บทที่ 7
ซื้อหนังสือ
เช้าวันใหม่ที่ห้องอาหาร..
อาการนั่งกินข้าวยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของน้องเล็ก ทำให้หลิวจี้หยวนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งเขาวางหนังสือแล้วจิบกาแฟ พร้อมถามน้องเล็กว่า
“วันนี้ทำไมน้องสาวของพี่ดูอารมณ์ดีจัง”
“พี่ใหญ่รู้แล้ว ต้องดีใจกับหนูแน่ค่ะ”
หลิวเหม่ยเหมยเงยหน้ามองพี่ใหญ่แล้วยิ้มดีใจ เมื่อนึกถึงเวลาที่ต้องเดินคู่กับพี่สาวไปในเมือง
“เรื่องอะไร ไหนบอกพี่สิ พี่อยากดีใจด้วยจัง” หลิวจี้หยวนทำท่าอยากรู้ แล้วถามน้องเล็ก
“วันนี้หนูจะไปข้างนอกกับพี่รองค่ะ” เหม่ยเหมยตอบกลับไปด้วยใบหน้าขี้เล่น
“แครกก” คำพูดของเหม่ยเหมยทำให้หลิวจี้หยวนไอสำลักกาแฟจนหน้าตาดำหน้าแดง
“พี่ใหญ่เป็นอะไรมากไหมคะ หนูพูดอะไรผิดเหรอคะ ทำไมพี่ใหญ่ต้องสำลักกาแฟด้วยค่ะ” หลิวเหม่ยเหมยรีบเอาผ้าให้พี่ใหญ่เช็ดปาก
“แครกก พะ พี่ฟังไม่ผิดใช่ไหม” หลิวจี้หยวนทั้งไอและถามน้องเล็กอีกครั้ง
“ไม่ผิดหรอกค่ะ วันนี้หนูกับพี่รองจะไปในเมืองกันค่ะ” หลิวเหม่ยเหมยบอกพี่ชาย
เสียงไอของลูกชายผสมเสียงพูดเจื้อยแจ้วของลูกสาวคนเล็ก ทำให้พ่อหลิวและแม่หลิวที่เดินเข้ามาในห้องอาหารได้ยิน แต่ได้ยินไม่ถนัด แม่หลิวจึงถามลูกสาวคนเล็กว่า
“เมื่อกี้นี้เหม่ยเหมยพูดอะไรนะ แม่ได้ยินไม่ถนัด ใครจะไปไหนกับใครเหรอลูก”
“นั่นสิ เมื่อกี้เหม่ยเหมยว่าใครจะไปในเมืองด้วยหรือ” พ่อหลิวก็ถามลูกคนเล็ก พร้อมเลื่อนเก้าอี้ให้แม่หลิวนั่ง
“เหม่ยเหมย น้องจะออกไปข้างนอกกับอ้ายเหรินอย่างนั้นหรือ” เป็นหลิวจี้หยวนที่ยังไอสำลักกาแฟไม่หายสักที แต่ก็ถามน้องสาวอีกครั้ง
“ค่ะ พี่ใหญ่มีอะไรเหรอคะ” หลิวเหม่ยเหมยจึงพยักหน้ารับ แล้วหันไปยิ้มหวานให้พ่อกับแม่ ที่นั่งรอฟังคำตอบจากเธอ
“เปล่าหรอก พี่แค่สงสัยน่ะ” หลิวจี้หยวนไม่อยากพูดทำลายน้ำใจของน้องเล็กที่กำลังดีใจอยู่ เพราะการที่อ้ายเหรินจะออกไปไหนมาไหนกับหลิวเหม่ยเหมยนั้นเป็นไปได้ยากมาก เขาจึงไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองสักเท่าไร
“นี่เหม่ยเหมยพูดจริงเหรอ อ้ายเหรินจะไปในเมืองกับลูกเหรอ”
แม่หลิวถามลูกสาวคนเล็ก นางไม่อยากเชื่อเลย เพราะปรกติแล้วอ้ายเหม่ยจะไม่ยอมไปไหนมาไหน หรือทำดีกับเหม่ยเหมยเลย
“ค่ะแม่ จะไปซื้อหนังสือกันค่ะ” เหม่ยเหมยบอกแม่หลิวอย่างดีใจ
“หะ ซื้อหนังสือ” แม่หลิวอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เหม่ยเหม่ยก็พยักหน้ารับเพื่อยืนยันคำตอบ
“ต้องมีอะไรผิดปรกติแน่ๆ เลยคุณ อ้ายเหรินอ่านหนังสือด้วยเหรอ”
แม่หลิวหันไปคุยกับสามี เพราะรู้ว่าลูกสาวคนรองไม่ชอบอ่านหนังสือ และไม่ชอบเข้าร้านหนังสือด้วยซ้ำ
“คุณอย่าคิดมากเลย อ้ายเหรินไม่ได้เป็นอะไรหรอก หมอก็บอกเราแล้วไง ว่าสมองของลูกดีทุกอย่างไม่ได้กระทบอะไรเลย ผมคิดว่าลูกสาวเราอาจจะคิดได้แล้วถึงทำตัวดี น่ารัก และยังทำดีกับทุกคน”
พ่อหลิวบอกภรรยาให้คิดในแง่ดีไว้ และถ้าลูกสาวคนรองจะปรับปรุงนิสัยให้ดีขึ้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่
‘เป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ’ พ่อหลิวนึกในใจ
“นั่นสิคะ ฉันคงคิดมากไปเอง”
แม่หลิวพยักหน้าให้สามี และช่วงเวลาที่กำลังจะคีบอาหารให้สามีนั้น แม่หลิวก็หันหลังไปมองตามเสียงของเหม่ยเหมย
“พี่รองมาแล้ว”
หลิวเหม่ยเหมยเมื่อเห็นพี่รอง เธอก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปหาพี่สาว จนทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร หันไปมองอ้ายเหม่ยในร่างอ้ายเหรินเป็นสายตาเดียว
ซึ่งสีหน้าแต่ละคนมีความตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากอ้ายเหรินไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้มาก่อน นอกจากวันที่ต้องไปตามเฝ้าเฉินหลงที่ทำงาน อ้ายเหรินก็จะตื่นเช้า และออกจากบ้านทันที ไม่ยอมมานั่งกินอาหารเช้าร่วมกับครอบครัวแบบนี้
ด้านจางอ้ายเหม่ย เธอรู้สึกไม่เป็นตัวเองเมื่อถูกมอง และเธอไม่รู้จะเอ่ยทักทายครอบครัวใหม่ยังไงดี จึงนั่งลงข้างๆ เหม่ยเหมย แล้วก้มหัวทักทาย ก้มหัวให้พ่อหลิว แม่หลิว รวมถึงพี่ชายด้วย
“มีอะไรให้หนูกินบ้างคะ” อ้ายเหม่ยยิ้มให้ทุกคนแล้วก้มมองอาหารบนโต๊ะ
“มะ มีของโปรดของลูกทั้งนั้น อ้ายเหรินจะกินอันไหนดี บอกพ่อสิ เดี๋ยวพ่อตักให้” พ่อหลิวรีบบอก และตั้งท่าจะคีบอาหารให้ลูกสาวคนกลาง
“ค่ะ” อ้ายเหม่ยพยักให้พ่อหลิว เมื่อพ่อหลิวคีบเป็ดย่างให้
“กินเยอะๆ นะลูกแม่” ด้านแม่หลิวก็รีบตักโจ๊กให้ลูกสาวคนกลางอย่างรีบร้อน..
และอาหารมื้อเช้าวันนี้ ก็เต็มไปด้วยความอึดอัด
จางอ้ายเหม่ยแทบจะร้องไห้ เธอกินข้าวไม่ลงจริงๆ ที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากครอบครัวนี้ แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงไม่กล้าคุยกับคนในบ้าน โดยที่ตัวเธอเองไม่ต้องเกร็งขนาดนี้ก็ได้…
หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว อ้ายเหม่ยและเหม่ยเหมยก็พากันมาที่ร้านค้าขนาดใหญ่ของรัฐ เหม่ยเหมยแม้จะกังวลว่าพี่รองจะหงุดหงิดใส่ แต่เธอก็ชวนพี่สาวคุย
“พี่รองค่ะ” เหม่ยเหมยเรียก พร้อมจับมือพี่สาวไว้
“มีอะไรเหรอ” อ้ายเหม่ยถาม
“แวะร้านหนังสือก่อนดีไหมคะ แล้วค่อยเดินหาซื้อของกัน” หลิวเหม่ยเหมยถามพี่ร้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไปสิ” อ้ายเหม่ยพยักหน้าให้น้องเล็กเดินนำหน้า
“…” และคำตอบของพี่รองนั่น ทำให้เหม่ยเหมยพูดไม่ออก เพราะเธอนึกว่าจะโดนพี่สาวต่อว่าเสียอีก ที่ชวนไปร้านหนังสือ
“นำทางพี่สิ ไปทางไหนเหรอร้านหนังสือ”
อ้ายเหม่ยเห็นน้องเล็กยังยืนทำหน้าเลิ่กลั่ก เธอจึงยกมือขึ้นดีดนิ้วใส่น้องสาว
“ค่ะ” ด้านเหม่ยเหมยสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เธอขานรับแล้วรีบเดินนำหน้าพี่รองไปที่ร้านหนังสือทันที…
ในร้านหนังสือ…
ทั้งสองคนเดินเข้ามาในร้านหนังสือ หลิวเหม่ยเหมยก็ขอตัวไปเลือกหาหนังสือที่ตนเองอยากได้
ส่วนอ้ายเหม่ยก็เดินไปรอบร้าน จนมาหยุดอยู่ที่แผนกหนังสือศิลปะ เธอเลือกหนังสือที่เกี่ยวกับการออกแบบมาสองสามเล่ม เพื่อเป็นข้ออ้างในการอยากจะทำอะไรสักอย่าง เธอถือหนังสือไปจ่ายเงิน และยืนรอน้องเล็กที่หน้าร้าน
ไม่นานหลิวเหม่ยเหมยก็ออกมา พอเห็นว่าพี่สาวถือถุงหนังสือก็ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก เพราะกลัวว่าพี่สาวจะอารมณ์เสียใส่ จากนั้นทั้งสองก็ไปเดินเที่ยวเล่นรอบห้าง หลิวเหม่ยเหมยมองพี่สาวด้วยความแปลกใจ เพราะปกติแล้วเวลาที่หลิวอ้ายเหรินมาที่ห้าง เธอจะซื้อของกลับไปมากมาย เพียงแต่วันนี้ กลับไม่แวะซื้ออะไรสักอย่างนอกจากหนังสือ ซึ่งเธอไม่รู้ว่าเป็นหนังสืออะไร
“มีอะไรเหรอ”
อ้ายเหม่ยรับรู้ได้ถึงสายตาของน้องเล็กที่มองเธออย่างสงสัย เธอจึงหันไปถาม เพราะไม่อยากให้ความรู้สึกค้างคาใจ
การสร้างความสัมพันธ์กับครอบครัว คนแรกที่เธอควรจะพูดคุยด้วย คือน้องเล็กนี่แหละ
“พี่รองไม่แวะซื้อเสื้อผ้าเหรอคะ?” หลิวเหม่ยเหมยถามขึ้น เมื่อเดินผ่านร้านเสื้อประจำของพี่สาว
นั่นทำให้อ้ายเหม่ยนึกขึ้นได้ ว่าปกติแล้วหลิวอ้ายเหรินคนก่อนใช้เงินเหมือนกระดาษ มาห้างแต่ละครั้ง ก็จะหอบของกลับบ้านไปไม่น้อย
“อื้ม พี่กำลังมองหาร้านนะ”
อ้ายเหม่ยทำเป็นมองหาร้านที่ต้องการซื้อ จนสายตาไปสะดุดที่ร้านเสื้อผ้าผู้หญิงร้านหนึ่ง เธอจึงชี้ไปที่ร้านนั้น “ไปร้านนั้นดีกว่า”
“งั้นไปกันค่ะ” เหม่ยเหมยรีบคว้ามือพี่รองมากุม แล้วพาเดินไปที่ร้านขายเสื้อผ้าที่พี่สาวชี้บอก
“ทำไมผ้าไม่มีคุณภาพเลย”
อ้ายเหม่ยบ่นคนเดียวแล้วทำเป็นเลือกเสื้อผ้า แต่ก็ต้องส่ายหน้าไปมา เพราะแบบเสื้อผ้าพวกนี้ไม่ใช่รสนิยมที่เธอชอบใส่เลย แต่ละชุดสีดูฉูดฉาดมาก เธอจึงทำเป็นเลือกมาเพียงแค่สองสามชุด แต่เงินที่จ่ายไปเล่นเอาปาดเหงื่อเลยทีเดียว เพราะเสื้อผ้าไม่สมกับราคาที่จ่ายเลยสักนิด
“แค่สามชุดพอเหรอคะพี่รอง” เหม่ยเหมยถาม
เพราะปรกติแล้วพี่รองชอบซื้อเสื้อผ้าและของใช้พวกเครื่องสำอางมาก แม้แต่รองเท้าที่มีอยู่เต็มตู้พี่รองก็ยังซื้อ
“อื้อ” อ้ายเหม่ยพยักหน้าให้น้องเล็ก เธอเดินไปที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน
“เท่าไรคะ” เหม่ยเหมยถามแม่ค้า
“ห้าร้อยหยวนค่ะ” แม่ค้าบอก
“…” ด้านอ้ายเหม่ยไม่ตอบแต่เธอทำตาโตเมื่อได้ยินราคาเสื้อผ้า
นี่มันเกินไปแล้ว ราคาเสื้อผ้าไม่สมกับคุณภาพเนื้อผ้าเลยสักนิด คิดแล้วก็แทบจะอยากเดินหนี ไม่ซื้อมันแล้ว แต่ก็มีสายตาของน้องสาวมองมาอยู่ จางอ้ายเหม่ยจึงได้แต่กัดฟันจ่ายเงินไป ทั้งที่ซื้อไปคงไม่ได้ใส่..
จากนั้นทั้งสองก็เดินต่ออีกสักพัก เพียงแต่อ้ายเหม่ยในร่างอ้ายเหรินนั้นไม่ยอมซื้ออะไรอีก แม้น้องสาวจะถาม
จางอ้ายเหม่ยไม่อยากเสียเงินอีกแล้ว ใครจะสงสัยก็สงสัยไปเถอะ
เธอไม่ยอมเสียเงินให้กับของที่ไม่มีคุณภาพพวกนี้เด็ดขาด…