และก็เป็นอย่างที่คุณอัศวินว่าเอาไว้ไม่มีผิด หลังจากที่ทราบเรื่องราวของดรันทั้งหมดจากปากของตนเอง รุ่งระวีก็มีอาการโวยวายไม่ยอมขึ้นมา ทั้งเรื่องที่ดรันถูกทำร้ายร่างกายและเรื่องที่ต้องไปสู่ขอหญิงสาวที่ชื่อพะนอขวัญคนนั้น!
"ปรึกษาและตัดสินใจกันเอง แถมจะไปสู่ขอผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้มาให้ตารัน มุบมิบทำอะไรกันสองคนลุงและหลาน มาให้รุ่งรู้ทีหลังสุดนี่ก็ไม่ถูกต้องแล้ว จะให้ยอมรับผู้หญิงคนนั้นมาเป็นหลานสะใภ้ รุ่งจะยอมได้ยังไง!"
"อ้อ นายอาชานั่นก็อีกคน! เรื่องความเป็นความตายของตารัน กลับปกปิดไม่ยอมให้ผู้ใหญ่รับรู้ อย่าให้เจอหน้าเชียว จะจัดการเสียให้เข็ด! มิน่าวันสองวันนี่ถึงหลบหน้าหลบตาไป เพราะคิดว่ารุ่งรู้เรื่องนี้เข้าแล้ว ยังไงต้องโดนแน่น่ะสินะ"
"รุ่ง…" คุณอัศวินพยายามเรียกด้วยอาการอ่อนใจ
"ไม่รู้ล่ะค่ะ! เรื่องผู้หญิงของตารัน รุ่งอุตส่าห์หมายตาคุณหญิงรัศมีแขไว้ให้แล้ว จะต้องไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ"
"มีเหตุผลหน่อยสิรุ่ง" คุณอัศวินรีบว่า "เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว อีกอย่างแม่หนูคนนั้นก็ช่วยชีวิตหลานชายของเราเอาไว้ เขาสองคนคงเป็นเนื้อคู่กัน หรือคุณไม่คิดอย่างนี้ เป็นไปได้อย่างไรกันเรือลำที่ตารันนอนสลบได้ลอยไปติดท่าน้ำบ้านแม่หนูนั่นจนถูกช่วยชีวิตให้รอดขึ้นมาได้ ดูยังไงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของโชคชะตานะ แบบนี้ คุณยังไม่ยอมรับอีกหรือ"
"ไม่รู้ค่ะ!" รุ่งระวีปฏิเสธเสียงแข็ง ท่าทีไม่ยอมอ่อนลงแม้แต่น้อย เพราะตนได้คิดเสมอมาว่า เรื่องหลานสะใภ้คนเดียวของที่นี่ ต้องให้ตนจัดการให้เท่านั้น เนื่องจากผู้หญิงคนนี้อีกหน่อยจะต้องมีหน้ามีตาเคียงข้างดรันในอนาคต เหมือนตนที่เคียงข้างคุณอัศวินอยู่ในตอนนี้ ไม่ว่าดรันจะหยิบจับทำธุรกิจอะไร จะได้ดูเพียบพร้อมและมีความน่าเชื่อถือไปด้วย "รุ่งทำใจไม่ได้หรอกค่ะ ใครจะไปสู่ขอผู้หญิงคนนั้นให้ตารันก็เชิญไปเลย ต่อให้พาเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ รุ่งจะไม่รับรู้อีกด้วย!"
คุณอัศวินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ว่าอีก "ตามใจก็แล้วกัน แต่คุณก็คิดดูก็แล้วกันนะ ว่าตารันจะรู้สึกเสียใจขนาดไหน เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของเขา เขาก็อยากให้เราทั้งสองอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแทนคุณพ่อคุณแม่ตัวจริง นี่คือความรู้สึกของตารันหลานชายคนเดียวของคุณแท้ ๆ คุณกลับละทิ้งไม่ใส่ใจ แล้วอย่ามาเสียใจภายหลังล่ะ!" ว่าพลาง หยิบสูทที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมาพาดลงแขนข้างหนึ่ง
และก่อนจะออกจากห้องก็มองภรรยาผู้แสนแง่งอนพร้อมกับส่ายหน้าแล้วพูดทิ้งท้าย "อ้อ แล้วเรื่องที่คุณจะไม่รับหนูขวัญมาเป็นหลานสะใภ้ก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้บังคับ เพราะผมจะรับของผมเอง!" จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูห้องจนปิดลงจนเกิดเสียงดังพอที่จะทำให้รุ่งระวีสะดุ้งขึ้นมาด้วย
ปัง!
รุ่งระวีแสดงอาการฮึดฮัด … แต่คำพูดของสามีก็ทำให้ตนเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาทีละน้อย...
ตั้งแต่นายใบ้กลับไปแล้ว พะนอขวัญก็ถูกมารดาบังคับให้กลับขึ้นมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ โดยอ้างว่าจะได้ดูแลอย่างสะดวก แต่ความจริงก็คือ เพื่อจับหล่อนขังไว้ไม่ให้หนีไปไหนนั่นเอง ขนาดป้าช้อยและลุงชดที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วขอขึ้นมาพบหล่อน มารดาหล่อนยังสั่งห้ามคนใช้ที่นี่เอาไว้ไม่คนทั้งคู่ขึ้นมาพบหล่อนได้
หญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงนอน พร้อมกับมองออกไปทางหน้าต่างที่ติดเหล็กดัดเอาไว้ เวลาได้ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน ดังนั้นจึงเหลือเวลาอีกสองวัน จึงทำให้กำลังใจของหล่อนยังดีอยู่ ตอนนี้ชีวิตประสบเหตุหน้าสิ่วหน้าขวาน หมดสิ้นความหวังและกำลังใจ ใบหน้าบุรุษหนึ่งเดียวที่ผุดพรายขึ้นมา เพื่อให้หล่อนรู้สึกว่ายังมีหวังต่อไปกลับไม่ใช่ใบหน้าของบิดาผู้ล่วงลับอีกแล้ว แต่กลายเป็นใบหน้าของบุรุษคนนั้น นายใบ้ ... เขาได้กลายมา เป็นความหวังครั้งใหม่ในชีวิตของหล่อนแล้ว
แม้หนทางเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้จะมีเพียงแสงสว่างอันริบหรี่ส่องนำทางเท่านั้น ทว่า พะนอขวัญกลับเปี่ยมไปด้วยความหวังอยู่ลึกๆ ว่าเขาคนนั้นจะต้องกลับมาเพื่อพาหล่อนออกไปจากที่นี่จนได้ ซึ่งหล่อนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เชื่อมั่นเขาถึงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ กับเงินจำนวนห้าแสนบาทพร้อมเถ้าแก่ที่จะมาสู่ขอหล่อนตามที่มารดาหล่อนได้ระบุคุณสมบัติเอาไว้เช่นนั้นอีก
พะนอขวัญบีบมือตัวเองเบา ๆ อยู่ตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะฝ่ามือหนาทั้งสองของเขา ที่จับแล้วบีบมือหล่อนเพื่อถ่ายทอดกำลังใจ พร้อมกับ สายตาอันอบอุ่นที่ทอดมองประหนึ่งคำสัญญาที่ยืนยันว่าให้หล่อนรอเขาอยู่ที่นี่... ใช่ สายตาและสัมผัสของฝ่ามือนั่น ทำให้หล่อนอบอุ่น และเป็นสุขอยู่ในใจลึก ๆ
เสียงประตูที่เปิดออกเบา ๆ แต่ก็ปิดลงอย่างแรงในเวลาติด ๆ กัน จากนั้นก็เกิดเสียงฝีเท้าใครคนหนึ่งเดินมาหยุดใกล้ ๆ ตัว ทำให้พะนอขวัญหันกลับไปทันที เป็นพี่สาวของหล่อนนั่นเอง ครั้นมาถึงก็ออกคำสั่งทันทีว่า "เริ่มเก็บเสื้อผ้าได้แล้ว แม่บอกให้หล่อนเตรียมตัว!" "จะไปไหนคะ หรือ...นายใบ้กลับมาแล้ว!" หล่อนถามดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้น แต่...
"จะบ้าเรอะ!" สกาวใจตอบพลางกลั้วหัวเราะร่วน "ทำไมหล่อนถึงได้โง่เง่าเชื่ออะไรอย่างนี้ น้ำหน้าอย่างมันน่ะนะ จะมีปัญญาทำเรื่องแบบนั้นได้ คุณแม่ก็แค่หลอกให้มันดีใจเล่นหรอกน่า ป่านนี้มันคงหนีไปไกลแล้ว โง่...อย่างนี้ไม่แปลกใจหรอกที่หล่อนอาจจะไม่ใช่น้องสาวของฉันจริง ๆ"
พะนอขวัญเม้มริมฝีปากแน่นที่ถูกว่าอย่างเจ็บ ๆ แต่ตอนนี้หล่อนไม่ได้เจ็บใจที่ถูกต่อว่า หล่อนตกใจมากกว่าเพราะ "แล้วจะให้ขวัญเก็บเสื้อผ้าไปอยู่ไหน!"
"เสี่ยย้งกลับมาแล้ว เขาโทรมาบอกว่าวันนี้ได้ส่งลูกน้องมารับ ประเดี๋ยวเดียวก็จะมาถึง หล่อนน่ะจงรีบเก็บข้าวของรอซะ!"
พะนอขวัญรีบค้าน "ยังไม่ครบกำหนดที่แม่ตกลงกับนายใบ้เลยนะ..."
"โง่จริง! ก็ฉันบอกไปเมื่อกี้แล้วว่าคนอย่างมันไม่มีปัญญาทำตามที่แม่บอกหรอก ทำไมถึงได้เชื่อเรื่องเหลวไหลเป็นตุเป็นตะ! เก็บเสื้อผ้าข้าวของซะ เพราะพอพวกนั้นมาถึงหล่อนก็จึงรีบขึ้นรถไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก อ้อ... ได้เป็นเมียเสี่ยย้งเจ้าของโรงสีใหญ่โต หึ! คงทำให้หล่อนรู้สึกไม่น้อยหน้ากว่าเมียเจ้าของร้านทองหรอก...ว่ามั้ย"
สกาวใจจงใจพูดกระทบไปถึงเรื่องทรงยศ หญิงสาวยังหมางใจกับน้องสาวด้วยเรื่องผู้ชายคนนี้อยู่ "… หล่อนจะได้เป็นคุณนายที่ห้า ไม่สิ เมียอีกคนของเสี่ยยั้งก็เพิ่งกระโดดน้ำตายไปหมาด ๆ หล่อนก็ต้องเลื่อนขึ้นเป็นคุณนายที่สี่สินะ หึ ๆ ๆ" ว่าพลางหัวเราะร่วนอีก ก่อนจะตวัดมือมาจับแขนข้างหนึ่งของพะนอขวัญขึ้นมาบีบแน่น แล้วบอกอีก "อย่าได้ชิงผูกคอตายหนีไปเสียก่อนล่ะ...มันบาป!" แล้วก็สะบัดแขนข้างนั้นของน้องสาวออกจากมือ จากนั้นเดินตรงไปกระชากประตูห้องพลางปิดมันลงอย่างแรง!
ทิ้งให้พะนอขวัญยืนสั่นเทาด้วยเริ่มหวาดกลัว ที่จะต้องไปเป็นเมียอีกคนของเสี่ยย้งแล้วในวันนี้ เพราะคนของเสี่ยย้งได้เดินทางมารับหล่อนแล้ว ส่วนนายใบ้ล่ะ... ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่!
นางช้อยกำลังเดินออกมาจากบ้านหลังสีขาว ด้วยท่าทางหงอยเหงาเพราะผิดหวัง "คุณรำพึงไม่ยอมให้ข้าเข้าพบคุณขวัญเธอเลย" นางช้อยเอ่ยกับนายชด ที่กำลังใช้มือกุมตรงท้องเพราะยังเจ็บตรงแผลผ่าตัดอยู่ แต่ก็ยังฝืนลุกขึ้นมา เพื่อหวังจะได้มาส่งคุณขวัญของพวกตนขึ้นรถ "ข้าสิ้นหวังแล้วนะตาแก่ คุณขวัญจะต้องจากพวกเราไปอยู่ไกลถึงสุพรรณบุรีแล้ว"
"ไม่ ไม่สิ นายใบ้ นายใบ้ต้องมาช่วย!"
นางช้อยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด แล้วต่อว่าทันที "บ้า! คิดอะไรอย่างกับคนบ้านะแก คนอย่างไอ้ใบ้มันจะเอาปัญญาที่ไหนมาช่วยคุณขวัญได้ มันก็แค่รับปากคุณขวัญเพราะจะได้ไม่ต้องรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าคนอื่นก็เท่านั้น ป่านนี้...มันคงหนีหัวซุกหัวซุนไปแล้ว อีกอย่างข้าไม่ได้อยากจะให้คุณขวัญไปอยู่กับนายใบ้หรอก ขืนไป ก็กัดก้อนเกลือกินก็เท่านั้นน่ะสิ!"
"หรือแกอยากจะให้คุณขวัญไปเป็นเมียน้อยเสี่ยย้ง หึ?"
"แต่ทางนั้นก็มีเงินทองมากกว่าไม่ใช่รึ!" นางช้อยว่าอีก
"โธ่โว้ย!" นายชดเผลอสบถแรง ๆ อย่างเจ็บใจ แล้วทรุดลงนั่งเพราะรู้สึกเจ็บตึงตรงแผลขึ้นมาอีก
"ตาแก่! แกเจ็บแผลใช่มั้ย ข้าบอกแล้วว่าอย่าลุกขึ้นมา!" ขณะที่นางช้อยกำลังก้มไปช่วยประคองตัวอีกคนให้ลุกขึ้น เวลานั้นตนก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถคันหนึ่งที่แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าไม่ห่างออกไป
รถยนต์คันทรงเพรียวสีเขียวขี้ม้า ที่มีให้เห็นไม่กี่คันในกรุงเทพฯ ทำให้ทั้งสองมองรถคันดังกล่าวเป็นตาเดียว เพราะไม่ค่อยเห็นรถหรูลักษณะแบบนี้มาก่อน เนื่องจากในกรุงเทพฯมีคนใช้อย่างนับคันได้ แล้วประตูรถคันดังกล่าวก็ค่อย ๆ เปิดออก โดยมีร่างสูงร่างหนึ่งกำลังก้าวลงมา พร้อมกับชายหนุ่มที่นางช้อยและนายชดไม่คุ้นหน้าอีกคน
ชายหนุ่มคนนั้นได้ปิดประตูรถลง เขาอยู่ในชุดสูทสีน้ำตาลดูโก้หรู ใบหน้าถูกปิดบังด้วยแว่นตากันแดดสีดำอันใหญ่ เวลาเดียวกันก็มีรถคันใหญ่เป็นมันเงาวับอีกสี่คันขับเข้ามาจอดลดหลั่นกับรถยนต์คันแรกไป จากนั้นก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดซาฟารีดำรีบลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูรถให้ผู้ที่นั่งอยู่เบาะหลังได้ลงมาจากรถอย่างสะดวกสบายขึ้น
ตอนนี้ทุกคนที่นางช้อยและนายชดเห็นตรงหน้า ล้วนแต่แต่งกายภูมิฐานและมีท่าทางน่าเกรงขามกันทั้งสิ้น ส่วนตัวชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำตาลที่มาถึงเป็นคนแรก เขาได้ปลดแว่นตากันแดดออกจากใบหน้าช้า ๆ แล้วทำทีมองขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านหลังใหญ่เล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมามองผู้สูงวัยทั้งตรงหน้า ไม่ลืมที่จะมอบรอยยิ้มอันนุ่มนวลตรงมุมปากให้อีกด้วย
เมื่อคนแก่ทั้งสองได้เห็นใบหน้าของชายผู้ชายคนนี้อย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นใคร ...
นางช้อยและนายชดถึงกลับอุทานหูตาเหลือกลานเพราะตกใจทันที "อะ...ไอ้ใบ้! ไอ้ใบ้!!"