และเมื่อทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะหนึ่ง ฟางซินสังเกตว่าโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งนี้เก่าซอมซ่อ ห้องพักของโรงเตี๊ยมก็คงเก่าเช่นกัน สักครู่เสี่ยวเอ้อร่างท้วมคนเดิมก็นำอาหารมาวางเต็มโต๊ะ หากแต่ฟางซินหาได้ยินว่าจิ้นเหอสั่งเหล้ามาด้วยไม่ มีเพียงน้ำชาส่งกลิ่นหอมอวล แต่แล้วเมื่อนางหยิบตะเกียบขึ้นมาก็ได้ยินเสียงชายที่นั่งซดเหล้าจากไหกล่าวขึ้น
“ข้าล่ะสงสัยจริงว่า...แท้แล้วนางมารหมื่นบุปผาอาจเป็นแค่หญิงตัวเล็กที่มิได้มีพิษภัยหรือแม้แต่จะสู้กับชายอกสามศอกอย่างข้าได้แม้เพียงหนึ่งกระบวนท่า หรือเจ้าว่าอย่างไรฮะ...เสี่ยวเอ้อ”
เสียงนั้นวกวนอย่างคนเมา เสี่ยวเอ้อพยักหน้าและยิ้มรับ
“คงจริงอย่างท่านว่าขอรับ”
“มีเสียงลือมากมายเกี่ยวกับนางมารร้ายผู้นี้ แต่มิเคยมีผู้ใดพานพบตัวจริงของนางสักที เห็นว่านางมีวรยุทธล้ำเลิศเพราะได้ครอบครองคัมภีร์ฟ้าคำราม ถึงขั้นถล่มยอดเขาหวงซานได้ในพริบตา เหอะ!...อาจเป็นแค่เรื่องหลอกพวกจอมยุทธให้กลัวเล่น อยากพบตัวจริงสักครั้ง ข้าจะรวบตัวนางจับทำเมียโทษฐานทำให้คนกลัวคนเสียขวัญ สร้างเรื่องหลอกลวงถึงความอำมหิตน่าหวาดหวั่นไปทั่ว ฮ่าๆๆๆๆ”
ฟางซินเหลือบมองหากแต่ต้องสะกดใจให้นิ่ง นางมีจุดอ่อนที่แก้ไม่เคยหายและเป็นอุปสรรคที่ยังทำให้ฝึกกระบวนท่าสุดท้ายไม่สำเร็จนั่นคือการสยบใจตัวเอง พลังวัตต์และลมปราณในกายนางจะผกผันและปรวนแปรเมื่อเริ่มบังเกิดความโกรธแค้นขึ้นมา
“เชิญกินดื่มตามสบายนะขอรับ...อย่าสนใจคนเมา เดี๋ยวก็คงหลับคาโต๊ะเช่นเคย”
เสี่ยวเอ้อร่างท้วมเดินเข้ามากระซิบกระซาบขณะยกการินน้ำชาให้คนทั้งสาม จิ้นเหอดึงผ้าโพกหัวออก เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชายเมาแอ๋โต๊ะใกล้ ๆ
“แล้วเรื่องนางมารหมื่นบุปผานั้น แท้แล้วมิใช่เรื่องที่สร้างขึ้นมาลวงหลอกคนในยุทธภพใช่หรือไม่...ข้าเพียงอยากรู้”
คำถามนั้นทำให้เสี่ยวเอ้อหยุดรินน้ำชาและรีบวางกาลงบนโต๊ะ เขากลอกตามองซ้ายขวาและก้มหน้าลงมากระซิบใกล้ ๆ หากเสียงนั้นก็ชัดเจนต่อผู้นั่งร่วมโต๊ะ
“โอย...ท่าน...ข้าได้ยินมาว่าคนในหลายหมู่บ้านนั้นรู้จักนางผู้อยู่พรรคมารผู้นี้ นางเป็นหญิงงามแต่ใจอำมหิต ฆ่าคนเป็นว่าเล่น เมื่อไม่กี่วันข้าได้ข่าวว่ามีคนจากวังหลวงเดินทางมาเพื่อสักการะพระผู้น่าเลื่อมไสและเก่งกาจอย่างหยางเซิงไต้ซือแต่ถูกฆ่าตายหมดก่อนเดินทางไปยังวัดโค้วอิงยี่”
เสี่ยวเอ้อลดเสียงต่ำลงอีก “ข้าแน่ใจว่าต้องเป็นฝีมือนางมารผู้นี้ เพราะคนเหล่านั้นตายด้วยกลีบดอกไม้ปลิดวิญญาณ นางเหี้ยมโหดฆ่าคนเหมือนผักปลา พูดก็พูดเถิด งามแค่ไหนข้าก็ไม่อยากพบหน้าถ้าหากเห็นชีวิตคนไร้ค่าเช่นนี้”
“เจ้ากล่าวเหมือนว่าเคยเห็นนาง”
“อือ” เสี่ยวเอ้อส่ายหน้าพร้อมหรี่นัยน์ตา “ไม่เคยเห็นหรอก ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง แต่มีคนหนึ่งที่เคยออกมาประกาศว่าเคยสับประยุทธ์กับนางมารใจอำมหิต”
“เขาเป็นใคร?” จิ้นเหอถามอย่างใคร่รู้
“เขาคือไป๋เจี้ยน...จอมยุทธกระบี่ขาวประมุขพรรคเฟิงอี้ เขาคือผู้เยี่ยมยุทธในดินแดนหวงซาน มิมีผู้ใดกล้าต่อกรกับคนผู้นี้ ฝีมือกระบี่ของเขาล้ำเลิศยอดยี่ยมหาผู้ใดเทียม”
“แล้วการสับประยุทธ์กันผู้ใดเป็นฝ่ายชนะกันเล่า”
หวังซื่อถามอย่างใคร่รู้เช่นกันขณะฟางซินนั่งอย่างเยือกเย็น นางไล่ความร้อนบนผิวน้ำชาในถ้วยใบเล็กตรงหน้าด้วยปลายนิ้วที่ส่งพลังออกมาโดยมิมีผู้ใดสังเกตเห็น
“ไป๋เจี้ยนบอกว่าเขาเกือบเอาชนะนางได้ แต่นางหนีไปเสียก่อน...ข้าว่าเขามิได้โป้ปดหรือสร้างเรื่องขึ้นมาแน่นอน ผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นเขาน่านับถือยิ่งนัก ข้าเคยพบเขาแล้ว เขาผ่านมายังหมู่บ้านนี้และแวะดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ด้วยนะท่าน”
หน้าตาของเสี่ยวเอ้อบ่งบอกถึงความภูมิใจที่ได้รู้จักกับผู้เปี่ยมวิทยายุทธ์สูงส่ง ฟางซินตวัดสายตามอง หัวใจของนางกำลังร้อนรุ่มขึ้นมาทีละน้อยหากก็ต้องสยบคลื่นอารมณ์ที่จะทำให้ลมปราณภายในผันผวน คงมีนางเท่านั้นที่รู้ว่าไป๋เจี้ยนเป็นคนเช่นไรเพราะในสายตาของคนทั่วไปเขาคือจอมยุทธผู้ผดุงไว้ซึ่งคุณธรรม จิ้นเหอยกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยและถามต่อ
“แล้วไม่ทราบว่าสำนักเฟิงอี้นั้นอยู่ที่ใด?”
“อ้อ...หากท่านต้องการไปสำนักเฟิงอี้ ให้ไปทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านนี้ราว ๆ ยี่สิบลี้ ท่านมีม้ามาด้วยก็จะเดินทางไปถึงเร็วอย่างแน่นอน”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“มิเป็นไรดอกท่าน เชิญตามสบาย เมื่อกินอาหารแล้วก็ขอเชิญพวกท่านขึ้นไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยม ข้าได้จัดห้องไว้สองห้อง สำหรับเพื่อนของท่านห้องหนึ่ง สำหรับท่านและฮูหยินอีกห้องหนึ่ง”
เมื่อเสี่ยวเอ้อไปแล้วจิ้นเหอจึงวางถ้วยชาลงและหยิบตะเกียบขึ้นมา แต่ไม่ทันหยิบอาหารในจานหวังซื่อก็กล่าวขึ้น
“เรื่องที่เสี่ยวเอ้อผู้นั้นเล่ามากก็น่าสนใจอยู่นะจิ้นเหอ หรือท่านเห็นว่าเป็นเช่นไร”
“ข้าคิดว่าอาจเปลี่ยนใจไม่ไปวัดโค้วอิงยี่ในวันพรุ่ง”
“แล้วท่านจะไปไหน อย่าบอกนะว่าท่านจะไปสำนักเฟิงอี้”