บทที่ 17 บอกทุกคนว่าจะทำอะไรต่อไป

2144 Words
บทที่ 17 บอกทุกคนว่าจะทำอะไรต่อไป และผ่านไปห้าโมงครึ่ง.. อ้ายเหรินเมื่อวัดตัวเพื่อนๆ ของน้องสาวเสร็จแล้วพวกเธอก็ขอตัวกลับ โดยที่ไม่ได้อยู่กินข้าวกับครอบครัวตามที่แม่หลิวชวน เพราะพวกเธอไม่ได้แจ้งทางบ้านไว้ เหม่ยเหมยเมื่อเดินไปส่งเพื่อนๆ แล้วก็เดินมาหาพี่สาว และเธอทั้งสองก็พากันเข้ามาในห้องอาหาร “เพื่อนๆ ละลูก” เมื่อเห็นลูกสาวเดินเข้ามาแค่สองคน แม่หลิวจึงถาม “กลับไปแล้วค่ะ” เหม่ยเหมยบอกแม่ เวลาเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงข้างพี่ใหญ่ ด้านอ้ายเหรินก็นั่งข้างแม่ที่มีพ่อหลิวนั่งข้างแม่เช่นกัน “แม่นึกว่าจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเสียอีก” แม่หลิวพูดขึ้น “คงไม่ได้บอกทางบ้านไว้มั้งครับ” เป็นจี้หยวนเองที่พูดขึ้น “ใช่แล้วค่ะ ไหน วันนี้มีอะไรกินเพื่อฉลองให้พี่รองบ้างคะ” เหม่ยเหมยยืนยันความเข้าใจของพี่ชาย แล้วมองสำรวจอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ “มีของโปรดของลูกทุกคนเลย” แม่หลิวบอก เพราะวันนี้นางพอมีเวลาเข้าครัวเลยทำอาหารให้กับลูกๆ กิน.. ตั้งแต่ลูกสาวคนรองเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม่หลิวก็ไม่ค่อยได้เข้าครัวทำอาหารให้ลูกๆ และสามีกินเลย เพราะลูกสาวคนรองจะเข้าครัวทำหมดทุกอย่าง “ว้าวว อาหารฝีมือของคุณแม่อร่อยสุดๆ ไปเลยค่ะ” เหม่ยเหมยพยักหน้ารัวๆ ราวไก่จิก เมื่อมองของโปรดที่แม่คีบให้.. ด้านพ่อหลิวสังเกตมองลูกสาวคนรองที่เอาแต่นั่งเงียบ แต่ใบหน้าสวยรูปไข่เต็มไปด้วยความสุข แล้วพ่อหลิวก็ยิ้มมีความสุขไปด้วย และ พ่อหลิวก็ถามลูกสาวคนรองว่า “เป็นยังไงบ้างอ้ายเหริน” “ก็ดีค่ะ” อ้ายเหรินยิ้มให้พ่อหลิว แล้วก้มหัวขอบคุณแม่หลิวที่คีบอาหารโปรดให้เธอ “เพื่อนๆ พากันเลือกซื้อชุดกับพี่รองคนละสองชุดค่ะ” เป็นเหม่ยเหมยเองที่ตื่นเต้นจนอดไม่ได้จึงบอกทุกคน เพราะนึก ไม่ถึงว่าเพื่อนๆ จะสั่งเยอะขนาดนั้น แม่หลิวได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองอ้ายเหริน แล้วถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “จริงเหรอลูก แล้วนี่อ้ายเหรินจะทำทันหรือ” “ก็ทำไปเรื่อยๆ ค่ะ” อ้ายเหรินยิ้มให้แม่หลิว เพราะงานที่เธอทำเป็นงานที่เธอรัก มันเลยดูง่ายและสบายมากสำหรับเธอ “อ้ายเหริน แม่จะถามอยู่ ชุดของน้องๆ ลูกจะทำยังไง เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่มีนี่” แม่หลิวถามเพราะสงสัย แค่ลำพังใช้มือเย็บคงไม่ไหวแน่ “คือว่า…” คำถามของแม่หลิว ทำให้อ้ายเหรินอ้ำอึ้ง ซึ่งเธอก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย เพราะในห้องนอนของเธอไม่มีอุปกรณ์การตัดเย็บเลย จึงไม่แปลกใจหรอกที่พ่อแม่จะสงสัย “นั่นสิ” จี้หยวนก็ถามเพราะสงสัยเช่นกัน แต่เขาก็ยอมรับว่าน้องรองเก่งมากที่เย็บชุดสวยทันสมัยแปลกตาให้เหม่ยเหมยใส่ได้เร็วมาก “หนูตัดเย็บด้วยมือค่ะ แต่หลังจากนี้ไป หนูคงต้องตามคุณพ่อคุณแม่ไปโรงงานทุกวันแล้วค่ะ” อ้ายเหรินบอกไปแบบไม่ได้ลงรายละเอียดลึกๆ ซึ่งคนได้ฟังยังไงก็รู้ว่าเธอมีความลับซ่อนอยู่ แต่ถ้าเธอบอกทุกคนไป ว่าเธอมีเครื่องไม้เครื่องมือและจักรเย็บผ้าไฟฟ้าที่ทันสมัยอยู่ในมิติของเธอล่ะก็ เธอต้องถูกทุกคน ตั้งคำถามและหาว่าเธอเสียสติไปแน่ “ได้สิลูก ที่โรงงานของเราก็มีจักรและเครื่องไม้เครื่องมือเย็บผ้า หรืออ้ายเหรินจะใช้ผ้าของโรงงานก็ได้นะ อยากได้อะไรก็บอกพ่อก็แล้วกัน พ่อจะให้เด็กที่โรงงานเตรียมไว้ให้” พ่อหลิวพร้อมที่จะสนับสนุนลูกสาว คนรอง และไม่อยากให้ลูกสาวอึดอัดใจ จึงรีบพูดขัดขึ้น ก่อนที่แม่หลิวจะถามอะไรมากกว่านี้ “ขอบคุณคุณพ่อค่ะ” อ้ายเหรินยิ้มให้พ่อหลิว ที่ดูว่าพ่อหลิวจะคอยช่วยเธอตลอดเวลา ที่เธอลำบากใจ ไม่อยากจะตอบคำถามของทุกคนที่สงสัยเธอมากนัก “แล้วอ้ายเหรินคิดราคายังไง” จี้หยวนถามรายได้ของน้องสาว “ตอนแรกพี่รองก็ไม่แน่ใจในราคาค่ะ เพื่อนๆ เลยเสนอให้คนละ พันหยวนค่ะ” เป็นเหม่ยเหมยอีกนั่นแหละที่พูดแทนอ้ายเหริน “พันหยวน!” พ่อหลิว แม่หลิว และจี้หยวนตกใจจึงร้องขึ้นพร้อมกัน “ค่ะ สองชุดพันหยวน หนูว่าคุ้มนะคะ” เหม่ยเหมยรีบบอกพ่อแม่และพี่ชาย “คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเลยละ นี่ก็ตกชุดละห้าร้อยหยวนเลยนะ” จี้หยวนบอกทุกคน เขาคิดถึงการเงินของแต่ละคนในยุคเศรษฐกิจปลายปี ค.ศ.1979 และจะขึ้นปี ค.ศ. 1980 อีกไม่กี่เดือนแบบนี้ เพราะถึงแม้ว่าประเทศจีนจะผ่านปฏิวัติไปได้ไม่นาน และมีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม แต่รายได้ของประชาชนก็ยังไม่ได้มากมายอะไร พนักงานโรงงานเงินเดือนขั้นต่ำตอนนี้ได้คนละร้อยยี่สิบหยวน ส่วนตัวเขาที่เป็นนายทหารยศร้อยเอก เงินเดือนไม่รวมสวัสดิการคูปองจากทางกองทัพและทางอื่นๆ ก็ได้แค่พันกว่าหยวนต่อเดือนเอง (นักเขียนสมมุติราคาขึ้นมาเอง) สำหรับผ้าที่โรงงานของบ้านหลิวตัดเย็บ ต้นทุนก็แค่ห้าสิบถึงแปดสิบหยวน และนำไปขายก็ได้กำไรแค่หกเจ็ดถึงร้อยหยวนเท่านั้น ราคาที่เพื่อนๆ ของเหม่ยเหมยให้กับอ้ายเหรินนั้นมันมากเกินไปสำหรับเด็กนักศึกษา ‘หึ! ลืมไปว่าเด็กพวกนั้นพ่อแม่รวยอยู่แล้ว’ จี้หยวนยกยิ้ม เมื่อนึกได้ว่าพ่อแม่ของเพื่อนๆ ของน้องสาวคนเล็กร่ำรวยได้ เพราะทำการค้าขายกับต่างชาติ แล้วถ้าจะเสียเงินแค่พันหยวน ขนหน้าแข่งของพวกเธอคงไม่ร่วงหรอก “นะ นี่มันราคาต่างจากชุดที่ขายตามร้านค้าเลยนะ” แม่หลิวเสียงสั่นเวลาพูด และนึกถึงร้านค้าขายเสื้อผ้าที่ส่วนใหญ่จะขายกันชุดละร้อยหยวน แพงสุดก็ร้อยห้าสิบหยวนเอง “แต่หนูว่ามันก็สมเหตุสมผลนะคะ เพราะชุดที่หนูทำคืองานฝีมือ หนูเย็บอย่างประณีต และหนูก็มั่นใจว่าไม่มีใครออกแบบเสื้อผ้าสวยงามและทันสมัยให้กับลูกค้าได้เหมือนหนูแน่นอน” อ้ายเหรินบอกทุกคน และอยากจะอธิบายให้ทุกคนรู้ว่างานเย็บผ้าของตัวเธอไม่ใช่งานตลาด แต่เป็นงานที่เย็บตัดจากมือที่เธอเรียนมาและ ยังทันสมัยด้วย “ลูกคิดจะทำร้านเสื้อผ้าใช่ไหม” พ่อหลิวถามขึ้น เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของลูกสาวคนรอง “ค่ะ แต่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ต้องช่วยหนู หนูจะจ่ายค่าผ้าที่เอาจากโรงงานมาใช้ด้วยค่ะ และหนูจะเก็บเงินสร้างแบรนด์เสื้อผ้าแล้วเปิดร้านเป็นของตัวเองเองค่ะ” อ้ายเหรินอธิบายให้ทุกคนเข้าใจในสิ่งที่เธออยากทำ และเธอจะช่วยกอบกู้โรงงานของครอบครัว และผ้าล็อตที่มีปัญหา เธอจะเป็นคนรับซื้อเอง “ฉันขอเป็นหุ้นส่วนด้วยนะคะพี่รอง” เหม่ยเหมยรีบยกมือขึ้น “เอาสิ” อ้ายเหรินพยักหน้าให้น้องเล็ก “พี่รองบอกฉันได้นะ จะให้ฉันทำอะไร” เหม่ยเหมยยิ้มแฉ่งให้พี่รอง “ช่วยเป็นนางแบบและช่วยหาลูกค้าให้พี่แค่นี้ก็พอแล้ว” อ้ายเหรินบอก พร้อมยกมือยีผมของน้องสาวเล่น “ได้เลยค่ะ” เหม่ยเหมยพยักหน้าให้พี่สาว ด้านหลิวจี้หยวน เมื่อเห็นน้องทั้งสองเล่นกัน เขาก็พูดขึ้นว่า “ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ” “พี่ใหญ่ต้องได้ช่วยฉันแน่นอนค่ะ” อ้ายเหรินบอกพี่ชาย “บอกมาเลยอยากให้พี่ช่วยอะไร” จี้หยวนถามน้องรอง “ไว้ให้ฉันทำงานเย็บผ้าให้สำเร็จก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะให้พี่ใหญ่พาฉันไปที่ค่ายทหาร” คำพูดของอ้ายเหรินทำให้ทุกคนหยุดกินข้าว ต่างพากันมองหน้า อ้ายเหรินอย่างหวั่นๆ เพราะทุกคนเข้าใจตรงกันว่าอ้ายเหรินจะต้องไปอาละวาดใส่เฉินหลงที่ค่ายทหารแน่นอน “จะไปทำไมลูกที่ค่ายทหาร อย่าไปเลยนะ” และเป็นแม่หลิวเองที่พูดขึ้น เพราะไม่อยากให้ลูกสาวคนรองไปที่ค่ายทหาร เธอไม่อยากให้ลูกสาวถูกใครต่อใครว่าตามตื๊อผู้ชาย “คุณแม่ค่ะ อย่ามองหนูด้วยสายตาแบบนั้นสิคะ หนูไม่ได้ไปหาเขาคนนั้นหรอกค่ะ” อ้ายเหรินพูด เพราะความรู้สึกของเธอในตอนนี้ไม่อยากจะเจอหน้าเขาด้วยซ้ำ ซึ่งคำพูดของอ้ายเหรินที่ฟังห่างเหินมากเวลาเรียกเฉินหลงว่า ‘เขา’ จึงทำให้จี้หยวนไม่เชื่อหูตัวเอง เขาจึงถามย้ำว่า “อะไรนะ เมื่อกี้นี้น้องรองเรียกเฉินหลงว่าเขาเหรอ” “ทำไมฉันจะเรียกเขาคนนั้นว่าเขาไม่ได้ละคะ” อ้ายเหรินถามพี่ใหญ่ “พี่ก็…” จี้หยวนไม่ทันได้อธิบายอะไร เขาก็ต้องเงียบ เมื่อน้องรองพูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ ไว้ค่อยคิดอีกที ว่าจะไปที่ค่ายทหารหรือว่าจะเชิญเพื่อนๆ ของพี่ใหญ่ แล้วท่านนายทหารทั้งหมด มากินอาหารที่บ้านเราดี” อ้ายเหรินไม่ตอบคำถามของพี่ชาย เพราะเธอไม่อยากนึกถึงเขา คนนั้น เธอจึงเลือกที่จะพูดเรื่องอื่น และคำพูดของอ้ายเหริน ยิ่งทำให้ทุกคนทำหน้างุนงง และเป็นพ่อหลิวเองที่ถามลูกสาวว่า “นี่อ้ายเหรินคิดจะทำอะไร” “คุณพ่อคุณแม่คงไม่ว่านะคะ ถ้าหนูจะทำอาหารปิ่นโตส่งขายให้กับสถานที่ต่างๆ” อ้ายเหรินบอกในสิ่งที่เธออยากทำ “อะไรคืออาหารปิ่นโตเหรอคะ” เหม่ยเหมยถามเพราะสงสัย ‘ตั้งแต่พี่สาวป่วยแล้วฟื้นขึ้นมานี่ พี่สาวชอบทำอะไรให้เธอแปลกใจอยู่ตลอดเวลา’ เหม่ยเหมยพูดในใจ เมื่อแอบมองหน้าพี่สาว “อาหารปิ่นโตก็คือ อาหารที่เราทำใส่กล่องข้าวเพื่อขายให้กับคนที่ชื่นชอบอาหารของเรา โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเปิดร้านยังไงล่ะคะ” อ้ายเหรินยิ้มให้ทุกคนแล้วอธิบายให้พ่อแม่พี่และน้องสาวฟังไปที ละข้อ เพราะเธอรู้ว่าทุกคนยังงงกับคำพูดของเธอ “ทำไมอ้ายเหรินฉลาดอย่างนี้นะ นี่ถ้าทำส่งขายที่ค่ายทหาร พี่ว่าต้องขายดีแน่ เพราะโรงอาหารในค่ายทหารพ่อครัวทำอาหารไม่อร่อยเลย และอีกอย่างนะ ถ้าทำขายส่งให้กับคุณหญิงคุณนายภรรยาของนายพล นายพันละก็ พี่ว่าต้องไปได้สวยแน่เลย” จี้หยวนก็บอกน้องรอง เมื่อเข้าใจในสิ่งที่น้องสาวอธิบายให้ฟัง “ยังไงฉันต้องพึ่งพี่ใหญ่แล้วค่ะ” อ้ายเหรินพยักหน้าให้พี่ใหญ่ เธอรู้ว่าจี้หยวนต้องหาลูกค้าระดับเจ้าคนนายคนระดับใหญ่ๆ ให้เธอได้แน่นอน “ถ้าอยากได้อะไรก็บอกพ่อนะอ้ายเหริน” ด้านพ่อหลิวก็สนับสนุนลูกสาวคนรองเต็มที่ “ขอบคุณค่ะ แค่คุณพ่อ คุณแม่ พี่ใหญ่ และน้องเล็ก สนับสนุนหนูอยู่เป็นกำลังใจให้หนู หนูก็ดีใจและมีแรงทำงานแล้วค่ะ” อ้ายเหรินบอกทุกคน ซึ่งในตอนนี้เธอรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก เธอยิ้มให้กับทุกคน แล้วคิดถึงพ่อแม่พี่ชายใหญ่และน้องเล็กในชาติที่จากมา ‘พ่อค่ะ แม่ค่ะ พี่ใหญ่ น้องเล็ก ยินดีกับฉันด้วยนะ ฉันได้มาเกิดใหม่ในครอบครัวใหม่ และทุกคนก็รักฉันเหมือนที่พ่อแม่รักฉัน’ อ้ายเหรินพูดในใจ เมื่อนึกถึงครอบครัวที่เธอจากมา อยากให้พวกเขารับรู้ว่าเธอมีชีวิตที่สุขสบายและมีความสุขมาก ที่ในเวลานี้กำลังทำตามความฝันที่อยากทำ...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD