7 เรือแห่งโชคชะตา - 3

1773 Words
ดรันได้หันกลับไปมองเรือลำเดิม หลังจากที่ได้ก้าวขึ้นมาเหยียบลงบนท่าน้ำของบ้านหลังนี้อีกครั้ง เรือลำนี้นี่เองที่ได้พาเขาให้มาพบกับคนที่อยู่ที่นี่ ความจริงจะว่าไปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดมันเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะเรือลำนี้แท้ ๆ ทีเดียว เรือลำนี้เป็นเรือแห่งโชคชะตาจริง ๆ ที่นำพาซึ่งทั้งความโชคดีและความโชคร้ายมาสู่เขาพอ ๆ กัน               โชคดี...ที่มันได้นำพาเขามาพบกับหญิงสาวที่แสนดีคนหนึ่ง ส่วนโชคร้ายที่ติดตามมาก็คือ หลังจากที่ฟื้นจากการสลบ เขาก็กลายมาเป็นนายบ้าใบ้ไปเสียแล้ว                                                                 ดรันถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยที่เขาไม่อยากจะเป็นนายใบ้เช่นนี้หรอกนะ อึดอัดก็อึดอัด อยากจะออกจากสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดนี่จะแย่ แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับเขาเหลือเกิน เพราะจะต้องหาจังหวะและเวลาที่เหมาะสม ที่จะบอกความจริงเพื่อจะทำให้หญิงสาวคนนั้นเจ็บปวด และเสียใจน้อยที่สุดนั่นเอง                                                      หล่อนเป็นคนจิตใจดี มองนายใบ้ด้วยความเมตตาสงสาร แต่หล่อนอาจจะต้องเจ็บปวดผิดหวังเพราะความเมตตาสงสาร ที่พบว่าเขาไม่ใช่นายใบ้จริง ๆ แต่เป็น ดรัน อาจณรงค์ คนนี้                                 ดรันถอนหายใจหนัก ๆ อีกครั้ง คิดทำใจเสียว่า ในเมื่อโชคชะตาได้ดลบันดาลให้เขากลายมาเป็นนายใบ้ ก็คงจะมีเหตุผลบางประการแฝงเร้นอยู่กับโชคชะตาในครั้งนี้อยู่ไม่น้อย และบางทีช่วงเวลาอันเหมาะสมที่เขาพยายามมองหาอยู่ ถึงเวลามันก็อาจจะมาเองโดยที่เขาไม่ต้องเป็นผู้กำหนดก็เป็นได้ ก็ไหน ๆ มันกลายมาเป็นเรื่องของโชคชะตาแล้วนี่ ก็ให้มันเป็นเช่นนี้ไปก่อน ระหว่างที่เขายังเป็นนายใบ้ผู้อาภัพ เขาก็ขอตักตวงความสุขที่จะได้อยู่ใกล้ชิดหญิงสาวไปก่อนดีกว่า                                                                              ว่าแล้วชายหนุ่มจึงรีบปัดเรื่องหนักอึ้งที่รบกวนจิตใจนี้ไป โดยการก้มผูกเรือไว้กับหลักที่ท่าน้ำนี้ต่อ จากนั้นเขาก็หมุนกายเดินขึ้นจากท่าน้ำไปอย่างเงียบ ๆ       ดรันจงใจที่จะลงน้ำหนักเท้าทั้งสองอย่างเงียบเชียบ ยามเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ตรงหน้า หล่อนกำลังบรรจงพับผ้าแต่ละผืนลงกับห่อผ้าใหญ่ ๆ อีกที พร้อมกับนับจำนวนแล้วจดตามไปด้วย ท่าทางของหล่อนดูขะมักเขม้นดี ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกเบิกบาน และจิตใจก็พลอยได้รับการเติมเต็มให้เป็นสุขไปอีกด้วย ว่าแล้วดรันจึงรีบอาศัยเวลาที่หล่อนยังไม่รู้ตัว และรอบ ๆ ตรงนี้ก็ไม่มีใครอีก พิจารณาหล่อนด้วยแววตาชื่นชมหลงใหลไปอีกด้วยว่า                                                            หญิงสาวคนนี้ไม่ได้มีอะไรที่น่าตำหนิหรือไม่คู่ควรที่เขาจะพาเข้าบ้านอาจณรงค์เลยแม้แต่น้อย จะว่าด้วยเรื่องฐานะของหล่อนก็ไม่ควรเอามาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหล่อนเลือกเกิดไม่ได้ และแม้จะเลือกเกิดไม่ได้ ก็เห็น ๆ อยู่แล้วว่าพะนอขวัญไม่ได้งอมืองอเท้า ไม่มัวแต่รอคอยโชคชะตา หล่อนขวนขวายประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงตนและเลี้ยงบริวารคนอื่น ๆ ไปด้วย คุณน้ารุ่งระวีของเขาควรจะชอบผู้หญิงที่ดีงามเช่นนี้สิ   แต่ก็นั้นแหละ หากเขารักใครชอบใครแล้ว ถึงเวลาจริง ๆ ใครจะกล้ามาขัดขวางเขาได้ ต่อให้มีอีกสิบคุณน้ารุ่ง ดรันว่า เขาก็คงจะจัดการปัญหาในเรื่องนี้ได้ไม่ยาก!                                           เห็นดวงตาที่เป็นประกายของนายใบ้ที่กำลังมองหญิงสาวที่ง่วนแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานตรงหน้า ทำให้นางช้อยที่กำลังยกของตามลงมาสมทบต้องหรี่ดวงตามองนายใบ้ แล้วจึงแกล้งกระแอมไอดัง ๆ ตาม เพื่อให้คนที่ลอบมองและคนที่ถูกมองรู้สึกตัว "อะ แห่ม!"   พะนอขวัญหันกลับไปยังเจ้าของเสียงกระแอมไอ หล่อนเห็นป้าช้อยกำลังยืนส่งสายตาเหมือนมองใครอยู่ หล่อนรีบหันกลับมาดู จึงพบว่าไม่ห่างออกไปเป็นร่างของนายใบ้ที่เข้ามายืนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้                                            "ใบ้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่" หล่อนถาม                                                  "ก็คงสักครู่แล้วล่ะ มาถึงไม่พูดไม่จาเอาแต่ยืนมองคุณขวัญตาเป็นมันอยู่ได้!" นางช้อยตอบอย่างประชดให้เสร็จสรรพ    "ก็เขาพูดไม่ได้นี่นา ป้าช้อยล่ะก็" พะนอขวัญรีบแก้ตัวให้             นางช้อยเลยค้อนให้คนที่ตอบแทนนั่นเล็กน้อย พลางนึกในใจว่า หญิงสาวไม่เข้าใจจริง ๆ หรือแกล้งไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อออกมากันแน่                                                                                   เมื่อดรันได้เห็นคนแก่ที่เหมือนอารมณ์จะไม่ดี จึงรีบชูห่อของในมือขึ้น ซึ่งก็เป็นห่อหมูย่างที่เขาได้แวะซื้อติดมือมาด้วย   ครั้นนางช้อยที่เห็นก็พลอยตาลุกวาวตามทันที แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองอย่างขบขันด้วยสายตาถึงสองคู่ตรงหน้า จึงแกล้งวางท่าว่าไปว่า "แหม มีเงินซื้อของดี ๆ มาให้ตลอดเลยนะนายใบ้ นี่…เอ็งอย่าหาว่าข้าเห็นแก่กินล่ะ ก็เล่นซื้อมาให้แล้วเป็นของดี ๆ แพง ๆ หากข้าไม่รับไว้ก็เสียดายเงินของเอ็งอีก"                                                                      ชายหนุ่มยิ้มขันขึ้นมาอีก แล้วเหลือบมองห่อหมูย่างในมือตาม ทีแรกตั้งใจจะซื้อมาให้หลาย ๆ ห่อกว่านี้ แต่ก็กลัวจะผิดสังเกต จึงอดใจซื้อมาฝากคนที่นี่เพียงห่อเดียว ความลำบากของคนมั่งมี พอแกล้งเป็นคนไม่มี เขาก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเฉยเลย                        ครั้นวางห่อหมูย่างลงไม่ห่างจากตัวผู้สูงวัยแล้ว ดรันจึงยืดตัวขึ้นทำท่าตักข้าวปากแล้วเคี้ยวกรุบ ๆ เลียนแบบผู้สูงวัยในวันนั้น                       "รู้แล้ว ๆ นี่เอ็งล้อ หาว่าข้าเห็นแก่กินใช่มั้ย นายใบ้!"             เขายักไหล่ เผลอยิ้ม แล้วรีบส่ายหน้าหวือปฏิเสธ ได้ผล...เขาก็ได้ค้อนวงใหญ่จากป้าช้อยเป็นหนที่สองตาม    พะนอขวัญหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ มองคนทั้งสองแล้วส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะหันกลับไปบอกชายหนุ่มว่า "ใบ้...คราวหลังมาที่นี่อีก ก็ไม่ต้องลำบากซื้ออะไรมานะ พวกเราช่วยชีวิตใบ้ไม่ได้หวังจะให้ใบ้มาตอบแทนกันอย่างไม่จบไม่สิ้นอย่างนี้หรอก"     ชายหนุ่มจำพยักหน้ารับ พลางอดชื่นชมหล่อนขึ้นมาไม่ได้อีก ก่อนจะเข้าไปถามด้วยการทำท่าจะช่วยหญิงสาวถือห่อผ้าให้อีก   ทว่า เสียงนางช้อยกลับดังขัดขึ้นมาเสียนี่ "ไม่ต้อง วันนี้ให้ลุงชดไปกับคุณขวัญ แกก็อยู่ช่วยข้าทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นี่เถอะ" นางช้อยรีบขัด พลางจ้องชายหนุ่มเขม็ง                                                       หัวใจของดรันคล้ายสลายลง เผลออ้าปากค้างเล็กน้อย โอกาสที่จะได้อยู่กับหญิงสาวสองต่อสองนั้นเกิดขึ้นได้ยากเย็นอยู่แล้ว ยังถูกดับฝันกลางวันลงด้วยผู้สูงวัยที่หวงหญิงสาวเป็นที่หนึ่งอีก             "ให้นายใบ้ไปกับคุณขวัญเถอะ วันนี้ข้ารู้สึกไม่ดีอีกแล้ว ปวดๆ เสียดๆ อยู่ในท้องนี้อีกแล้วสิ" เสียงคล้ายอ่อนแรงของผู้สูงวัยอีกคนดังขึ้น ซึ่งก็คือนายชดนั่นเอง ที่กำลังเข้ามานั่งสมทบกับคนทั้งสามด้วยสีหน้าไม่ดีเท่าที่ควร นางช้อยจึงหันขวับกลับไปว่านายชดทันที "อ้าว! พอเห็นนายใบ้มา ก็มีให้เรื่องป่วยเลยนะ หาเรื่องอู้หรือเปล่า"                             "อู้ที่ไหน หาเรื่องที่ไหน ข้าปวดท้องจริง ๆ" คนว่า ว่าพร้อมกับปาดเหงื่อที่พราวตามใบหน้าออกไปอีกด้วย                                     นางช้อยเขม้นมองคนที่บอกว่าป่วยอีกครั้ง ซึ่งดูสภาพแล้วก็พบว่าเป็นจริงอยู่ไม่น้อย แต่นางช้อยไม่อยากให้หญิงสาวไปไหนมาไหนกับนายใบ้ตามลำพังนี่ เพราะเวลานายใบ้รู้ตัวว่าจะได้ไปไหนมาไหนกับหญิงสาว หูตามันดูแพรวพราวขึ้น ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้มันเหลือเกิน!                                                                                             "วันนี้ขวัญจะเอาของไปส่งเอง ลูกค้านัดรับแล้ว..." หล่อนหมายถึงผ้าเช็ดหน้าที่หล่อนรับฉลุลายที่ต้องส่งลูกค้าอีกรายด้วย "...ท่าทางลุงชดจะเจ็บจริง หน้าซีดเซียวเชียว ป้าช้อยอยู่ดูแลลุงชดเถอะค่ะ ขวัญไปกับใบ้ก็ได้ คราวที่แล้วยังไปกันได้เลย ใช่มั้ยใบ้"    ดรันรีบพยักหน้ารับ และคงเผลอแสดงความดีใจออกมามากไปหน่อย ได้ผลนางช้อยจึงชำเลืองมองอีกหนด้วยดวงตาที่ขวางจัดกว่าเดิม  ชายหนุ่มจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แล้วบอกกับตนเองในใจว่า เห็นทีเขาต้องคอยเก็บอาการลิงโลดเอาไว้ให้มิดเสียแล้ว เพราะป้าช้อยเล่นหวงหญิงสาวไม่ใช่เล่นเลยสินา!     และใช้เวลาไม่นาน ดรันก็เดินถือห่อผ้าตามหลังหญิงสาวมาหยุดตรงหน้าร้านตัดเย็บเสื้อผ้าร้านเดิมอีกครั้ง ครั้นเจ้าของร้านได้เห็นพะนอขวัญเดินเข้ามาในร้านพร้อมชายหนุ่มคนเดิม จึงรีบเข้ามาทักด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นว่า                                                   "ขวัญ! คุณผกาก็เพิ่งออกจากร้านไปเมื่อกี้นี่เอง มานั่งรอขวัญสักพักแล้วล่ะ เอ๊ะ ยังไงนะ ขวัญและคุณผกานี่คลาดกันไปคลาดกันมาเสียทุกครั้งเชียว"                                                                            "ขวัญเอาผ้าเช็ดหน้าที่ฉลุลายมาด้วยค่ะ อยากจะให้คุณเขาดูก่อนว่าพอใจหรือยัง เสียดายมาช้าไปนิด เลยอดเจอคุณเขาเลยค่ะ" หล่อนว่าด้วยความรู้สึกเสียดายจริง ๆ พลางถอนหายใจตามไป                  ทว่า ขณะนั้นดวงตาของเจ้าของร้านกลับเบิกขึ้นมาอีกครั้ง… เมื่อเห็นเงาใครบางคนกลับเข้ามาปรากฏอยู่ตรงทางเข้าร้าน แล้วเจ้าของร้านจึงรีบส่งเสียงเรียกอย่างดีใจตาม "อ้าว! คุณผกาคะ..."  พะนอขวัญจึงรีบหันหลังกลับไปทันที หล่อนจึงได้สบสายตากับสตรีอีกคนตรงหน้าที่ได้ส่งสายตามองหล่อนอยู่ก่อนแล้ว พลันหัวใจของหญิงสาวก็ได้พบกับความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างขึ้นมา...  
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD