จบคาบเรียนอาจารย์เดินออกจากห้อง เธอรีบรวบหนังสือ แล้วดึงมือเพื่อนให้เดินตาม เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับใครอีก สองคนยืนกระหืดกระหอบในสวนภายในมหาวิทยาลัย ดวงตาเรียวสวยช้อนมองเพื่อน มีแววหม่นหมอง
“นา... เอื้องว่านาไม่ควรหนีเลยนะ ไม่อย่างนั้นนาก็ต้องหนีไปตลอด เรื่องที่นาหมั้นกับพี มันเป็นเรื่องส่วนตัว คนอื่นไม่ควรมาวิพากษ์วิจารณ์” กลิ่นเอื้องออกความเห็น
“ถ้าทุกคนคิดได้แบบเอื้องก็ดีสิ แต่ทุกคนไม่ได้คิดแบบนั้น นาถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับนายพีรดลนั้น ตอนนี้นาคงถูกแฟนนานนั้นเพ่งเล็งแน่นอน นาถึงได้พยายามหลบอยู่แบบนี้ไง” เธออธิบายเสียงอ่อย
“ถ้านากลัว เรารีบกลับกันดีกว่าไหม”
“อืม”
สองร่างเดินเคียงกันเพื่อออกจากสวนสาธารณะ ทว่ากลับมีหญิงสาวสามคนมาขวางไว้ ปภาวีหรี่ตามอง นี่นะหรือผู้หญิงที่หมั้นกับแฟนเขา หน้าตาแบบนี้ ทำไมพีถึงเลือกมัน กลิ่นเอื้องดันเพื่อนหลบข้างหลัง แววตาจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว เพราะรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ต้องการอะไร
“มีอะไร มาขวางพวกเราไว้ทำไม!” กลิ่นเอื้องถาม
“ไม่ใช่เรื่องของแกอย่ามายุ่ง!” อรดีตอกกลับ
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ นาฎสุรีย์!” ปภาวีประกาศเสียงแข็ง
นาฎสุรีย์รั้งเพื่อนให้ไปอยู่ด้านหลังแทน ส่วนตัวเองยืนเผชิญหน้า แววตาแข็งกร้าว เธอไม่ผิด เรื่องที่อย่างที่มันเกิดขึ้น เหตุมาจากความจำเป็น เธอไม่ควรต้องมาอธิบายอะไรจำพวกนี้ เพราะนายนั้น ควรเป็นฝ่ายบอกแฟนตัวเองมากกว่า แล้วเหตุใด ปภาวีถึงมายืนหาเรื่องกันอยู่ตอนนี้
“มีเรื่องอะไรก็ว่ามา!”
ปภาวียกท่อนแขนกอดอก ยิ้มเยาะ ไม่รู้หรือไงว่าเธอเป็นใคร แย่งแฟนคนอื่นแล้วมีหน้ามาทำราวกับว่าตัวเองถูกกระทำแบบนี้ มันน่าตบเสียให้เลือดกบปาก
“ไม่รู้หรือไง ว่าพีเป็นแฟนของฉัน!” เธอถามเสียงกร้าว จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา
“รู้!”
“แล้วทำไมถึงยังหมั้นกับพี เธอไม่มียางอายหรือไง!”
“ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าแฟนเธอไม่อยากหมั้น งานหมั้นก็คงไม่เกิดขึ้นหรอก” เธอย้อนอย่างเจ็บแสบ เพราะอยากให้อีกฝ่ายเข้าใจอะไรให้กระจ่าง คนผิดไม่ใช่ตัวเธอ แต่เป็นเขาต่างหาก
“พูดแบบนี้ แสดงว่าเธอจงใจหมั้นกับพีสินะ ไม่ได้ดูหนังหนาตัวเองเลยหรือไง ว่ามันทุเรศแค่ไหน มีอะไรเหมาะกับพีบ้าง!”
หญิงสาวชะงัก กัดฟันกรอด
“อ๋อ เธอคิดว่าใช้หนังหน้าสวยๆ ของเธอ มัดใจนายพีรดลได้แล้วสินะ แล้วเธอคิดว่าคนอย่างเขาจะคบกับเธอได้นานสักเท่าไหร่ เพราะเท่าที่เห็น ถ้าหากเขารักเธอจริง คงไม่ปล่อยให้เธอมายืนพูดกับฉันแบบนี้หรอก!”
คนฟังเม้มริมฝีปาก แววตาไม่พอใจ วันนี้ถ้าไม่ได้ตบสักที คงไม่หายแค้นเคือง
“ปากดีนักนะ คนอย่างเธอ ได้พีมาเป็นคู่หมั้นก็บุญแค่ไหนแล้ว สักวันเขาคงเขี่ยเธอทิ้งเหมือนหมาตัวนึง ไม่เชื่อคอยดู!”
เธอยักไหล่ “คิดว่าฉันสนเหรอ ฉันไม่ได้สนเลยสักนิด ว่าหมอนั่นจะทิ้ง หรือถอนหมั้น ทางที่ดีเธอรับไปบอกให้หมอนั้นมาถอนหมั้นฉันไวๆ ก็แล้วกัน ฉันรอ..”
“นี่แก!”
“ทำไม!” พูดจบ กวาตมองทั่วเรือนร่าง “อย่าบอกนะว่าเธอโดนหมอนั่นไล่มา โดยไม่อธิบายอะไรให้ฟังเลย”
คนถูกเย้ยหยันตาโต ไม่อาจอดทนต่อคำพูดอีกคนได้อีก
เพียะ!
ใบหน้าหันตามแรงฝ่ามือ กลิ่นเอื้องรีบประคองเพื่อน แล้วเอาตัวเข้าขวาง
“ทำอะไร!”
“อย่าเสือกได้ไหม!” อรดีกับมุกดาตรงเข้ากระชากเส้นผมกลิ่นเอื้องในทันที
เพียะ เพียะ
ฝ่ามือบางฟาดลงบนใบหน้าของสองคน ก่อนยกเท้าถีบ ทำเอาสองสาวล้มกองกับพื้น ปภาวีตรงเข้าคว้าข้อมือ แล้วกระชากเข้าหา สะบัดฝ่ามือลงบนใบหน้าอีกครั้ง ทว่าคราวนี้นาฎสุรีย์ไม่ยินยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว ยกเท้าถีบอีกครั้งจนล้มลงกองรวมกัน สามคนลุกขึ้นมา กระชากเส้นผมจนเกิดเป็นความชุลมุน ชาญวิทย์และพีรดลได้ยินเสียงโวยวาย เลยมองหน้ากันก่อนรีบวิ่งเข้ามาจับแยก
ห้าคนยืนกระหืดกระหอบผมเผ้ายุ่งเหยิง นาฎสุรีย์มองแว่นตัวเองที่ตกพื้น มันแตกละเอียด เธอหยิบขึ้นมาแล้วเขวี้ยงใส่หน้าคู่หมั้นตัวเอง
“นายมันทุเรศที่สุด จัดการยัยบ้านี่อย่าให้มาวุ่นวายกับฉัน!”
พีรดลชักสีหน้าไม่พอใจ “มันจะไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ถ้าเธอไม่ประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเราหมั้นกัน!”
“นายคิดว่าฉันอยากได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นนายนักเหรอ หลงตัวเองเกินไปแล้วมั้ง!”
“ปากดีนัก อยากโดนตบอีกใช่ไหม!” ปภาวีตวาดลั่น พีรดลหันมอง
“เงียบซะวี อย่าให้ผมเหลืออด อธิบายไปหลายครั้งแล้ววทำไมไม่ฟัง อยากเดือดร้อนมากใช่ไหม ถ้ามันยากนักก็เลิกกันไปเลย จะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายตบตีกับคนอื่นอีก!” ชายหนุ่มตะโกนด้วยความเดือดดาล
“พี...” ปภาวีน้ำตาคลอ
นาฎสุรีย์เก็บข้าวของตนเอง แล้วดึงมือเพื่อน ชาญวิทย์หรี่ตามองเสี้ยวหน้าไร้แว่นตา เลยไปถึงผู้หญิงอีกคน หน้าตาของนาฎสุรีย์ ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลย เขาเชื่อว่าเพื่อนต้องเห็น รวมถึงผู้หญิงอีกคน ที่กำลังยืนกระฟัดกระเฟียตด้วยความอิจฉา คงเพราะได้เห็นเนื้อแท้ที่ปกปิดแน่
“แยกย้ายกันกลับไปให้หมด แล้วอย่ามาหาเรื่องนาฎสุรีย์อีก ไม่อย่างนั้นเราสองคนเลิกกัน!” เขายื่นคำขาด
ปภาวีนิ่งอึ้ง ไม่อยากเชื่อเลย
“นี่พีหลงมันแล้วเหรอ เพราะพีรู้ว่ามันสวยใช่ไหม ถึงได้ทำกับวีแบบนี้” เธอคร่ำครวญ
“เลิกบ้าได้แล้ว ถ้าไม่เลิกก็บ้าไปเลยไป!” พีรดลสบถอย่างหัวเสีย แล้วเดินหนีไปทันที
ปภาวีทรุดกายกองกับพื้น มือกำแน่น น้ำตาอาบแก้ม เพื่อนสองคนช่วยกันปลอบ เธอเห็นเต็มสองตา นาฎสุรีย์ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าตาขี้เหร่เลย ถ้าหากแต่งตัวดีๆ คงสวยกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ แบบนี้ใช่ไหม เขาถึงได้หมางเมินกันเช่นนี้