นาราเดินเข้าสำนักงานด้วยความมุ่งมั่น ใบลาออกในมือสั่นเล็กน้อย แต่แววตาของเธอแน่วแน่ เธอหยุดอยู่หน้าห้องของอคิน ผู้ชายที่เธอเคยชื่นชมในความสามารถ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนติดอยู่ในกรงขังแห่งความคาดหวัง เธอสูดลมหายใจลึกก่อนจะเคาะประตู
"เข้ามา" เสียงเรียบนิ่งของอคินดังขึ้น
นาราก้าวเข้าไปในห้อง เธอวางใบลาออกลงบนโต๊ะด้วยมือที่มั่นคง แต่ในใจกลับเต้นรัว เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฉันมานี่เพื่อแจ้งให้คุณทราบว่า ฉันจะลาออกจากงานค่ะ”
ดวงตาของอคินเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย แต่เพียงชั่ววินาที ก่อนที่ความสงบนิ่งจะกลับมาปกคลุมใบหน้าของเขาอีกครั้ง “ทำไม” คำถามสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยน้ำเสียงคาดคั้น
นาราอธิบายถึงเหตุผลของเธอ ความต้องการที่จะหลุดพ้นจากกรอบชีวิตเดิมๆ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไม่มีเขาเป็นเงาอยู่เบื้องหลัง เธอเล่าด้วยความจริงใจแต่ไม่สะทกสะท้าน แม้จะรู้ดีว่าอคินมักไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่เขาต้องการหลุดมือไปง่ายๆ
ดวงตาคมกริบของอคินมองตรงมาที่เธอราวกับจะทะลุเข้าไปในจิตใจ ความโกรธที่คุกรุ่นปะปนกับความสับสนปรากฏชัดเจน แม้ว่าเขาจะพยายามเก็บอารมณ์ให้เรียบเฉย “คุณคิดว่าการเดินออกไปจากชีวิตผมมันง่ายขนาดนั้นเหรอ”
“ฉันไม่ได้คิดว่ามันง่าย” นาราตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แต่ฉันคิดว่ามันจำเป็น”
อคินหัวเราะในลำคอเบาๆ ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ใบหน้าของเขาใกล้กับเธอมากขึ้น “ถ้าคุณอยากออกจากชีวิตผมจริงๆ... ลองดูว่าคุณจะทำได้ไหม”
คำพูดของเขาทำให้นาราใจหายวาบ แต่เธอเลือกที่จะไม่ตอบโต้ เธอหันหลังและเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมา แต่ลึกลงไปเธอรู้ดีว่า การปลดปล่อยตัวเองจากเงาของผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่เรื่องง่าย และเธอจะต้องเผชิญหน้ากับเกมของเขาในไม่ช้า
ขณะที่เธอปิดประตู อคินมองตามหลังเธอด้วยสายตานิ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขอย่างมั่นคง “มาเจอกันหน่อย ฉันมีเรื่องที่ต้องจัดการ” เขาพูดสั้นๆ ก่อนจะวางสายลง แผนการรั้งเธอไว้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
เมื่อเธอออกจากห้องนั้น นารารู้สึกเหมือนกำลังเข้าสู่สงครามที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน ส่วนอคิน…เขาเพียงนั่งลงในความเงียบ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหมายเลขหนึ่งอย่างมั่นคง เขามีแผน และเขาจะไม่ปล่อยให้นาราหลุดมือไปง่ายๆ แน่นอน
เสื้อเชิ้ตสีขาวที่คอปกเริ่มเหลืองจากการใช้งานหนัก และกระโปรงทรงสอบสีดำที่เธอใส่มาตลอดสิบปีดูธรรมดาเหมือนเธอเอง เธอไม่ใช่คนที่โดดเด่นในสายตาใครๆ ด้วยผมที่มัดรวบแบบลวกๆ และแว่นตาหนาเตอะที่บดบังใบหน้าหวานละมุน แต่แท้จริงแล้ว ใบหน้าของนาราไม่ได้ธรรมดาเหมือนลุคภายนอก ดวงตากลมโต ใบหน้ารูปไข่ และริมฝีปากบางสีชมพูธรรมชาติ ทำให้คนที่มองเห็นความงามที่แท้จริงของเธออาจต้องเหลียวหลัง หากเพียงแต่เธอมีเวลาให้ตัวเองมากกว่านี้
สิบปีที่ผ่านมาในฐานะเลขาคนสนิทของอคิน ผู้ชายที่เธอเคยชื่นชมในความสามารถ แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษในกรงขังแห่งความคาดหวัง งานหนักเกินหน้าที่ เธอคอยดูแลเขาทุกอย่าง ตั้งแต่ตารางงานจนถึงเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับงาน เธอใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับคำสั่งของเขา ทั้งเสียงโทรศัพท์กลางดึกที่ไม่รู้จบ และปัญหาจุกจิกที่เขามักโยนใส่เธอ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ร่างกายของเธอส่งสัญญาณเตือน หลังจากล้มลงในออฟฟิศและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าความเครียดสะสมและการพักผ่อนไม่เพียงพอกำลังกัดกินสุขภาพของเธอ นารามองตัวเองในกระจกที่โรงพยาบาล ใบหน้าหมองคล้ำและดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาทำให้เธอรู้ว่า สิบปีที่ผ่านมาชีวิตเธอไม่ใช่ของเธออีกต่อไป เธอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะจบทุกอย่าง
เมื่อประตูห้องทำงานปิดลง นาราเดินออกมาด้วยความรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ปนเปื้อนไปด้วยความหนักอึ้งในใจ เธอไม่กล้าหันกลับไปมองห้องนั้นอีก ราวกับว่าถ้ามองกลับไป เธออาจจะล้มเลิกสิ่งที่เพิ่งตัดสินใจทำลงไป ความเงียบในโถงสำนักงานเหมือนถูกขยายเสียงให้ดังขึ้น เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่ในมุมต่างๆ หยุดมือจากคีย์บอร์ดและแฟ้มงาน หันมามองเธออย่างตกใจและสงสัย
มิน เพื่อนสนิทที่นั่งโต๊ะข้างๆ เธอ ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนารา
“นารา! เกิดอะไรขึ้น?” มินถามพลางเดินเข้ามาหา น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ดวงตาเธอจับจ้องเพื่อนรักที่ดูเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทนได้อีก
นาราพยายามยิ้มแต่ก็ฝืนออกมาเพียงเล็กน้อย “ไม่มีอะไรหรอกมิน ฉันแค่...ทำสิ่งที่ควรทำมานานแล้ว”
มินหยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะเบิกตากว้าง “อย่าบอกนะว่าเธอ…”
“ใช่ ฉันยื่นลาออก” นาราตอบเสียงเบา
คำพูดนั้นเหมือนทำให้ทั้งห้องเงียบลง ทุกคนหยุดงานและหันมามองเธอ บางคนกระซิบกัน บางคนจ้องอย่างไม่เชื่อสายตา
“อะไรนะ? นี่เธอลาออกจริงๆ เหรอ? แต่ทำไมล่ะ? เธอทำงานที่นี่มาตั้งนาน…” มินถามรัว น้ำเสียงแสดงความตกใจอย่างชัดเจน
นาราเม้มริมฝีปากก่อนตอบ “มิน ฉันเหนื่อยแล้ว...สิบปีที่ผ่านมา ฉันไม่เหลืออะไรเลย ไม่แม้แต่จะมีชีวิตเป็นของตัวเอง ฉันต้องไปต่อ...ไปหาทางของตัวเอง”
เสียงของเธอไม่ได้ดังมาก แต่หนักแน่นพอที่จะทำให้เพื่อนร่วมงานที่แอบฟังพากันก้มหน้าลงกลับไปทำงาน บรรยากาศยังคงเงียบงัน
มินจับมือเธอไว้แน่น “แต่เธอจะทำยังไงต่อไป? อคิน...เขาจะยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ เหรอ? เธอรู้จักเขาดีกว่าฉันไม่ใช่เหรอ?”
คำถามนั้นเหมือนแทงเข้ามาในใจของนารา เธอสูดลมหายใจลึกก่อนจะตอบ “ไม่รู้สิ แต่ฉันไม่สนอีกแล้ว มิน ครั้งนี้ฉันต้องทำเพื่อตัวเอง”
เสียงของเธอทำให้มินนิ่งไป เธอมองเพื่อนด้วยสายตาที่ปนเปื้อนไปด้วยความเศร้า “ฉันจะคิดถึงเธอมากเลยนารา...แต่ฉันเข้าใจ”
คำพูดนั้นทำให้นารารู้สึกจุกในอก เธอจับมือของมินตอบ “ฉันก็จะคิดถึงเธอเหมือนกัน ขอบคุณนะที่อยู่ข้างฉันเสมอ”
มินพยักหน้า แต่แววตาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เธอเอ่ยออกมาในที่สุด “ระวังตัวนะ ฉันไม่ไว้ใจอคินเลย เขาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ”
นารายิ้มบางๆ ก่อนจะเดินต่อไป เสียงรองเท้าส้นเตี้ยของเธอดังก้องในโถงทางเดิน รู้สึกเหมือนเป็นการบอกลาโลกเดิมของเธอที่อยู่ในกรงตลอดสิบปี
เพื่อนร่วมงานหลายคนส่งสายตาอำลามาให้ บางคนถึงกับลุกขึ้นมายืนใกล้โต๊ะของเธอ เพื่อส่งคำถามที่เธอไม่สามารถตอบได้ทั้งหมด
“นารา เธอจะไปไหนต่อ?”
“แน่ใจเหรอที่ลาออก? งานแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ”
“เธอจะไม่เสียใจทีหลังใช่ไหม?”
นาราเพียงยิ้มรับคำถามเหล่านั้น เธอรู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่เธอไม่โกรธเลย เธอพูดเพียงว่า “ขอบคุณนะทุกคน ฉันต้องไปแล้ว”
เมื่อเดินออกจากออฟฟิศจนพ้นประตูใหญ่ หัวใจของเธอเหมือนปลดล็อกออกจากโซ่ตรวนที่เธอใส่ไว้เองมาเนิ่นนาน แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความยากลำบากที่เธอต้องเผชิญ ไม่ใช่แค่การเริ่มต้นใหม่ แต่ยังต้องเผชิญกับเกมของอคิน ที่เธอรู้ดีว่าเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...
..............................
ในย่านใจกลางเมืองที่หรูหรา แสงไฟจากตึกสูงสะท้อนลงบนกระจกหน้ารถคันสีดำของอคินที่ขับเคลื่อนไปตามถนน เขามองตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ดนตรีคลาสสิกเบาๆ ที่เปิดอยู่ในรถไม่ได้ช่วยให้เขาสงบลงเลย เสียงไวโอลินที่ควรจะบรรเทาความตึงเครียด กลับดูเหมือนจะตอกย้ำความรู้สึกบางอย่างในใจเขา
ไม่นานนัก รถคันหรูจอดสนิทหน้าร้านอาหารในย่านที่คนธรรมดาแทบไม่มีโอกาสก้าวเข้าไป อคินก้าวลงจากรถอย่างสง่างามในชุดสูทสีเทาเข้มที่เข้ากับบุคลิกทรงอำนาจของเขา เขาเดินเข้าไปในร้านโดยมีพนักงานต้อนรับก้มศีรษะทักทายด้วยความนอบน้อม ขณะที่เสียงดนตรีเปียโนบรรเลงเบาๆ ทั่วห้องอาหาร
ในห้องส่วนตัวที่ถูกจองไว้อย่างพิถีพิถัน ชายคนหนึ่งนั่งรออยู่แล้ว พีระ ทนายความและคนสนิทของอคิน ในชุดสูทเรียบง่าย แต่ดวงตาที่หลังแว่นไร้กรอบกลับบ่งบอกถึงความฉลาดและความสุขุม พีระกำลังอ่านเอกสารในมืออย่างตั้งใจ แต่ทันทีที่เห็นอคินเดินเข้ามา เขาวางเอกสารลงและลุกขึ้นยืนเพื่อทักทาย
“เกิดอะไรขึ้นครับ คุณอคิน?” พีระถาม น้ำเสียงของเขาสุภาพแต่เจือด้วยความสงสัย
อคินนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่แววตาคมกริบของเขากลับฉายแววบางอย่างที่ยากจะอ่าน เขาหยิบเอกสารใบลาออกของนาราออกจากกระเป๋าเอกสาร วางลงบนโต๊ะตรงหน้าพีระ
“เธอยื่นลาออก” คำพูดนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนเรียบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วมันเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความหงุดหงิดที่ซ่อนอยู่
พีระเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาอ่านใจคนของเขาหยุดมองที่อคิน “เธอ… หมายถึง คุณนารา?”
“ใช่” อคินตอบสั้นๆ ก่อนจะขยับเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มือข้างหนึ่งวางบนโต๊ะในท่าทางที่ดูเหมือนผ่อนคลาย แต่จริงๆ แล้วนิ้วของเขากำลังเคาะเบาๆ ราวกับสะท้อนความคิดที่วิ่งวนอยู่ในหัว
“แล้วคุณจะทำยังไงครับ?” พีระถามต่อ น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนเป็นคำถามธรรมดา แต่ในใจกลับรู้ดีว่าเจ้านายของเขาไม่มีทางปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ
อคินมองเอกสารบนโต๊ะด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความลังเล แต่ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยว “ปล่อยเธอไปไม่ได้” เขาพูด น้ำเสียงนั้นหนักแน่น แต่กลับแฝงความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ
พีระขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามต่อ “เพราะเธอเป็นคนที่คุณไว้ใจที่สุด... หรือมีอะไรมากกว่านั้นครับ?”
คำถามนั้นทำให้อคินเงียบไปชั่วครู่ เขาหันมามองพีระ ดวงตาคมจ้องลึกลงไปเหมือนกำลังค้นหาคำตอบในตัวเอง “ฉันไม่รู้... แต่ที่ฉันรู้คือ เธอสำคัญกับฉันมากกว่าที่ฉันคิด”
พีระพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูด “ถ้าอย่างนั้น คุณอยากให้ผมจัดการอะไรครับ?”
อคินหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “เธอต้องกลับมา ฉันไม่สนว่าเธอจะรู้สึกยังไง เธอเป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจได้ ฉันจะทำให้เธอรู้ว่า การออกจากชีวิตฉันมันไม่ง่าย”
พีระนั่งฟังด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างอคินกับนาราอาจไม่ใช่แค่เรื่องของงานอีกต่อไป เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ผมจะดูแลเรื่องนี้ให้ครับ”
อคินลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับสูทของเขาให้เข้าที่ “ฉันไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าเธอมีทางเลือก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่แฝงไปด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อเขาเดินออกจากห้อง พีระมองตามด้วยสายตาครุ่นคิด เขารู้ดีว่าเรื่องนี้จะไม่ง่าย และเขาเองก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ความรู้สึกของอคินต่อเลขาสาวที่อยู่ด้วยกันมาสิบปีนั้นลึกซึ้งกว่าที่ตัวอคินเองจะยอมรับหรือไม่...