกล่าว อคินก้าวยาวๆ ไปที่โต๊ะของเธอ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยอำนาจและความมั่นใจที่ทำให้คนรอบข้างต่างเงียบลงเหมือนถูกกลืนกินด้วยบรรยากาศที่เขานำพามา นาราหันมาทันทีเมื่อรู้สึกถึงเงาใหญ่ที่พุ่งเข้ามา แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร มือใหญ่ของอคินก็คว้าแขนของเธอ และดึงเธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที “อคิน!” เธอร้องเสียงหลง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “นี่มันอะไรกัน นายมาทำอะไรที่นี่?!” เขาไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะปรายตามองชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเธอ อคินออกแรงดึงเธออย่างมั่นคง แต่ไม่ถึงกับรุนแรง ขณะที่นาราพยายามดิ้นให้หลุดจากมือเขา “ปล่อยฉัน! นายไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้นะ!” เธอตะโกนอย่างลุกลน เสียงของเธอสั่นด้วยความโกรธและความอับอาย แต่เขายังคงนิ่ง ราวกับคำพูดของเธอเป็นเพียงเสียงลมผ่าน คุณหมอหนุ่มลุกขึ้นด้วยความตกใจ “ขอโทษนะครับ คุณเป็นใคร?” อคินหันไปสบตาเขาด้วยสายตาเย็นชาเพียงชั่ววินาที ก่อนจะกลับไปสนใจที่นาราเพียงคนเดียว ท่าทางของเขาแสดงออกชัดเจนว่าเขาไม่คิดจะสนใจคำถามหรือคำคัดค้านใดๆ “อคิน! ฉันบอกให้ปล่อย!” นาราดิ้นแรงขึ้น แต่เขากลับดึงเธอออกจากโต๊ะและเดินตรงไปยังทางออกของร้าน ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองตามอย่างตกตะลึง เมื่อถึงโถงลิฟต์ อคินกดปุ่มอย่างสงบ ขณะที่นาราพยายามสะบัดแขนออกจากการจับกุมของเขา “นายจะพาฉันไปไหน! นายทำแบบนี้ไม่ได้!” เขาเพียงปรายตามองเธอ สายตานั้นเย็นเยียบและทรงพลังจนเธอรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้หยุดดิ้น ในที่สุด ลิฟต์มาถึง เขาดึงเธอเข้าไปข้างในอย่างมั่นคง และเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง เขายืนนิ่ง มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความครอบงำและความสงบที่น่าหวาดหวั่น นาราถอยไปจนชิดผนังลิฟต์ หายใจหอบด้วยความโกรธและความสับสน “นายไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้! ฉันไม่ใช่ของนายอีกแล้ว!” เขายังคงเงียบ ใบหน้าที่ไร้คำพูดของเขาเหมือนกำแพงน้ำแข็งที่ไม่อาจเจาะทะลุได้ แต่ในสายตานั้น มีบางอย่างที่ทำให้นารารู้ว่า…เธอไม่เคยหลุดพ้นจากเขาเลย ไม่ว่าคำพูดของเธอจะหนักแน่นแค่ไหน ความเงียบที่แผ่ซ่านไปทั่วลิฟต์เหมือนกำลังกลืนกินเธอ ขณะที่อคินยังคงยืนนิ่ง มองเธออย่างไม่ละสายตา ราวกับจะบอกว่า "เธอไม่มีทางหนีพ้น… และเธอรู้ดี"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD