บทที่ 29
สนับสนุน
หลังจากที่ทำสัญญากันเสร็จแล้ว หลิวอ้ายเหรินก็นั่งรถมากับคุณนายซื่อเมย่เจ้าของร้าน ซึ่งคุณนายซื่อเมย่อาสามาส่งเธอ และก็ถือโอกาสมาเอาเสื้อผ้าที่ทำเสร็จแล้วด้วย
ช่วงเวลาที่นั่งคุยกันอยู่ในรถ เรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานเสื้อผ้า อ้ายเหรินก็เอ่ยขึ้นว่า
“ต่อไปคุณนายซื่อสามารถไปเอาเสื้อผ้าที่โรงงานหลิวได้เลยนะคะ” อ้ายเหรินบอกพร้อมเอาหมายเลขโทรศัพท์ของโรงงานให้คุณนายซื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ
“นี่คุณอ้ายเหรินคือลูกหลานตระกูลหลิว”
คุณนายซื่อเมย่เงยหน้าจากแผ่นกระดาษที่ประทับตราของโรงงาน มองหลิวอ้ายเหรินเต็มตา เพราะโรงงานแห่งนั้นเธอเองก็รู้จัก
“ใช่ค่ะ โรงงานนั้นเป็นของคุณพ่อฉันเอง” อ้ายเหรินภูมิใจมากเวลาเอ่ยถึงโรงงานของครอบครัว ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปิดบังอะไร
“แบบนี้นี่เอง คุณอ้ายเหรินถึงโดดเด่นและฝีมือดีมาก เพราะครอบครัวสนับสนุนนี่เอง”
นั่นทำให้คุณนายซื่อเมย่พอจะเข้าใจ ว่าอ้ายเหรินไปเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหน คงเพราะที่บ้านมีโรงงานผ้า และผลิตชุดนี่เอง
“ที่โรงงานมีผ้าแบบใหม่ตลอด ฉันถึงใช้ผ้าของโรงงานเอามาตัดเย็บเสื้อผ้าค่ะ” หลิวอ้ายเหรินไม่คิดจะปฏิเสธ เธอเอ่ยขอบคุณเป็นการยอมรับไปในตัว
คุณนายซื่อหวาดหวั่นกลัวฝีมือและการเจาะตลาดของหญิงสาวรุ่นลูกตรงหน้า นางจึงถามขึ้นว่า
“ในอนาคตคุณอ้ายเหรินจะเปิดร้านไหมคะ”
“มีความคิดนั้นค่ะ แต่คงต้องรอก่อน” อ้ายเหรินตอบไปแบบส่งๆ ไปอย่างนั้น
นั่นทำให้คุณนายซื่อเจ้าของร้านทำหน้าเศร้า เพราะถ้าอ้ายเหรินมีร้านเป็นของตัวเอง นั่นแสดงว่าเด็กสาวตรงหน้าต้องยกเลิกการค้านี้กับร้านค้าของเธอแน่..
“แต่ฉันจะทำร้านค้าค่ะ ไม่ขึ้นห้าง”
อ้ายเหรินรู้ว่าคุณนายซื่อกังวลอะไร จึงเอ่ยขึ้น เพราะเธอไม่ได้มีความคิดจะเปิดร้านค้าในห้างเลยสักนิด ฉะนั้นก็ไม่มีทางไปเป็นคู่แข่งกับ คนข้างๆ แน่นอน
“แล้วคุณจะยกเลิกสัญญากับเราไหม” คุณนายซื่อถามในสิ่งที่คาใจ
“ไม่ค่ะ ฉันยังจะคงออกแบบและส่งชุดให้คุณนายเหมือนเดิม เพียงแค่มีหน้าร้านเข้ามา แต่แบบชุดก็จะไม่ซ้ำกันค่ะ” อ้ายเหรินบอกคุณนายซื่อ
และยังให้ความมั่นใจแด่คุณนายซื่ออีกด้วย ว่าเธอจะไม่ทอดทิ้งร้านของคุณนายซื่อแน่ ถ้าคุณนายซื่ออยากร่วมงานกับเธอไปตลอด อ้ายเหรินบอกคุณนายซื่อแบบนั้น
“คุณอ้ายเหริน” คุณนายซื่อหันมามองเธอด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“ตอนนี้เราถือว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันนะ ต้องให้ใจกันค่ะ”
อ้ายเหรินยิ้มเวลาบอกคุณนายซื่อ
“นั่นสินะ เราเปรียบเสมือนหุ่นส่วนกันแล้วด้วย” คุณนายซื่อ พยักหน้ารับรู้..
และช่วงเวลาที่พวกเธอหยุดคุยกันนั้น รถของคุณนายซื่อก็เลี้ยวเข้าไปจอดตรงหน้าบ้านหลิว…
*****
ด้านแม่หลิวเมื่อได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาจอดที่หน้า นางก็เปิดประตูออกไปดู ซึ่งแม่หลิวแปลกใจที่เห็นลูกสาวคนรองลงจากรถ และมีผู้หญิง คนหนึ่งลงมายืนข้างๆ
“อ้ายเหริน กลับมาแล้วหรือลูก” แม่หลิวเรียกลูกสาว ทั้งที่ยืนก้มหัวทักทายผู้หญิงที่เดินตามลูกสาว
“คุณแม่” อ้ายเหรินก็เรียกแม่หลิว พร้อมก้มหัวทักทายแม่หลิวทุกครั้งเมื่อเห็นหน้ากัน
“เหนื่อยไหมลูก”
แม่หลิวถามลูกสาว เพราะนางรู้ว่าวันนี้ลูกสาวออกไปขายของ ซึ่งการขายของครั้งนี้ หลิวอ้ายเหรินได้สร้างความกังวลใจให้แม่หลิวมาก
“หนูไม่เหนื่อยค่ะ สนุกมาก คุณแม่ค่ะ นี่คุณนายซื่อเมย่ คุณนายซื่อนี่แม่ของฉันค่ะ” อ้ายเหรินยิ้มและเข้าไปกอดแม่หลิว และแนะนำให้แม่รู้จักแขกที่ตามมาด้วย
“สวัสดีค่ะฉันซื่อเมย่ เป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า กวงฮันค่ะ” คุณนายซื่อก้มหัวทักทายแม่หลิว
ซึ่งห้างสรรพสินค้ากวงฮัน ก็เป็นห้างของครอบครัวโฉโจเพื่อนของ จี้หยวนนั่นเอง
“สวัสดีค่ะ ฉันจินจิน เป็นแม่ของอ้ายเหริน” แม่หลิวก็ก้มหัวแนะนำตัวกลับเช่นกัน
“คุณนายซื่อมาเอาเสื้อผ้าค่ะคุณแม่” อ้ายเหรินบอกเมื่อเห็นท่าทีสงสัยของแม่
ด้านแม่หลิวยิ้มกว้างดีใจ รู้สึกโล่งอกที่กิจการของลูกสาวคนรองกำลังจะเริ่มต้นไปได้ดีอีกขั้นแล้ว แม่หลิวจึงรีบเอ่ยเชิญชวนแขกของลูกสาวเข้าบ้าน
“อ้อ จริงหรือ งั้นเชิญคุณซื่อเมย่เข้าไปในบ้านก่อนค่ะ เชิญๆ ค่ะ”…
ในห้องรับแขก..
เมื่อมาถึงห้องรับแขก อ้ายเหรินก็ฝากแม่หลิวให้ต้อนรับแขกแทนเธอ และก่อนที่เธอจะขึ้นไปเอาของข้างบน เธอก็หันมาบอกคุณนายซื่อว่า
“ตามสบายนะคะคุณนายซื่อ เดี๋ยวฉันขอขึ้นไปเอาของบนห้องก่อน”
“ค่ะ” คุณนายซื่อพยักหน้าให้อ้ายเหริน
ด้านแม่หลิวละสายตาจากแผ่นหลังของลูกสาวที่เดินขึ้นไปชั้นสอง นางหันมาเชิญแขกของลูกสาวแล้วเรียกสาวใช้
“เชิญนั่งก่อนค่ะคุณนายซื่อเมย่ เหลียนมานี่สิ”
เหลียนที่ทำงานอยู่ไม่ไกล เธอได้ยินแม่หลิวเรียกจึงรีบเข้ามาหา แล้วถามว่า “ค่ะคุณนาย”
“ไปเอาน้ำและของว่างมาต้อนรับแขกสิ” แม่หลิวบอกสาวใช้
“ค่ะคุณนาย” เหลียนรับคำแล้วรีบเดินถอยหลังออกไป
“คุณนายหลิวเลี้ยงลูกสาวได้ดีมากค่ะ คุณอ้ายเหรินเก่งและมีความสามารถมาก” เมื่อได้อยู่กันสองต่อสองคุณนายซื่อก็ชมเชยอ้ายเหรินกับแม่หลิว
“อ้ายเหรินชื่นชอบงานฝีมือพวกเย็บปักถักร้อย และยังชอบออกแบบเสื้อผ้าด้วยนะคะ” แม่หลิวยิ้มจนแก้มแตก เมื่อชื่นชมลูกสาว คนรองให้คนตรงหน้าฟัง
“ชุดที่คุณนายใส่ก็ฝีมือคุณอ้ายเหรินหรือคะ” คุณนายซื่อพยักหน้ายอมรับในความเก่งของอ้ายเหริน ซึ่งก็มองสำรวจชุดกระโปรงที่แม่หลิวใส่
“ใช่ค่ะ” แม่หลิวบอก เมื่อก้มมองชุดที่ตัวเองใส่ ซึ่งในแต่ละวัน นางจะใส่แต่ชุดที่ลูกสาวตัดเย็บให้
“ออกแบบเสื้อผ้าได้สวยและทันสมัยมาก ฉันไม่เคยเห็นเสื้อผ้าแบบที่คุณนายใส่เลย นี่เป็นแค่ชุดใส่อยู่ในบ้านยังสวยหรูขนาดนี้ แล้วถ้าชุดออกงานเลี้ยงจะสวยขนาดไหนนะ” คุณนายซื่อชื่นชมจากใจจริง
“สวยแน่นอนค่ะ อ้ายเหรินมีลูกค้าระดับๆ ทั้งนั้นนะคะที่มาตัดชุด คุณนายซื่อไม่เชื่อ ก็ดูรูปที่ถ่ายไว้ก็ได้ค่ะ” แม่หลิวบอกพร้อมเอาอัลบั้มให้คุณนายซื่อดู
ซึ่งอัลบั้มที่มีแต่รูปภาพการออกแบบชุดของลูกค้านี้ อ้ายเหรินได้ถ่ายเก็บไว้ และถึงแม้ว่าแม่หลิวและทุกคนจะสงสัย ว่าอ้ายเหรินไปเอากล้องถ่ายภาพนี้มาจากไหน แต่พวกเขาก็ไม่ถามหาให้เรื่องมันยุ่งยากและเป็นความลำบากใจของอ้ายเหริน ที่จะหาคำตอบให้กับครอบครัว..
“สวย ฝีมือคุณอ้ายเหรินนี้เยี่ยมเลิศมากค่ะ” คุณนายซื่อพูดละเมอ มือก็เปิดอัลบั้มดูรูปภาพ ซึ่งในรูปภาพก็มีแต่คนระดับสูงๆ ทั้งนั้นที่มาตัดชุดกับเธอ..
และช่วงเวลานั่งคุยกันอยู่นั่น เหลียนก็ถือถาดน้ำชาและขนมที่ อ้ายเหรินทำมาเสิร์ฟ
“น้ำชาค่ะคุณนาย” เหลียนบอก พร้อมวางถาดน้ำชาบนโต๊ะรับแขก
“อื้อ ขอบใจ ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง เหลียนขึ้นไปดู คุณอ้ายเหรินบนห้องหน่อยสิ” แม่หลิวยกมือห้าม แล้วสั่งให้สาวใช้ไปช่วยลูกสาวคนรองบนห้อง
“ค่ะคุณนาย” เหลียนทำตามแม่หลิวเดินถอยหลังออกไป..
เมื่อสาวใช้ออกไปแล้ว แม่หลิวก็หันมาเทน้ำชาให้คุณนายซื่อ
“ดื่มน้ำชากับขนมหน่อยนะคุณนายซื่อ”
“ขอบคุณค่ะ ขนมหน้าตาน่ากินจัง” คุณนายซื่อก็น้อมรับ พร้อมเอ่ยชมขนมที่แม่หลิวยื่นให้
“เชิญค่ะ” แม่หลิวยิ้มหวาน เมื่อได้บอกคุณนายซื่อว่าอ้ายเหรินเป็นคนทำขนม..
และช่วงเวลาที่คุยและดื่มน้ำชากันอยู่นั้น อ้ายเหรินและเหลียนก็เดินลงมา พร้อมกับถุงกล่องกระดาษที่บรรจุเสื้อผ้า
“…” คุณนายซื่อพูดไม่ออก เพราะนางตื่นตาตื่นใจกับความแปลกใหม่
ซึ่งอ้ายเหรินนำเสื้อผ้ามาใส่กล่อง ด้านหน้าของกล่องยังมีรูปโลโก้ แบรนด์ว่า ‘ซีซี’ เหมือนตอนที่เธอนำไปเสนอไม่ผิดเพี้ยน
“นี่คือจุดขายอีกอย่างของฉันค่ะ ป้องกันการลอกเลียนแบบ”
อ้ายเหรินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจ และเธอได้บอกคุณนายซื่อด้วยว่ากล่องใส่เสื้อผ้าสีม่วงตกแต่งด้วยผ้าลูกไม้สีขาว ก็เป็นเธอเองที่ออกแบบทั้งหมด ซึ่งในมิติของเธอมีทุกอย่าง ทั้งกล่องกระดาษเปล่าพวกนี้ และยังมีเครื่องพิมพ์ เครื่องสกรีนขนาดใหญ่อีกด้วย เธอจึงทำการออกแบบโลโก้ แบรนด์ และนำมาพิมพ์ใส่กล่องกระดาษพวกนี้ เพื่อทำให้แบรนด์ของเธอมีเอกลักษณ์จำเพาะ ป้องกันการลอกเลียนแบบ
“นี่ขนาดกล่องยังออกแบบได้เลิศหรูมีระดับมากคุณอ้ายเหริน”
คุณนายซื่อรู้สึกทึ่งกับหญิงสาวตรงหน้ามาก
“เสื้อผ้าทุกตัวจะต้องบรรจุลงกล่องที่ฉันทำค่ะ เพราะฉันอยากให้สินค้าของฉันมีความเป็นเอกลักษณ์ให้มากที่สุด” อ้ายเหรินอธิบายถึงความต้องการของเธอ
“ฉันคิดว่าสินค้าของคุณอ้ายเหรินต้องดังและตีตลาดได้เร็วๆ นี่แน่นอนค่ะ” คุณนายซื่อครั้งแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจนักหรอก พอมาเห็นของจริงแล้วนางเริ่มจะหวาดกลัว กลัวว่าสักวันถ้าอ้ายเหรินดังแล้ว นางจะถูกทิ้งให้ลอยแพ..
“ฉันก็มั่นใจค่ะ และคุณนายซื่อจะไม่ผิดหวังแน่ที่เอาเสื้อผ้าของฉันวางขายในร้านของคุณ” อ้ายบอกคุณนายซื่อ
แล้วหันไปสั่งเหลียนให้ขนของช่วยคนขับรถของคุณนายซื่อขนกล่องเสื้อผ้าขึ้นรถ..เมื่อขนเสื้อผ้าขึ้นรถเสร็จแล้ว คุณนายซื่อที่ยืนอยู่ข้างรถก็หันมาเอ่ยและก้มหัวให้สองแม่ลูก
“ฉันกลับก่อนนะคุณนายหลิว คุณอ้ายเหริน”
“ค่ะ” ซึ่งเป็นอ้ายเหรินเองที่ยืนอยู่ข้างแม่หลิว ก็เอ่ยคำลาแล้วก้มหัวให้คุณคุณนายซื่อ..
ด้านแม่หลิว เมื่อรถของคุณนายซื่อขับออกนอกรั้วบ้านแล้ว นางก็หันมาชื่นชมลูกสาวว่า “อ้ายเหรินลูกแม่ ลูกเก่งจริงๆ”
“คุณแม่” อ้ายเหรินยิ้มรับคำชมจากแม่ แล้วเธอก็เรียกแม่หลิวเสียงหวาน
“อ้ายเหรินมีอะไรหรือ” แม่หลิวถามลูกสาว ทั้งที่เกาะแขนของลูกเดินเข้าบ้าน
“คุณแม่พอจะรู้ไหมคะ ว่าโรงงานกระดาษอยู่ที่ไหน” อ้ายเหรินถาม
“โรงงานกระดาษรึ ต้องถามพ่อเรานะ แม่คิดว่าพ่อเราต้องรู้จักแน่” แม่หลิวทำหน้าครุ่นคิดเวลาบอกลูกสาว
“หนูอยากไปค่ะ” อ้ายเหรินบอกความต้องการ เพราะเธอไม่อยากใช้กล่องกระดาษที่มีอยู่ในมิติ
เพราะคงไม่ดีแน่ ถ้าเธอจะเอาออกมาใช้เรื่อยๆ ขนาดเธอเอากล้องออกมาจากมิติเพื่อถ่ายภาพชุดที่เธอตัดเก็บไว้ ยังเป็นเป้าสายตาของทุกคนในบ้านเลย นี่ถ้าขืนเอากล่องมาใช้ต่อ มีหวังต้องถูกซักถามแน่
“งั้นพรุ่งนี้ค่อยให้พ่อพาไปนะลูก” แม่หลิวบอกลูกสาว
“ขอบคุณคุณแม่ค่ะ” อ้ายเหรินยิ้มให้แม่
“พ่อกับแม่สนับสนุนอ้ายเหรินทุกอย่างอยู่แล้ว ลูกแม่อยากได้อะไรก็บอกแม่กับพ่อได้นะ” แม่หลิวมองลูกสาวด้วยสายตาภาคภูมิใจ
“หนูรักคุณแม่นะคะ” อ้ายเหรินกอดและหอมแม่หลิว
ด้านแม่หลิวก็กอดตอบ และยิ่งดีใจที่ได้ยินลูกสาวคนรองบอกรักเป็นครั้งแรก
“แม่ก็รักลูกนะ อ้ายเหริน”
“นี่คุณแม่ไม่ได้ไปโรงงานกับคุณพ่อหรือคะ” อ้ายเหรินผละออกจากอ้อมกอดเมื่อถามแม่หลิว
“แม่เป็นห่วงเราน่ะสิ เลยรออยู่ที่บ้าน” แม่หลิวบอกด้วยน้ำเสียงใจดี
“ขอบคุณที่เป็นห่วงหนูค่ะ” อ้ายเหรินกอดแม่หลิวอีกครั้ง
เมื่อความอบอุ่นที่ถูกส่งมาจากผู้เป็นแม่ ทำให้อ้ายเหรินรู้สึกดีและ รักแม่หลิวมากกว่าเดิม และความรักและสัมพันธ์ของเธอกับคนในครอบครัวตอนนี้ดีขึ้นมาก จนล้นออกนอกอก…