บทที่ 10
โรงงานผ้า
ในรถ..
หลิวอ้ายเหรินนั่งอยู่ข้างแม่หลิวด้านเบาะหลังของรถ ที่ลุงจือเป็นคนขับ และมีพ่อหลิวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้างลุงจือ ท่าทางของหลิวอ้ายเหรินที่เอาแต่มองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจนั้นอยู่ในสายตาของแม่หลิว
“อ้ายเหริน เป็นไรลูก ทำไมมือเย็นจังลูก”
แม่หลิวเห็นลูกสาวเอาแต่มองข้างทาง นางจึงจับมือลูกสาว แล้วต้องตกใจ เมื่อมือของลูกมีแต่เหงื่อชื้นเต็มมือ
“ข้างทางสวยจังเลยค่ะ บ้านและตึกก็แปลกตามาก”
อ้ายเหรินละสายตาจากข้างทางหันมายิ้มให้แม่หลิว แล้วหันกลับไปมองข้างทางต่อ เพราะเธอมาจากยุคปัจจุบันที่แสนจะวุ่นวาย
แต่ในยุค 79 ปลายๆ ปีแบบนี้ บรรยากาศกลิ่นอายของยุคที่ไม่ค่อยมีรถยนต์ ซึ่งนานๆ ทีจะมีรถยนต์วิ่งสวนกัน นอกนั้นจะมีแต่จักรยานและ รถลากเท่านั้นเป็นยานพาหนะ
“…” คำพูดและท่าทีแปลกๆ ของลูกสาวคนรอง ทำให้แม่หลิวทำหน้ายุ่ง มองสบตาพ่อหลิวผ่านกระจกมองหลัง แล้วหันมองลูกสาวอย่างสงสัย
ด้านอ้ายเหรินเมื่อนึกได้ว่าเธอกำลังทำให้ทุกคนมองอย่างสงสัย เธอจึงยิ้มแห้งๆ แล้วถามแม่ว่า
“แล้วนี่อีกไกลไหมคะ จะถึงโรงงาน”
“อ้ายเหริน ไม่สบายหรือเปล่าลูก ทำไมถามอะไรแปลกๆ ปรกติ แม่ไม่เคยเห็นลูกสนใจมองข้างทาง แล้วทางไปโรงงาน ลูกก็รู้ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงถามว่าอีกไกลไหม”
คำถามของลูกสาวยิ่งทำให้แม่หลิวขมวดคิ้วมองหน้าลูกสาว แล้วหันไปมองสามีที่ขยับตัวหันมามองเธอ
“เปล่าค่ะ หนูแค่อยากถึงโรงงานเร็วๆ ค่ะ” อ้ายเหรินนึกขึ้นได้ เธอก็ยกมือปิดปาก แล้วรีบพูดแก้ตัวทันที
“อื้อ ใกล้แล้วละลูก โค้งข้างหน้านี้ก็ถึงโรงงานผ้าของเราแล้วละ”
เป็นพ่อหลิวเองที่หันมาคุยกับลูกสาวคนรอง เพราะไม่อยากให้ ลูกสาวลำบากใจไปมากกว่านี้…
สามสิบนาทีต่อมา..
รถของพ่อหลิวก็เคลื่อนตัวเข้ามาจอดที่ลานจอดรถส่วนบุคคลในโรงงาน
“ถึงแล้วลูก ลงมาเถอะ” พ่อหลิวบอกลูกสาวแล้วลงไปจากรถ โดยยังไม่เดินไปไหน เขากำลังรอสองแม่ลูกเพื่อจะเดินไปพร้อมกัน
หลิวอ้ายเหรินลงจากรถเมื่อลุงจือเปิดประตูให้ แล้วเธอก็ไปยืนข้างแม่หลิว พากันเดินตามหลังพ่อหลิว
ทุกย่างก้าวของอ้ายเหรินที่เกาะแขนของแม่หลิวเดินตามพ่อหลิวนั้น อยู่ในสายตาของพนักงาน ซึ่งต่างพากันมองหลิวอ้ายเหรินเป็นสายตาเดียวกันด้วยความแปลกใจ เนื่องจากไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาที่นี่บ่อยมากนัก
แต่หลิวอ้ายเหรินไม่สนใจสายตาของใครที่มองมา เธอเดินตาม พ่อและแม่หลิวไปเงียบๆ จนมาถึงที่ทางขึ้นไปห้องทำงานของพ่อหลิว ซึ่งสองสามีภรรยาหันมองหน้ากัน แล้วมองลูกสาวคนรอง
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” หลิวอ้ายเหรินถามขึ้น เมื่อเห็นท่านทั้งสอง เอาแต่มองเธอแต่ไม่ยอมพูดอะไร
“พ่อกับแม่จะขึ้นไปประชุม อ้ายเหรินจะไปด้วย หรือว่าจะเดินดูโรงงาน” พ่อหลิวเป็นคนถามขึ้น
เนื่องจากในวันนี้เขามีประชุมสำคัญ และภรรยาที่เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงงานมาด้วยกัน จึงต้องมารับฟังการประชุมครั้งนี้ด้วย
เพราะตอนนี้โรงงานอยู่ในขั้นวิกฤติ พ่อหลิวจึงเรียกทุกคนมาช่วยกันหาทางออก ไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ลูกสาวรู้ แต่เรื่องนี้ลูกๆ ของเขาไม่ควรมากังวลใจด้วย
“หนูขอเดินดูรอบๆ โรงงานดีกว่าค่ะ”
หลิวอ้ายเหรินพูดพร้อมทั้งมองไปรอบด้านของโรงงาน เพราะ เอาจริงๆ แล้ว ที่เธอมาที่นี่ เพราะตั้งใจมาดูการผลิตผ้าและเกรดผ้าของโรงงาน ไม่ใช่มาเพื่อฟังการประชุมที่น่าปวดหัวนั่น
คำตอบของลูกสาวทำให้สองสามีภรรยาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ซึ่งหลิวอ้ายเหรินไม่รู้เลยสักนิด จากนั้นทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไป
พ่อหลิวให้คนงานพาอ้ายเหรินเดินชมโรงงานและกำชับให้ดูแล อ้ายเหรินให้ดีๆ จากนั้นพ่อหลิวและแม่หลิวก็ขึ้นไปชั้นบนเพื่อประชุม…
ด้านอ้ายเหรินเดินไปยังแผนกผลิตผ้าและแผนกต่างๆ ในโรงงานเพื่อศึกษารูปแบบของผ้าด้วยความสนใจ เธอเห็นเครื่องจักรแบบเก่า เธอก็เข้าไปดูด้วยความสนใจ
อ้ายเหรินยอมรับว่าโรงงานของครอบครัวมีผ้าหลากหลายรูปแบบมากมาย ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
‘แบรนด์เสื้อของเราในอนาคต คงไม่ยุ่งยากแน่’ อ้ายเหรินยิ้ม มุมปาก เมื่อนึกถึงแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองในใจคนเดียว
แต่พอเข้ามาในห้องเก็บผ้า เธอก็เหลือบตาไปเห็นกองผ้าขนาดใหญ่ที่ติดป้ายไว้ว่า ว่าง ทั้งที่กองอื่นมีเล็กน้อยแต่ติดป้ายร้านผ้าของเจ้าอื่น ไปหมดแล้ว
“นี่ผ้าอะไรคะ” หลิวอ้ายเหรินเข้าไปใกล้ๆ แล้วหันไปถามคนงานที่ เดินตามเธอ
“เอ่อ” พนักงานคนนั้นก็มีท่าทีอึกอัก ไม่กล้าบอก
นั่นทำให้อ้ายเหรินสงสัยเป็นอย่างมาก เธอจึงมองอีกฝ่ายด้วยสายตากดดัน พยักหน้าให้คนงานเล่าเรื่องกองผ้าใหญ่ๆ นี้ให้เธอฟัง
“เป็นผ้าที่ถูกสั่งไว้แล้วโดนยกเลิกค่ะ”
เพราะความกดดันจากสายตาแข็งๆ ทำให้คนงานยอมเปิดปากพูดให้อ้ายเหรินฟัง
“อะไรนะ”
นั่นทำให้อ้ายเหรินตกใจเป็นอย่างมาก เพราะผ้ากองนี้เป็นผ้าเกรดดี และยังมีจำนวนมาก
“แล้วเมื่อก่อนผ้ากองนี้เป็นของใคร ทำไมเขาถึงยกเลิกละ ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ”
อ้ายเหรินถามเป็นข้อๆ เพราะว่าผ้าจำนวนมากขนาดนี้ต้องมีสัญญา แต่ทางนั้นกลับยกเลิกแบบนี้เลยเหรอ และที่สำคัญ ผ้ากองนี้ยังไม่มีเจ้าของ ไม่รู้ว่าทางโรงงานจะเสียหายแค่ไหน
“เป็นลูกค้าประจำที่เปลี่ยนไปสั่งกับโรงงานอื่นที่ถูกกว่าค่ะ เพราะความไว้ใจ คุณหลิวจึงไม่ได้เข้มงวดกับลูกค้ารายนี้ค่ะ” คนงานบอกเสียงอ่อยๆ
เมื่อได้ยินคำพูดของคนงาน อ้ายเหรินอยากจะบ้าตาย เธอหยิบผ้าพวกนั้นมาดู ลูบสัมผัสเนื้อผ้าพวกนั้นแล้วเธอก็เบิกตากว้างยิ้มออกมา ด้วยดวงตาเป็นประกาย เมื่อพูดคนเดียวในใจว่า
‘คิดออกแล้วว่าเราจะทำอะไรกับกองผ้าพวกนี้ เราจะสร้างแบรนด์ด้วยผ้าพวกนี้’
“คุณหลิวอ้ายเหรินค่ะ” คนงานเห็นอ้ายเหรินยืนยิ้มคนเดียว เธอจึงเรียกเบาๆ
“อะไร” อ้ายเหรินวางผ้าไว้ที่เดิม พร้อมทั้งขานรับ แต่ไม่ยอมหันมองคนงาน
“จะไปดูเครื่องจักรทางโน้นไหมคะ” คนงานถามอย่างเกร็งๆ
“ไม่ ฉันจะไปห้องทำงานคุณพ่อ”
อ้ายเหรินบอกพร้อมเดินย้อนกลับไปทางเดิม ซึ่งคนงานก็เดินตามขึ้นไปชั้นบน จนถึงหน้าห้องทำงานของพ่อหลิว
“งั้นฉันไปทำงานนะคะ” คนงานบอกเมื่อมาถึงห้องทำงานของเจ้านายใหญ่
“อื้อ ขอบใจนะ ที่พาชมโรงงาน” อ้ายเหรินพยักหน้าให้คนงาน
“ค่ะ” คนงานขานรับแล้วเดินลงบันไดไปชั้นล่างเพื่อทำงาน
ส่วนอ้ายเหรินเมื่อคนงานลงไปแล้ว เธอก็เปิดประตูห้องทำงานของพ่อหลิว ซึ่งเธอเดินเข้ามายืนอยู่กลางห้อง สายตาตื่นเต้นก็มองไปรอบห้อง แล้วไปสะดุดกับกองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะทำงานของพ่อหลิว
เธอจึงเดินไปยืนข้างโต๊ะทำงาน เห็นรายงานการประชุม เอกสารที่น่าปวดหัว และแล้วสายตาของเธอก็เห็นเอกสารที่จ่าหน้าซองจากธนาคาร
ด้วยความสงสัยอ้ายเหรินจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู และเนื้อหาข้างในเอกสารทำให้หลิวอ้ายเหรินยืนนิ่งไปชั่วครู่
แกรก!..
เสียงเปิดและปิดประตูห้องและมีคนเดินเข้ามา ทำให้อ้ายเหรินที่ยืนมองเอกสารนั้นต้องหันหลังไปมอง ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พ่อแม่ของเธอนั่นเอง
“คุณพ่อคุณแม่” อ้ายเหรินเรียกท่านทั้งสอง
“อ้ายเหริน”
พ่อหลิวในตอนแรกท่านมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า แต่พอเห็นหน้าลูกสาวคนรอง ชายชรากลับยิ้มให้ลูกสาว ซึ่งพ่อหลิวทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียอย่างนั้น
“ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะ”
หลิวอ้ายเหรินแกล้งถาม เพราะความจริงแล้วเธอรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นพ่อและแม่มีสีหน้าไม่สู้ดีเลย
‘สงสัยโรงงานมีปัญหาแน่เลย’ อ้ายเหรินพูดคนเดียวในใจ
“อ้ายเหรินมารอพ่อกับแม่นานแล้วเหรอลูก” เป็นแม่หลิวเองที่เดินเข้าไปหาลูกสาว แล้วเอาเอกสารในมือของลูกมาเก็บไว้ในแฟ้ม
“เพิ่งมาค่ะ” อ้ายเหรินบอก พร้อมทั้งแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจเอกสารของธนาคารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงาน
“อื้อ เป็นไงละโรงงานของเรา”
พ่อหลิวยิ้มให้ลูกสาวทั้งที่ข้างในใจเหน็ดเหนื่อยและท้อบ้างเป็นบางครั้ง…
เวลาเก้าโมงเช้า ที่ค่ายทหาร..
หลิวจี้หยวนเมื่อไปส่งน้องสาวคนเล็กแล้ว เขาก็ขับรถมาถึงค่าย ก็เป็นเวลาเก้าโมงเช้า ซึ่งเขาเดินขึ้นไปยังห้องทำงานของเขา และระหว่างนั้น ก็เดินผ่านกับฉางเฉินหลงพอดี
และท่าทางรีบเร่งของฉางเฉินหลง ทำให้จี้หยวนทักทายสหายรักทันที “นั่นแกจะไปไหน”
“ท่านนายพลเรียกฉันไปพบน่ะ”
เฉินหลงจึงตอบกลับมาแล้วจะเดินผ่านไป แต่แล้วเขาก็หยุดชะงัก และแอบมองกล่องปิ่นโตในมือของหลิวจี้หยวนอย่างสงสัย
“ท่านนายพลเรียกแกให้ไปพบ มีอะไรหรือเปล่า”
จี้หยวนถาม พร้อมทั้งเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา และก่อนที่เขาจะนั่ง เขาก็วางกล่องข้าวไว้บนโต๊ะทำงาน
“นั่นอะไร”
เฉินหลงไม่ตอบคำถามของเพื่อนรัก แต่เขากลับถามและไม่ยอม ละสายตาจากกล่องข้าว ถึงแม้จะรู้ว่ามันคือกล่องข้าว และต้องมีข้าวอยู่ในกล่องแน่ แต่เขาก็มีความสงสัย เพราะปกติแล้วจี้หยวนไม่เคยนำข้าวมากิน เนื่องจากที่ค่ายทหาร มีโรงอาหารให้เฉพาะอยู่แล้ว
“อ๋อ นี่กล่องข้าว อ้ายเหรินทำให้ฉันเอามากินที่ค่ายน่ะ”
จี้หยวนบอกสหายรัก แล้วมองกล่องข้าวอย่างภาคภูมิใจ เพราะดีใจที่น้องรองทำให้เขาเอามากินที่ค่ายเป็นครั้งแรก
“…” เฉินหลงไม่ตอบโต้
แต่คำพูดของสหายบอกว่าหลิวอ้ายเหรินเป็นคนห่อข้าวให้จี้หยวนเอามากินตอนพักเที่ยงนั้น เหมือนเป็นระเบิดโยนลงกลางหัวของเฉินหลง จนเขายืนงง สายตาสีเข้มนิ่งๆ จ้องกล่องข้าว
จี้หยวนเห็นเพื่อนรักยังยืนจ้องกล่องข้าว เขาจึงถามว่า
“แกมีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มี” เฉินหลงส่ายหน้าไปมาเป็นคำตอบ
“ไม่มีอะไรก็รีบไปหาท่านนายพลสิ ถ้าให้ท่านรอนาน เดี๋ยวแกก็ถูกท่านตำหนิเอาได้นะ” หลิวจี้หยวนพูดพร้อมทั้งโบกมือไล่ แล้วหยิบงานที่อยู่ในลิ้นชักโต๊ะเอาออกมาทำงาน
“อื้อ”
ด้านเฉินหลงพยักหน้าให้เพื่อน แล้วรีบเดินตรงไปยังห้องทำงานของท่านนายพล ด้วยสีหน้างุนงง เมื่อนึกถึงภาพอ้ายเหรินยืนทำอาหาร
‘หึ! สภาพคุณหนูขี้วีนเอาแต่ใจ ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสำเร็จสักทีอย่างเธอเนี่ยนะ จะทำอาหารเป็น บ้าชะมัด’
ฉางเฉินหลงถามและตอบคำถามคนเดียวในใจ…