"ขวัญ! ขวัญ!"
เสียงทุ้มยังกังวานอยู่ในภวังค์อันสับสน จนยากจะแยกแยะว่านี่คือความจริงหรือเป็นเพียงแค่ความฝัน หากจะบอกว่าเป็นเพียงฝัน แต่ลำตัวที่อิงแอบอยู่นี่กลับให้อุ่นไอจนเกิดความร้อนผ่าว อีกทั้งฝ่ามือกร้านที่ลูบแผ่ว ๆ ตรงเรือนผมนี่อีก ...ได้สร้างข้อกังขาขึ้นมาอีกว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริงตัวหล่อนกำลังมีใครบางคุ้มครองอยู่
"ไม่เป็นอะไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว" เสียงทุ้มกับนิ้วแกร่งที่พลิ้วพรมอยู่บนเรือนผม ทำให้พะนอขวัญได้หลับตาลงอย่างเป็นสุขและไร้ความกังวลใด ๆ ซึ่งนานเท่าไหร่แล้วหนอที่หล่อนไม่ได้พานพบความรู้สึกเช่นนี้
"ขวัญ ขวัญ"
หล่อนพยักหน้าที่แนบกับอกแกร่งช้า ๆ เห็นดวงตาและรอยยิ้มที่คุ้นเคยผุดพรายขึ้นมาในภาพที่มีแต่หมอกสีขาวจาง ๆ ทำให้น้ำตาของหญิงสาวร่วงเผาะลงจนได้ หล่อนยิ้มทั้งน้ำตาเรียกเจ้าของอ้อมแขนที่กอดประคองหล่อนเอาไว้ว่า "คุณพ่อขา..."
ดวงตาคมคู่ตรงหน้ามองหล่อนด้วยความอบอุ่น ใบหน้าของบุรุษที่คุ้นเคยนั้นดูราบเรียบก็จริง แต่ก็แฝงไว้ซึ่งความรักและความปรารถนาดี พะนอขวัญยิ่งกอดลำตัวที่เหมือนมีชีวิตจิตใจให้แน่นขึ้น ซึมซับอุ่นไอร้อนผ่าว ๆ นี้เอาไว้ พลางพึมพำทั้งน้ำตาอีกทีว่า "ขวัญคิดถึงคุณพ่อ คิดถึงเหลือเกินค่ะ"
ไม่มีคำพูดใด ๆ โต้ตอบ มีแต่วงแขนแกร่งที่กอดร่างบางให้กระชับขึ้นเท่านั้น
"คุณพ่ออย่าทิ้ง อย่าทิ้งขวัญไปไหนอีกได้มั้ยคะ ขวัญกลัว ขวัญเหนื่อยเหลือเกินแล้ว"
เสียงทุ้มที่นุ่มนวลจึงตอบกลับมาเบา ๆ "ไม่ ไม่เป็นอะไรแล้ว ปลอดภัยแล้ว ไม่มีใครมาทำอะไรขวัญได้ทั้งนั้น"
หล่อนค่อย ๆ ยิ้มออก พลางถาม "คุณพ่อจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องขวัญ ใช่มั้ยคะ"
ไร้ซึ่งคำตอบ มีเพียงแค่ปลายจมูกโด่งที่กดลงกับหน้าฝากของหล่อนอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา...เท่านั้น
"ได้โปรด อย่าทิ้งขวัญไปไหนอีก" หล่อนเผยสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกออกมา หล่อนต้องการคนเหลียวแลปกป้อง และเจ้าของวงแขนแกร่งนี้ก็ทำให้หล่อนได้รับไออุ่นที่หล่อนเฝ้าเพรียกหามาหลายปี
"ไม่ทิ้ง อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ทอดทิ้งแน่นอน”
หล่อนรับรู้แล้ว วางใจแล้ว คืนนี้จะเป็นคืนที่หล่อนรู้สึกอบอุ่น มั่นคงที่สุด เพราะมีไออุ่นจากสองแขน และลมหายใจร้อนที่เป่ารดอยู่เหนือศีรษะนี้เพื่ออยู่ดูแลหล่อนตลอดทั้งคืนเลยทีเดียว
ดรันได้กอดหญิงสาวที่กำลังหลับใหลเอาไว้แนบกับอกแน่น …บางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงหล่อนพึมพำถึง 'คุณพ่อขา... ' และหลายคำพูดที่เขาพยายามจะเอียงหูฟังให้ได้มากที่สุด แต่ก็ได้ยินเพียงแค่ว่า อย่าทอดทิ้งหล่อน อย่าปล่อยหล่อนให้อยู่ตามลำพัง และคำพูดเหล่านี้เองที่ได้สร้างความสลดหดหู่ให้กับเขาอยู่ไม่น้อย...
ชีวิตของหล่อนน่าสงสาร ทำไมหล่อนถึงได้มีชีวิตที่น่าสงสารเช่นนี้ หากเปรียบกันแล้ว ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสุขสบายอีกทั้งรอบกายก็มีแต่คนรักและคอยปฏิบัติพัดวีให้ แต่กับหล่อน อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์ด้วยซ้ำ กลับต้องแบกภาระมากมายเอาไว้บนบ่าบางทั้งสอง อีกทั้งก็อยู่กับแม่และพี่สาวใจร้าย แถมยังมีลุงใจทรามที่เต็มไปด้วยตัณหาราคะคนนั้นอีก!
วันนี้หากเขากลับมาไม่ทัน ป่านนี้พะนอขวัญจะต้องป่นปี้แหลกเหลวไปด้วยน้ำมือของผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลุงแท้ ๆ ของหล่อนแน่ ๆ ดีที่คำพูดและสีหน้าอันเต็มไปด้วยความกังวลของป้าช้อยคอยเล่นงานเขาอยู่ตลอดทั้งวัน ทำให้หลังจากจัดการกับบางเรื่องกับอาชาแล้ว เขาก็รีบกลับมารอหล่อนที่บ้านหลังนั้นทันที
แต่รอแล้วรอเล่า ก็ไม่เห็นหญิงสาวกลับมาเสียที ทำให้ดรันต้องตัดสินใจออกไปเตร็ดเตร่ดูแถว ๆ ปากทางเข้าบ้านหล่อน จึงได้เห็นว่าหญิงสาวกำลังเดินอย่างใจลอยอยู่ไกล ๆ และขณะนั้นเองก็มีรถเก๋งคันสีฟ้าเข้ามาจอด พะนอขวัญเหมือนคุยกับคนในรถคันนั้นคำสองคำก็เดินขึ้นรถ แล้วรถเก๋งคันนั้นก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาต้องรีบกระโดดขึ้นรถตุ๊กตุ๊กที่กำลังขับผ่านมาพอดี จากนั้นก็ออกติดตามหล่อนไปห่าง ๆ
จนกระทั่งรถเก๋งคันสีฟ้านั้นได้เลี้ยวเข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง ซึ่งซอยนี้ก็มากไปด้วยบ้านเรือนของผู้คนทำให้เขาเสียเวลาตระเวนหารถเก๋งคันนั้นอยู่พอสมควร ให้คนขับรถตุ๊กตุ๊กช่วยวนรถหาเสียจนทั่ว สุดท้ายเขาได้พบรถเก๋งคันนี้จอดเอาไว้ในบ้านร้างหลังนี้ ดังนั้น เขาจึงได้มาช่วยเหลือหญิงสาวให้รอดพ้นจากผู้ชายใจทรามคนนั้นได้ทันเวลาพอดี และตอนนี้ตัวหล่อนก็กำลังหลับใหลลงโดยมีอ้อมกอดที่เต็มไปได้ความรักความห่วงใยของเขาคอยกอดประคองอยู่
ดรันค่อย ๆ เหลียวมองออกไปทางหน้าต่างห้อง บ้านร้างหลังนี้ไม่มีไฟ ไม่มีสิ่งใดให้แสงสว่าง มีแต่ประกายสายฟ้าที่สาดแสงแปลบปลาบบนท้องฟ้าเท่านั้นที่สะท้อนสองร่างที่กำลังกอดกันแนบแน่น และเขาก็ขอสัญญาว่าจะเป็นที่พักพิงให้กับหล่อน ตราบเท่าที่ตัวหล่อนจะต้องการเลยทีเดียว
พะนอขวัญค่อย ๆ ปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงแสงสว่างที่แยงตาเข้ามา และสิ่งแรกที่หล่อนได้เห็นก็คือเพดานห้อง จากนั้นจึงค่อย ๆ กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะหลุบตาลงยามได้ยินเสียงเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งดังขึ้นไม่ห่างจากตัว
หญิงสาวจึงได้เห็นคนที่นอนกำลังฟุบอยู่ข้างเตียง เขาได้พลิกใบหน้ามาอีกด้าน ซึ่งเป็นด้านที่หล่อนกำลังมองอยู่ และเขาคนนี้ก็กำลังกำมือหล่อนแนบแก้มตัวเองด้วย พะนอขวัญจึงมีโอกาสพิจารณาใบหน้าของชายหนุ่มเพิ่ม หล่อนเห็นจมูกโด่งนั้นเป็นสันน่ามอง และดวงตาทั้งสองที่หลับสนิทนั้นก็ทำให้เห็นชัดขึ้นอีกว่า เขาเป็นชายหนุ่มที่มีขนตาเป็นแพสวยงามขนาดไหน "ใบ้..."
หญิงสาวลองเรียก แต่เสียงที่เปล่งออกมาคงแผ่วเบาเกินไป ชายหนุ่มจึงไม่ได้ยิน เขายังคงหลับใหลและใช้มือหนากุมมือข้างหนึ่งของหล่อนเอาไว้ แวบหนึ่งพะนอขวัญอยากจะดึงมือออก แต่ก็ไม่ดึงเสีย เมื่อได้นึกถึงยามคับขันแล้วเขาก็เข้ามาช่วยหล่อนเอาไว้ได้ทัน และก็พลอยนึกไปถึงเวลาที่หล่อนรู้สึกโดดเดี่ยวเจ็บปวดแต่ก็มีเขาคนนี้คอยอยู่ด้วยไม่ห่าง หัวใจหญิงสาวราวกับจะรู้สึกอ่อนไหวขึ้น เมื่อความรู้สึกแปลกใหม่กำลังก่อเกิด…
พะนอขวัญถอนหายใจเล็กน้อย รับรู้ถึงอุ่นไอร้อนบางอย่างกำลังเกาะเกี่ยวหัวใจหล่อนอยู่ อีกทั้งเมื่อคืนที่ผ่านมาหล่อนก็ฝันดี ฝันว่ามีคนคอยกอดประคอง พร้อมกับมอบสัมผัสอ่อนโยนและเสียงเพรียกให้สัญญาอย่างนับไม่ถ้วนว่าจะไม่ทอดทิ้งให้หล่อนเดียวดายอีกแล้ว
ใครคนนั้นราวกับมีชีวิต มีอุ่นไอกรุ่นกายให้จับต้องได้ ซึ่งหล่อนก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเขาคนนี้ คนที่กำลังกุมมือหล่อนอย่างแน่นหนาหรือไม่ หรือจริง ๆ หล่อนก็แค่ฝันไป เพราะยามที่ตื่นขึ้นมาก็เห็นเขานั่งหลับฟุบอยู่ข้างเตียง ส่วนตัวหล่อนก็กำลังนอนบนเตียงอยู่อย่างนี้
หญิงสาวผ่อนลมหายใจสั้น ๆ อีกครั้ง เมื่อวานก่อนจะเจอกับเรื่องเลวร้ายนี้ มีอยู่หนึ่งคำถามที่ยังคั่งค้างอยู่ในหัวแล้วอยากจะถามนายใบ้ผู้นี้ว่า เขาคือผู้ไม่ประสงค์จะออกนามคนนั้นหรือไม่ แต่เวลานี้กับมีหลายสิ่งที่หล่อนก็อยากรู้ขึ้นมาอีกว่า เขามาช่วยหล่อนได้ทันอย่างไรกัน และที่สำคัญ...ก่อนสำนึกสุดท้ายของหล่อนจะหลุดลอยไป หล่อนได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อหล่อน ซึ่งหญิงสาวค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่ฝัน หรือหูแว่วคิดไปเองอย่างแน่นอน
ที่ตรงนี้ ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเขา แล้วเสียงเรียกชื่อที่หล่อนได้ยิน จะเป็นเสียงของใคร ถ้าไม่ใช่ ชายหนุ่มที่ได้บอกกับหล่อนว่าเป็นคนใบ้ คนนี้…
พะนอขวัญพยายามลุกขึ้น แต่เพราะความเจ็บตรงที่โดนต่อยจึงทำให้หล่อนเผลอชักมืออีกข้างออกจากฝ่ามือทั้งสองของชายหนุ่มมากุมท้อง และนั่นก็ทำให้เขาตกใจตื่นขึ้นมาเห็นว่าหล่อนกำลังพยายามลุกนั่ง ชายหนุ่มจึงรีบตะกายขึ้นจากพื้นเพื่อจะช่วยพยุงหล่อนอีกแรง หญิงสาวเผลอนิ่วหน้าลงเพราะยังเจ็บระบม พร้อมกับมองหน้าเขาด้วยความคลางแคลงใจอย่างล้นปรี่ ก่อนจะตัดสินใจถามเรื่องที่ทำให้หล่อนอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ทันที "ใบ้..."
ชายหนุ่มชะงักสบตากับหล่อน
พะนอขวัญจึงถามอย่างช้า ๆ "...ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป ฉันว่า ฉันได้ยินเสียงคนเรียกชื่อฉัน เสียงนั้นเป็นเสียงของใบ้… หรือเปล่า"
เห็นได้ชัดว่าเขามีอาการตกใจอย่างมาก แล้วเขายังพยายามซ่อนพิรุธโดยการไม่มองหน้าหล่อน ก่อนจะรีบส่ายหน้าแล้วส่งเสียงปฏิเสธตาม "แบ๊ะ! แบ๊ะ!..."
"จริงนะ?" พะนอขวัญยังคงคาดคั้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่กะพริบตา แล้วถามย้ำช้า ๆ ชัด ๆ อีกหนหนึ่ง "เอาล่ะ ...ฉันจะให้โอกาสใบ้ยืนยันอีกครั้ง ก่อนที่ฉันจะหมดสติไป ใบ้ไม่ได้พูดอะไรออกมาจริง ๆ"
ดรันลอบกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ ใจที่หายไปกำลังกลับมาเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงอีกแล้ว เมื่อได้นึกถึงคำพูดของหญิงสาวก่อนหน้านั้นว่า 'ฉันเกลียดคนโกหกหลอกลวงที่สุด!'
ชายหนุ่มค่อย ๆ เบือนดวงตากลับมาสบสายตาคู่ที่ยังจ้องหน้าเขานิ่ง พลางตั้งคำถามถามกับตัวเองว่า เขาพร้อมหรือยังที่จะบอกความจริงให้หล่อนทราบ แล้วยอมแลกกับการถูกหล่อนโกรธและเกลียด และด้วยแววตาแรงกล้าของพะนอขวัญ ที่คอยแต่จะจับจ้องใบหน้าเขาอยู่อย่างไม่กะพริบ ทำให้ดรันเผลอกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ แล้วจึงตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นว่า...
ดรันถามกับตัวเองว่า นี่เขาเป็นบ้าหรือเปล่าที่ทำลายโอกาสที่หล่อนให้มาแล้ว เพราะแทนที่จะพยักหน้ารับ แล้วบอกว่าตัวจริงของเขาคือ ดรัน อาจณรงค์ ไม่ใช่นายใบ้ แต่กลายเป็นว่า เขาได้ส่ายหน้าปฏิเสธออกไปเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มตกตะลึงกับตัวเอง กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ได้ยินเสียงหล่อนทอดถอนใจอย่างดัง พร้อมกับบอกอีกว่า
"เฮ้อ!...หรือ งั้น ฉันคงจะหูฟาดไปจริง ๆ " พะนอขวัญพยักหน้าเล็กน้อยพลางจ้องหน้าเขาอีกครั้งแล้วบอกว่า...
"กลับเถอะ ป่านนี้ที่บ้านฉันจะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้" พะนอขวัญบอก พร้อมกับพยายามลุกขึ้น
ดรันเองจึงละทิ้งการพร่ำตำหนิตัวเองไป แล้วรีบเข้ามาประคองหญิงสาว พะนอขวัญจึงมองชายหนุ่มอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แปลกไปกว่าเดิม