นายชดกำลังจิบยาหอมที่ถูกชงด้วยน้ำอุ่นในแก้วเพื่อบรรเทาอาการปวดปร่าในช่องท้อง ขณะเดียวกันก็เหลือบมองนางช้อยที่กำลังนั่งกินหมูย่างที่นายใบ้ซื้อมาให้อยู่ตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยไปด้วย ว่าแล้วจึงเปิดปากถามเรื่องที่ทำให้ตนกำลังคับข้องใจขึ้นมาทันที "ทำไมแกถึงไม่ชอบนายใบ้นะ"
นางช้อยเหลือบตาขึ้นมาจากจานสังกะสี แล้วถามกลับอย่างขวาง ๆ "ตรงไหนที่ข้าบอกว่าไม่ชอบมัน"
"อ้าว! ก็ที่แกไม่อยากให้นายใบ้ไปช่วยคุณขวัญเธอทำงานน่ะ"
"ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ชอบมัน...แต่ที่ข้าไม่ชอบก็คือ ข้าไม่ชอบให้นายใบ้ไปไหนมาไหนกับคุณขวัญเธอต่างหากเล่า!"
"ทำไม... หรือแกคิดว่าคุณขวัญกับนายใบ้จะรักกัน ...บ้าหรือเปล่า" นายชดถามอย่างหวาดระแวง พร้อมกับเอ็ดอีกฝ่ายไปในตัวด้วย
"มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก... " นางช้อยตอบพร้อมกับถอนหายใจ แล้วหยุดคิดไปสักเล็กน้อยก่อนจะรีบอธิบายว่า "ข้ารู้ว่าคุณขวัญเธอน่ะวางตัวดีเหมาะสมอยู่แล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่านายใบ้มันจะรู้สึกอย่างนั้นมั้ย กลัวมันจะคิดกำเริบเสิบสาน คิดเกินตัวเกินฐานะของมันน่ะซี่ ยิ่งคุณเธอแสนดีออกปานนี้ กลัวว่ามันจะหลงจะเหลิงใจไปได้ง่าย ๆ คิดว่าที่คุณขวัญเธอทำดีต่อมันเพราะมีใจให้มัน!"
"เฮ้ย! ไม่หรอก...ไม่หรอก..." นายชดรีบแย้งแทน "...มันก็น่าจะเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่หรอก คุณขวัญเธอเป็นใคร มันเป็นใครมันคงรู้และไม่กล้าคิดเห่อเหิมเกินตัวมันไปแน่ ๆ"
"ว่าได้เรอะ! แกเคยเห็นสายตามันเวลาเผลอมองคุณขวัญมั้ย หูตามันแพรวพราวออกอย่างนั้น ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้จะตาย" นางช้อยมองอีกฝ่ายด้วยความไม่ได้ดั่งใจ ที่ยังคงเข้าข้างนายใบ้อยู่ ก่อนจะว่าต่อไปอีก "ที่ข้าพูดมานี่ ไม่ใช่ว่าข้าจะดูถูกคุณขวัญเธอว่าคิดอะไรไม่เป็น แล้วจะใฝ่ต่ำลดตัวลงไปรักใคร่กับผู้ชายบ้าใบ้ไร้ฐานะอย่างนั้นหรอกนะ แต่...ข้าแค่กัน ๆ เอาไว้ก่อนเพราะผู้ชายผู้หญิงปล่อยให้อยู่ด้วยกันตามลำพังบ่อย ๆ เข้ามันจะไม่ดี ว่าก็ว่าเถอะ ข้าเห็นคุณขวัญมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เอ็นดู รักใคร่เธอเสมือนลูกหลานคนหนึ่ง ข้าก็หวังว่าจะให้เธอได้ลงหลักปักฐานกับใครสักคนที่คู่ควร หรือมากมีด้วยฐานะเงินทองพอจะเลี้ยงดูคุณขวัญให้สุขสบายกว่านี้สักหน่อย เพราะข้าน่ะ ...ไม่อยากเห็นเธอลำบากอีกแล้วน่ะสิ!"
นางช้อยหยุดพูด พร้อมกับตักข้าวเข้าปากอีกคำ รีบ ๆ เคี้ยวพลางกลืนลงคอ แล้วพูดกับอีกฝ่ายไปว่า "อีกอย่าง ข้าก็พอจะดูโหงว เฮ้งคนเป็น อย่างคุณขวัญเป็นคนมีโหงวเฮ้งดี อีกหน่อยจะสุขสบายร่ำรวยเงินทองขึ้น ไม่ต้องมานั่งเย็บผ้าปักผ้าให้หลังขดหลังแข็งอยู่อย่างนี้แล้ว แต่ถ้ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาเสียก่อนล่ะ... ไม่รู้ล่ะ โบราณยิ่งว่าอยู่ ชายหญิงอยู่ใกล้กันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ข้ากันได้ก็ต้องกันเอาไว้ก่อน..."
นายชดอดทนนั่งฟังอีกฝ่ายพร่ำอยู่จนจบแล้วจึงส่ายหน้าน้อย ๆ เพราะเห็นว่านางช้อยเริ่มคิดอะไรลุกลามไปไกลแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ทว่า กลับเกิดอาการเจ็บเสียดในช่องท้องอย่างรุนแรง ทำให้แกนิ่วหน้า พร้อมทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างแรง แล้วรีบขอความช่วยเหลือจากนางช้อยทันที "โอ๊ย! ยายแก่ ข้าปวด...ปวดท้องไม่ไหวแล้ว! พาข้าไปหาหมอทีเถอะ!"
ขณะที่พะนอขวัญกำลังยืนสบสายตากับสตรีที่อยู่ตรงหน้าคล้ายต้องมนตร์บางอย่างอยู่...
ดรันเองก็ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาอาศัยเวลาที่คุณผกากรองนั้นสบตากับพะนอขวัญคล้ายตะลึงก็รีบหันหลังให้ จากนั้นก็ค่อย ๆ พาตัวเองหนีออกจากที่ตรงนี้ไปเสีย เพราะใครจะไปคิดว่า 'คุณผกา' คนนี้จะเป็นคนเดียวกับคุณผกากรองที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณน้ารุ่งระวีของตัวเองกันเล่า!
"นี่ค่ะ แหวนวงนี้ของคุณผกา อยู่บนอ่างล้างหน้าจริง ๆ ด้วยค่ะ" เสียงจากเจ้าของร้านเสื้อที่เดินกลับจากทางหลังร้าน พร้อมกับแหวนวงหนึ่ง
คุณผกากรองได้ละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวอีกคนเล็กน้อย พลางยื่นมือไปรับแหวนวงนั้นมาสวมลงกับนิ้ว พร้อมกับกล่าวขอบคุณเจ้าของร้านตัดเสื้อผ้าแห่งนี้ตาม ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้งอย่างไม่รู้หน่าย ...รู้สึกราวกับว่า เจ้าของใบหน้าอิ่มตรงหน้าดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพียงครั้งแรกที่เห็นหน้าก็รู้สึกถูกชะตา และแม้แต่ตอนที่ถูกเชิญจากเจ้าของร้านให้มานั่งพูดคุยกันที่ตรงชุดเก้าอี้ไม้ภายในร้านตัดเสื้อผ้านี้แล้ว ตนก็ละสายตาจากหญิงสาวคนนี้ไม่ได้เลย
"เอ่อ ถ้าคุณผกามีอะไรจะคุยกับหนูขวัญก็เชิญนะคะ เดี๋ยวอิฉันขอตัวไปดูเด็ก ๆ ทำงานต่อก่อนค่า" เจ้าของร้านตัดเย็บเสื้อผ้าบอกอย่างยิ้มแย้ม แล้วก็ขอตัวออกไป
ทั้งคู่จึงหันกลับมามองใบหน้ากันและกันอีก ราวกับมีสิ่งหนึ่งที่บรรยายไม่ได้ว่า ทำไมถึงเกิดความรู้สึกดึงดูดบางอย่างระหว่างกัน อาจจะเป็นเพราะครั้งที่แล้ว คุณผกากรองได้มาเฝ้ารอหญิงสาวตรงหน้าแล้วก็ไม่ได้พบ แถมเมื่อครู่ก่อนหน้าก็มารออีกครั้งก็ยังไม่ได้พบกันอีก จึงทำให้คุณผกากรองต้องตัดสินใจกลับไปก่อน
แต่แล้ว...ระหว่างทางที่เดินไป ตนเหมือนนึกขึ้นมาได้ว่าได้ถอดแหวนเอาไว้ในห้องน้ำร้านตัดเย็บเสื้อผ้านี้ จึงได้รีบกลับมาที่นี่อีกครั้ง และแล้วก็ทำให้คุณผกากรองได้พบหญิงสาวที่มีตางดงามน่าเอ็นดูคนนี้เข้าจนได้นั่นเอง
"หนูนี่เอง พะนอขวัญ คนที่มีฝีมือฉลุลายผ้า" คุณผกากรองเป็นฝ่ายถามทำลายความเงียบงันลงเสีย
พะนอขวัญจึงยิ้มรับเล็กน้อย พร้อมกับรับคำสั้น ๆ "ค่ะ"
คุณผกากรองเลยยิ้มอย่างอ่อนโยนให้หญิงสาวอีกครั้ง แล้วจึงได้แนะนำตัวเองต่อว่า "ฉันชื่อผกา ชอบมาที่นี่เพราะชอบฝีมือการฉลุลายผ้าของหนู มาหลายครั้งก็ไม่เคยพบตัว คราวที่แล้วก็เอาผ้ามาให้ฉลุเพื่อจะใช้ทำเป็นลายขอบของผ้าเช็ดหน้าก็ไม่เจอหนู จึงได้ฝากทางร้านเอาไว้"
พะนอขวัญเหมือนจะนึกได้เรื่องผ้าเช็ดหน้า จึงรีบหยิบผ้าผืนที่ตัวเองได้ทำลายฉลุออกมาจากถุงกระดาษใบหนึ่งทันที "นี่ค่ะ ที่ขวัญได้ทำไว้เอาแล้ว ไม่รู้ว่าคุณผกาจะให้เพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่าคะ"
คุณผกากรองรับผ้าสีชมพูอ่อนที่หญิงสาวตรงหน้ายื่นให้ เพื่อนำมาคลี่ดู แล้วจึงยิ้มมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกว่า "สวย สวยมาก ทำได้ตรงกับที่คิดเอาไว้ทุกอย่าง ทำแบบนี้อีกหลาย ๆ ผืนเลยนะฉันจะเอาไว้ใช้ด้วย ส่วนอีกผืนหนึ่งขอให้เป็นผืนที่พิเศษกว่าผืนอื่น ๆ หน่อยนะ ฉันอยากให้หนูเพิ่มรายละเอียดอีกอย่างลงไปด้วย"
"คะ?"
"ฉันอยากให้หนูฉลุนี่เพิ่มให้ด้วย..."ว่าแล้วจึงก้มหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ได้จดข้อความสั้น ๆ นั้นเอาไว "นี่คือวันเดือนปีเกิดของลูกสาวฉันเอง หนูฉลุลงไปเพิ่มอีกได้มั้ย เอาไว้ตรงใต้พวงดอกปีบเลย เพราะผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ฉันตั้งใจเอาไว้ว่าจะให้ลูกสาวเป็นของขวัญวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของเขาที่จะถึงเร็ว ๆ นี้น่ะจ้ะ"
พะนอขวัญคล้ายสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง ในคำพูดของบุคคลตรงหน้า ก่อนจะรีบรับกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาเปิดดูวันเดือนปีเกิดของลูกสาวของคุณผกากรอง เมื่อได้เห็นแล้วตัวหล่อนก็เกิดอาการนิ่งอึ้งไปทีเดียว...
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ดรันที่ยังเตร็ดเตร่อยู่ใกล้ ๆ ร้านตัดเสื้อผ้าก็เห็นคุณผกากรองเดินออกมาจากร้านนั้นไป ก่อนจะเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง แต่ชายหนุ่มยังระมัดระวังตัวอยู่เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นเขาเข้า ครั้นแน่ใจแล้วว่าเพื่อนรักของคุณน้าตนได้เดินหายไปแล้วจริง ๆ ชายหนุ่มจึงได้เดินกลับไปที่ร้านตัดเสื้อผ้าตามเดิม และจึงได้เห็นหญิงสาวอีกคน กำลังเดินออกมาจากร้านตัดเสื้อผ้าตรงหน้าอย่างช้า ๆ ตาม
แถมใบหน้างามของหล่อนดูมีแววครุ่นคิดอยู่ด้วย ดรันจึงรีบขยับตัวยื่นมือไปอาสาขอช่วยถือถุงกระดาษใบหนึ่งจากมือของหล่อนทันใด พะนอขวัญจึงยื่นถุงกระดาษ ที่ใส่ผ้าสีชมพูอ่อนให้ชายหนุ่มถือแทน ก่อนจะเดินนำหน้าเขาไปยังที่รอรถประจำทาง และระหว่างทางที่เดินตามหลังหญิงสาวอยู่ไม่ห่าง
ดรันสังเกตว่า พะนอขวัญดูมีอาการเหม่อลอยแปลก ๆ กระทั่งมาถึงม้านั่งที่มีไว้นั่งรอรถโดยสาร หญิงสาวจึงได้นั่งลงอย่างช้าๆ พร้อมกับถอนใจออกเล็กน้อย แล้วเลื่อนสายตาขึ้นไปมองหน้าชายหนุ่ม ที่คล้ายกับเขาก็เกิดอาการฉงนในกิริยาที่แปลกออกไปของหล่อนอีกด้วย
พะนอขวัญจึงเอ่ยถามเขาว่า "เมื่อกี้ ตลอดเวลาที่เดินมา จู่ ๆ ฉันก็เงียบไป ใบ้อยากรู้มั้ยว่า เพราะอะไร"
ที่หญิงสาวถามชายหนุ่มผู้บ้าใบ้ออกไปอย่างนี้ เพราะหล่อนรู้ว่าการที่เขาเป็นคนบ้าใบ้ ทำให้หล่อนสามารถระบายความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ของตัวเองต่อเขาได้เลย ใช่...หล่อนก็แค่ต้องการคนรับฟัง และชายหนุ่มผู้เป็นใบ้คนนี้ก็เลิกคิ้วเข้มขึ้นข้างหนึ่งขึ้นทันที คล้ายกับถามกลับไปในตัว หล่อนจึงรีบบอกนายใบ้ว่า
"คุณผกาอยากจะให้ฉันฉลุวันเดือนปีเกิดของลูกสาวลงไปกับผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งด้วย ใบ้จะว่าแปลกมั้ย..."
ดรันพยักเร็ว ๆ หน้าแทนคำตอบ พร้อมกับตั้งใจฟังมากขึ้น ดูหญิงสาวเหมือนมีอะไรสักอย่างอยู่ในใจขึ้นมา และแล้วเสียงหวานของหล่อนก็เอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ว่า
"วัน เดือน ปี ที่ฉันต้องฉลุเพิ่ม เป็นวันเดียว เดือนเดียว แถมปีเดียวกันกับที่ฉันเกิดเลย..." พะนอขวัญยิ้มเหมือนผืนยิ้มให้ร่าเริงแล้วเอ่ยกับเขาอย่างช้า ๆ อีกว่า "...ลูกสาวคุณผกา เธอเกิดวันเดียว เดือนเดียว ปีเดียวกันกับฉันเลยนะใบ้"
คล้ายดั่งจะได้เห็นความแปลกประหลาดใจจากดวงตาคมคู่หนึ่งขึ้นมา...
พะนอขวัญรู้สึกอย่างไรที่เปรยเรื่องนี้ขึ้น หล่อนคิดว่าเป็นความมหัศจรรย์หรือเพียงแค่บังเอิญ ที่ได้รู้ว่ามีหญิงสาวอีกคนได้เกิดวันเดือนปีเดียวกันกับตัวเอง ดรันว่า...ต้องมีบางอย่างที่มากกว่านี้ ที่พอจะทำให้หล่อนรู้สึกว่า เป็นเพียงเรื่องความมหัศจรรย์หรือแค่บังเอิญอย่างแน่นอน ชายหนุ่มโคลงศีรษะทำท่าคล้ายสงสัยว่า หญิงสาวต้องการสื่อสารอะไรให้ตัวเขารับรู้กันแน่
ขณะนั้น พะนอขวัญก็ได้นึกไปถึงแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา กิริยาหรือแม้แต่คำพูดที่มีแต่ความอ่อนโยนของคุณผกากรอง หล่อนยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงบอกชายหนุ่มอีกว่า "คุณผการักและเอาใจใส่ลูกสาวดีนะ อุตส่าห์หาของขวัญวันเกิดที่คิดว่าจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลกให้ลูกสาว แม้มันไม่ได้มากมายไปด้วยราคา แต่ฉันกลับรู้สึกว่า คุณผกากำลังหาของที่มีค่าที่สุดอยู่ให้กับลูกสาว ... ฉัน ...ฉันเกิดมายังไม่เคยได้รับของอะไรอย่างนี้จากคุณแม่เลยสักครั้ง"