บทที่ 6
ตึกสามชั้นของหลิวอ้ายเหริน
เวลาค่ำที่บ้านหลิว..
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านหลิว ก็ได้เวลาอาหารค่ำพอดี โดนพ่อหลิวได้สั่งให้คนจัดเตรียมอาหารไว้มากมาย
“มา มาถึงเหนื่อยๆ กินข้าวกันก่อนค่อยขึ้นไปพักผ่อน” พ่อหลิวบอกพร้อมกับเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร
“ไปลูก ไปกินข้าวกัน อ้ายเหริน” แม่หลิงประคองอ้ายเหม่ยเดินตามไปที่ห้องอาหาร โดยที่เหม่ยเหม่ยขอเอาของขึ้นไปเก็บให้พี่สาวรองก่อน
ในห้องอาหารบ้านหลิว ซึ่งในขณะนี้มีพ่อหลิว แม่หลิว จี้หยวนและ เหม่ยเหมยนั่งพูดคุยกัน และก็มีจางอ้ายเหม่ยในร่างหลิวอ้ายเหริน ที่นั่งเงียบฟังทุกคนพูดคุยกันอยู่ ซึ่งเธอไม่ยอมพูดอะไร
“กินเยอะๆ นะลูก”
แม่หลิวใช้ตะเกียบคีบอาหารให้บุตรสาวคนกลางที่เพิ่งหายป่วยและลงมากินข้าวพร้อมหน้ากันเป็นมื้อแรก หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล
“ขอบคุณค่ะ” อ้ายเหม่ยก้มหัวให้แม่หลิว แต่ก็ต้องชะงักไปสักพักแล้วยิ้มให้ผู้เป็นแม่ ซึ่งกิริยาท่าทางอ่อนน้อมของอ้ายเหม่ย ที่ทุกคนคิดว่าเป็นอ้ายเหรินนั่น ทำให้ทุกคนมองหน้ากันอย่างสงสัย
“เป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นไหม หรือว่าถ้ายังปวดหัวอยู่ บอกพ่อได้นะ ถ้ายังปวดหัวอยู่ พ่อจะตามหมอให้มาดูอาการของลูก”
พ่อหลิวเป็นห่วงลูกสาวคนรองจึงถาม ถึงจะแปลกใจ แต่นี่ก็เป็นสิ่ง ที่ดี ที่ลูกสาวปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองได้ โดยที่เขาไม่ต้องตักเตือนให้เสียเวลา
“หนูไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
อ้ายเหม่ยบอกผู้ชายที่ดูใจดีและแสดงตัวว่าเป็นพ่อของเธอ ซึ่ง ชายแก่ตรงหน้านี้เธอก็เคยเห็นในความฝัน รวมทั้งพี่ใหญ่และน้องเล็กด้วย
“อื้ม” พ่อหลิวยิ้มให้ลูกสาวคนกลาง ถึงจะสงสัยในกิริยาของลูก
“…” ด้านอ้ายเหม่ยไม่พูด เมื่อนึกถึงโรงพยาบาลเธอก็กลัวและเกลียดโรงพยาบาลตั้งแต่ชาติที่แล้ว เธอตั้งมั่นว่าต่อไปนี้จะไม่ขอไปเหยียบที่โรงพยาบาลอีกอย่างแน่นอน
“ถ้าไม่เป็นไรแล้ว พ่อก็ดีใจนะลูก” พ่อหลิวยิ้มให้ลูกสาวคนรอง
ถึงจะยังแปลกใจที่ลูกสาวใช้สรรพนามใหม่ เพราะเมื่อก่อนลูกจะใช้ ‘ฉัน’ กับพ่อแม่ แต่ตอนนี้ใช้คำว่า ‘หนู’ ฟังแล้วดีสำหรับพ่อแม่มาก
“แม่ดีใจนะ ที่ลูกแม่ไม่เป็นอะไรมาก”
แม่หลิวยิ้มจนปากฉีกถึงหู นางดีใจที่ลูกสาวคนรองไม่เป็นอะไรมาก ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกสาวคนรองยังมีอาการเหม่อลอย และยังมีทีท่าปิดกั้นตัวเองอยู่บ้างเป็นบางครั้ง…
เมื่อกินข้าวมื้อค่ำอิ่มแล้ว จางอ้ายเหม่ยก็ขอตัวขึ้นห้อง ซึ่งเป็น หลิวเหม่ยเหมยที่อาสามาส่งเธอที่ห้อง
“ขอบใจนะน้องเล็ก” อ้ายเหม่ยหยุดเดินแล้วหันมามองเหม่ยเหมย ที่ตอนนี้กลายมาเป็นน้องสาวของเธอ เธอบอกน้องเมื่อจะเปิดประตูห้องที่เป็นห้องนอนของอ้ายเหริน
“ถ้าพี่รองต้องการอะไรก็เรียกหนูได้นะ” เหม่ยเหมยบอก พร้อมชี้ให้พี่รองดูว่าห้องนอนของเธออยู่ฝั่งตรงข้าม
“อื้อ” อ้ายเหม่ยพยักหน้ารับ มองไปยังห้องของน้องเล็ก
“หลับฝันดีนะพี่รอง” เหม่ยเหมยบอกพี่รอง แล้วเดินไปที่ห้องนอนของตัวเอง
ด้านอ้ายเหม่ยที่ยังยืนมองน้องสาวโบกมือให้ และเมื่อน้องเข้าห้องไปแล้ว เธอก็เปิดและปิดประตูใส่กลอน
เมื่อได้เข้ามายืนอยู่กลางห้อง จางอ้ายเหมยเดินสำรวจห้องนอนและของทุกชิ้น รวมถึงเสื้อผ้าของหลิวอ้ายเหรินแล้ว เธอก็เดินไปนั่งที่ขอบเตียง แล้วล้มตัวนอนหงายลงบนเตียง แล้วถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัด…
“เฮ้อออ” เธอคิดอย่างหนักว่าจะทำยังไงดี กับความสัมพันธ์ของตัวเองและครอบครัวหลิว เป็นเพราะความกระดากอายที่ได้รับรู้เรื่องราวก่อนหน้า ว่าอ้ายเหรินคนก่อน ได้ทำนิสัยแย่ๆ ทิ้งไว้ จนทำให้อ้ายเหริน คนใหม่ไม่กล้าทำอะไรมากนัก
ความสัมพันธ์กับพ่อแม่ห่างเหิน กับพี่ชายน้องสาวเหมือนคนที่รู้จักกันผ่านๆ ทั้งที่พวกเขาอยากจะสนิทรักใคร่กับเธอแทบตาย แต่กลับเป็น เธอเองที่ผลักพวกเขาให้ออกห่าง
‘หลิวอ้ายเหรินนะหลิวอ้ายเหริน’
จางอ้ายเหม่ยได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อว่าร่างของเธอ ซึ่งเธอนอนคิดจนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเวลากลางดึก..
‘นะ นี่มันอะไรกัน’
อ้ายเหม่ยตกใจมาก ที่เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องห้องหนึ่ง ที่อยู่ในตึกสูงสามชั้น ซึ่งเธอจำไม่ผิดนั่นเป็นร้านอาหารของเธอในยุคอนาคตที่เธอจากมานี่..
“นี่ฉันกลับมาแล้วเหรอ”
จางอ้ายเหม่ยดีใจมาก จึงลุกขึ้นออกจากเตียงแล้วรีบวิ่งออกจากห้องนอน แต่แล้วเธอก็ต้องชะงัก เพราะเสียงที่เปล่งออกมายังคงเป็นเสียงของพ่อหลิวที่เรียกเธอ
“อ้ายเหริน”
“อะไรกัน” จางอ้ายเหม่ยงุนงงเป็นอย่างมากกับภาพที่เห็น
เธอไม่ได้สนใจเสียงของพ่อหลิว จึงรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ไปยืนที่หน้ากระจกตรงโต๊ะแต่งตัว
“หลิวอ้ายเหริน”
จางอ้ายเหม่ยเห็นตัวเองอยู่ในร่างของหลิวอ้ายเหริน ที่หน้าตาของเธอก็มีส่วนคล้ายอ้ายเหรินอยู่เหมือนกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แล้วจู่ๆ จางอ้ายเหม่ยก็นึกถึงนิยายที่มีนางเอกทะลุมิติไปเกิดใหม่พร้อมกับไอเทมวิเศษ เธอคงจะเป็นแบบนั้นแน่ แล้วไอเทมที่ว่า นี่คือ ตึกขนาดใหญ่สูงสามชั้น ตึกนี้เป็นตึกที่พ่อจางซื้อให้เธอในชาติอนาคตนั่นเอง
จางอ้ายเหม่ยจึงเดินสำรวจตามร้านอาหาร ก็พบว่าของสดที่เธอสั่งมาไว้นั้น อัดเต็มอยู่มากมายในตู้แช่ มีไวน์ และเครื่องดื่มมากมาย เรียกได้ว่าครบครัน
พอเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ก็เป็นห้องทำงานที่เธอเอาไว้ใช้ออกแบบ และอีกฝั่งคือห้องเก็บกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้าจากแบรนด์ที่เธอออกแบบเอง ส่วนชั้นสามนั้น เป็นชั้นพักผ่อนของเธอ
“พ่อค่ะ แม่ค่ะ พี่ใหญ่ น้องเล็ก”
จางอ้ายเหม่ยมองภาพครอบครัวที่ถ่ายของตัวเอง ที่ถ่ายกันตอนไปเที่ยวต่างประเทศ แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึงครอบครัว
เธอดีใจที่ได้กลับมาที่นี่ แต่ที่เสียใจเพราะเธอไม่สามารถเจอพ่อกับแม่ได้แล้ว จางอ้ายเหม่ยหาวิธีออกจากมิติอยู่นาน พอคิดถึงห้องนอน ก็กลับมาปรากฏที่บ้านหลิวอีกครั้ง บนเตียงนอนของหลิวอ้ายเหริน
“นี่คือความจริงสินะ”
อ้ายเหม่ยพึมพำขึ้นกับตัวเองเสียงเบาหวิว และเมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป แต่เธอสามารถเข้าออกในมิติได้ อ้ายเหม่ยก็คิดถึงของ พวกนั้นที่อยู่ในมิติ ซึ่งเธอจะเอาออกมาใช้ในยุค 70 นี่ได้ไหมนะ
“แล้วเราจะเอาของในตึกนั้นออกมาได้ยังไง”
จางอ้ายเหม่ยถามตัวเอง แล้วมองมือสองข้างของตัวเอง ซึ่งเธอรู้สึกว่ามีแสงอะไรบางอย่างส่งประกายออกมา
แล้วทันใดนั้น สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นกับเธอ ผลไม้ที่เธอนึกถึงก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับมีแสงสว่างบนฝ่ามือสองข้างของเธอ เธอหลับตาลงเพราะไม่อยากเชื่อ แต่พอลืมตา ก็ยังมีผลไม้อยู่บนมือของตัวเอง
อ้ายเหม่ยหลับตาอีกครั้ง และครั้งนี้เธอลองนึกถึงตู้แช่ผลไม้ ทันใดนั้นภาพก็ปรากฏขึ้น ซึ่งผลไม้และของกินมากมายหลายชนิด ยังอัดแน่นเหมือนเดิม แสดงว่าเธอสามารถใช้ของในตึกได้ไม่จำกัดสินะ
“นะ นี่มันสุดยอดไปเลย” อ้ายเหม่ยพูดขึ้นด้วยความดีใจ
แล้วเธอก็กลับมาครุ่นคิดอีกครั้งว่าชีวิตต่อจากนี้จะทำอย่างไรดี เธออยากใช้ชีวิตที่ใฝ่ฝันมานานแล้ว อย่างเช่นการมีร้านอาหาร แบรนด์กระเป๋า แบรนด์เสื้อผ้า และแบรนด์รองเท้าที่เคยอยากทำ เพียงแต่ร่างกายในตอนนั้นไม่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้
แต่ตอนนี้เธอคือหลิวอ้ายเหริน ต่อไปนี้เธอจะเดินหน้าใช้ชีวิตของอ้ายเหรินให้ดี และทำตามความฝันของตัวเองให้ได้..
ก๊อกๆ..
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้จางอ้ายเหม่ยหันไปมอง พร้อมกับ แสงสว่างและภาพผลไม้ในมือก็หายไป อ้ายเหม่ยที่นั่งอยู่บนเตียงก็มองตัวเองในกระจกแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
อ้ายเหม่ยเปิดประตูห้อง และเธอก็แปลกใจที่เห็นเหม่ยเหมย เธอจึงเรียกน้องสาว
“น้องเล็ก”
“พี่รอง” เหม่ยเหมยเรียกพี่สาว แล้วชะเง้อคอมองเข้าไปในห้องนอนของพี่สาว
“น้องเล็กมีอะไรเหรอ” อ้ายเหม่ยถามน้องสาวด้วยความสงสัย เพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว คิดว่าน่าจะเป็นเวลาเที่ยงคืนแน่
“พี่รองนอนไม่หลับเหรอคะ” เหม่ยเหมยถามเพราะเป็นห่วง
“เปล่านี่” อ้ายเหม่ยทำหน้ายุ่ง เพราะงงกับคำถามของน้องสาว
“คือหนูเห็นพี่รองไม่ปิดไฟ นึกว่านอนไม่หลับ”เหม่ยเหมยถาม เมื่อเห็นแสงไฟหลายสีประกายแวววับอยู่ในห้องนอนพี่สาวผ่านช่องประตู
“เปล่า พี่ตื่นมาเข้าห้องน้ำ”
อ้ายเหม่ยบอก แล้วหันหลังมองเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง ไม่ใช่สิ ห้องนอนของอ้ายเหรินต่างหาก ซึ่งเธอเปิดไฟไว้ตรงโต๊ะแต่งหน้า
“อ่อ ค่ะ งั้นหนูไม่กวนพี่รองละ ฝันดีอีกครั้งนะ” เหม่ยเหมยบอก แต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม
“อื้อ ฝันดีเช่นกันนะ” อ้ายเหม่ยพยักหน้าให้น้องเล็ก แล้วกำลังจะปิดประตูห้อง..
“พี่รองค่ะ” เหม่ยเหมยเรียกพี่สาว
“มีอะไรเหรอน้องเล็ก” อ้ายเหม่ยชะงักมือไม่ปิดประตูห้อง
“พรุ่งนี้ว่างไหมคะ” หลิวเหม่ยเหมยถามพี่สาวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก ดวงตากลมโตของเธอมีความเกรงใจและคาดหวัง
“มีอะไรหรือเปล่า” อ้ายเหม่ยไม่ตอบ แต่เธอถามกลับแทนด้วยความสงสัย
“พรุ่งนี้หนูจะไปร้านหนังสือ พี่รองจะด้วยกันไหมคะ”
แม้จะรู้ว่าพี่สาวไม่ชื่นชอบการอ่านหนังสือ แต่เหม่ยเหมยก็อยากจะใช้เวลาอยู่กับพี่สาวบ้าง จึงทำใจกล้ามาชวน ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าจะถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดีก็ตาม
“อื้ม พรุ่งนี้พี่ว่าง ไปสิ พี่ก็อยากได้หนังสืออ่านเล่นสักเล่ม”
อ้ายเหม่ยตอบกลับ เพราะในห้องนี้ไม่มีหนังสือเลยสักเล่ม
‘อ่อนึกออกละ ทำไมในห้องไม่มีหนังสือ เพราะหลิวอ้ายเหริน ไม่ชอบอ่านหนังสือนี่เอง’ อ้ายเหม่ยพยักหน้าให้ตัวเองเมื่อนึกได้
“เอ่อ”
นั่นทำให้เหม่ยเหมยทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำตอบของพี่สาว ทำให้เธอตกตะลึงมองพี่สาวตาค้าง
“มีอะไรเหรอ” อ้ายเหม่ยเห็นอาการของน้องสาว ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ปะ เปล่าค่ะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราไปในเมืองกันนะคะ”
เหม่ยเหมยยิ้มกว้างออกมา แล้วนัดแนะกับพี่สาวเสร็จสรรพ จากนั้นก็ขอตัวกลับห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม..
“ออกไปสำรวจพื้นที่ในยุคนี้ดูดีกว่า ว่าจะเจริญเหมือนยุคที่เราจากมาหรือเปล่า”
ด้านอ้ายเหม่ยก็พูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมทั้งมองน้องสาวเดินกลับเข้าไปในห้อง ซึ่งเสียงน้องสาวเปิดและปิดประตู ทำให้อ้ายเหม่ยตื่นจากความคิด แล้วเธอก็ปิดประตูห้อง เดินไปนั่งที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอน…