บทที่ 13 ผู้หญิงของฉัน

1670 Words
บทที่ 13 ผู้หญิงของฉัน SAIPAN’S PART ; ข้อมือของฉันถูกฉุดรั้งให้เข้ามาในห้องห้องหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเป็นห้องที่คุณไตรใช้มันเป็นที่ทำงาน เนื่องจากฉันเห็นว่าภายในห้องนี้มีทั้งโต๊ะและชั้นวางเอกสารมากมาย ไม่ต่างจากสำนักงานขนาดย่อมเลยสักนิด ทันทีที่เข้ามาในห้องคนตัวใหญ่ก็ผลักให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวก็เดินอ้อมแล้วนั่งประจำที่เก้าอี้หนังสีดำฝั่งตรงข้าม ราวกับเป็นการสัมภาษณ์งานระหว่างเจ้านายและลูกน้องไม่มีผิด ถ้าจะผิดก็คือฉันไม่ใช่ลูกน้อง และคุณไตรเองก็ไม่ใช่เจ้านายของฉันเช่นกัน! “ป่านนี้คุณหมอคงโกรธแย่เลยนะคะ” ฉันเปิดประโยคออกมาเป็นคนแรก เนื่องจากเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มเกิดความอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “แล้วไง” “ก็คุณกับคุณหมอ...” “หมอรินเป็นแค่หมอ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากกว่านั้น” “อ้อ...” ฉันยิ้มรับบาง ๆ พลางพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดหนักแน่นจนต้องรีบหลบสายตาหนี “จำได้ใช่ไหม เรื่องเมื่อคืน” “อึก...” ฉันถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เมื่อได้ยินหัวข้อสนทนาใหม่นั่นก็คือเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ทั้งที่ในตอนแรกตั้งใจจะถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ บวกกับภาพแนบชิดของฉันและเขาเมื่อคืนมันก็กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันเอาแต่นั่งนิ่ง เม้มปากแน่น มือสองข้างก็บีบเข้าหากัน แถมในใจก็ไม่คิดอยากจะรื้อฟื้นถามถึงให้อับอายอีก ฉันจำได้แม่นว่ามันเกิดขึ้นแบบไหน แถมความรู้สึกหวามไหวเหล่านั้นก็ยังคงตราตรึง จนฉันอยากจะสะบัดมันออกไปให้พ้น ๆ “ได้ยินไหม ถามก็ตอบ” คนตรงหน้ากระแอมในลำคอเบา ๆ ก่อนที่น้ำเสียงของเขาจะกดต่ำและเอ่ยย้ำอีกครั้งถึงคำถามเมื่อครู่ “จะ...จำได้ค่ะ” ฉันตอบเสียงแผ่ว ศีรษะก็พยักตอบรับ หากแต่ใบหน้ากลับก้มงุดเพราะไม่อาจหาญพอที่จะสบสายตามองเขาได้ เหตุการณ์เมื่อคืนมันเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ยา แต่ฉันเองก็กล้ายอมรับเลยว่าตัวฉันเองนี่แหละที่เรียกร้องและอ้อนวอนขอสัมผัสหวิวหวามจากเขา เป็นฝ่ายรุก เป็นฝ่ายเสนอ ฉันนี่แหละที่เริ่มต้นมันทั้งหมด! “แล้วรู้หรือเปล่าว่าถ้าไอ้รุตไปช่วยไม่ทัน ตอนนี้เธอจะอยู่ในสภาพแบบไหน” ประโยคนั้นทำเอาฉันถึงกับเชยใบหน้าขึ้นมอง รับรู้ว่าก่อนที่ร่างกายตัวเองจะถูกชายชุดดำหิ้วไปยังรถตู้ก็มีผู้ชายคนนี้ที่มีอาวุธปืนเข้ามาช่วยเหลือ แต่ในตอนนั้นฉันเองก็ไม่ได้มีสติมากพอที่จะมองว่าเขาคนนั้นเป็นใคร กระทั่งมารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนของคุณไตรนี่แหละ “คุณรุตมาช่วยฉันเหรอคะ คุณเป็นคนบอกให้คุณรุตมาช่วยเหรอ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าจะมีคนทำร้ายฉัน” ความสงสัยที่มีอยู่เต็มอกถูกเปิดเผยออกไป ภายในใจก็รู้สึกระอากับโชคชะตาของตัวเองเหมือนกันที่ต้องพบเจอแต่เรื่องร้าย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการช่วยเหลือจากคุณไตรนั้นนับได้ว่าเขาเป็นเรื่องดี ๆ ในชีวิตของฉันเช่นกัน “ไอ้เสี่ยนั่นมันจ้องเธอตาเป็นมัน” เสียงเข้มเอ่ยบอก ภายในประโยคก็มีแรงขบขันที่ดังเล็ดลอดออกมา “เสี่ย...ลูกค้าคนเมื่อคืนเหรอคะ! เสี่ยคนนั้นเป็นคนทำเหรอ!” เสี่ยที่คุณไตรพูดถึงทำให้ฉันคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยว่าเสี่ยคนนั้นคือลูกค้าคนสำคัญที่ฉันรับหน้าที่ดูแล รู้อยู่ลึก ๆ ว่าเสี่ยคนนี้เ*******ูและเจ้าชู้ไม่น้อย แต่ใครจะไปคิดว่าการกระทำเลวร้ายอุกอาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองแบบนี้ “มันมองเธอตาเยิ้มตั้งแต่เข้ามาในร้าน ไม่ถูกมันอุ้มระหว่างทำงานก็ถือว่าโชคดีเท่าไหร่” “เขา...เขาเลวขนาดนั้นเลยเหรอคะ” น้ำเสียงสั่นพร่าเช่นเดียวกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากไม่มีคนเข้ามาช่วยแล้วสภาพของฉันในตอนนี้จะเป็นยังไง มันคงยับเยินโสมม หรือไม่ก็คงถูกฆ่าตายหลังจากถูกยัดเยียดความสกปรก “แต่เธอรู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนมันไม่ได้เกินเลยไปมากกว่าจูบ...และนิ้วของฉัน” ทว่าความเสียใจที่เกิดขึ้นเป็นต้องดับสิ้นเพราะคำพูดถัดมาของคนตรงหน้า คราวนี้ฉันรู้ได้ว่าพวงแก้มสองข้างของตัวเองกำลังออกสีแดงซ่าน มันเป็นเพราะความอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าได้ไหว รู้ดีว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ข่มเหงรังแก แต่ถึงแบบนั้นฉันก็อับอายจนไม่กล้าสู้หน้าเขาอยู่ดี! “มาเป็นผู้หญิงของฉันสิ” ทว่าความอับอายที่พึงมีหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเขา ฉันเชยใบหน้าขึ้นมองในขณะที่สายตากดมองเขาด้วยความสงสัย หากแต่ในใจกลับมีความกรุ่นโกรธปรากฏขึ้นมาจาง ๆ “มาเป็นผู้หญิงของฉัน แล้วเธอจะได้ทุกอย่าง” “คะ?” ไม่สามารถปิดปากเงียบได้อีกต่อไปเนื่องจากคุณไตรเน้นย้ำถึงคำพูดตัวเองเป็นครั้งที่สอง ผู้หญิงของเขา? “เธอจะได้ทุกอย่าง เงิน ความสุข อำนาจ ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยแบบนี้ด้วย” “…” “ในเมื่อเมื่อคืนฉันและเธอ...” “ไม่ค่ะ ฉันขอปฏิเสธ!” เงียบไปชั่วอึดใจก็ได้คำตอบที่แน่ชัด ซึ่งมันคือการปฏิเสธอย่างที่ไม่มีความลังเลใจใด ๆ แฝงซ่อน “คุณช่วยลืมมันไปได้ไหมคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดแบบนี้ทำไม แต่เมื่อคืนฉันไม่มีสติ มันเลยทำให้ฉันพลั้งพลาดทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นออกไป ถ้าจะกรุณาฉันขอให้คุณช่วยลืมเรื่องเมื่อคืนไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยาก...” “ลืม? ฮึ...ง่ายขนาดนั้นเลยสินะ!” คำพูดของฉันสะดุดกึกเมื่อถูกแทรก ตามมาด้วยเสียงแค่นหัวเราะพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยัน ราวกับว่าเขากำลังไม่พอใจกับสิ่งที่ฉันพูดออกไปเมื่อครู่ “มันไม่ง่ายหรอกค่ะ แต่มันก็ไม่ได้น่าจดจำ มันเป็นเรื่องน่าอับอาย แค่นี้ฉันก็...อ๊ะ!” ทว่าน้ำเสียงสั่น ๆ เป็นต้องชะงักงันไปอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มันถูกกลืนกลับด้วยการกระทำของคุณไตรพัฒน์ที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาเดินเข้ามาประชิดตัวเพียงไม่กี่ก้าวหลังจากนั้นก็ใช้วงแขนแกร่งโอบอุ้มให้ร่างกายของฉันนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน โดยที่มีร่างกำยำกักกันจนเนื้อกายแนบชิดสัมผัสกันและกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ราวกับว่าเขามีพลังเวทมนตร์หยุดเวลา และพละกำลังมหาศาลที่สามารถยกตัวของฉันให้ลอยหวือเหนือพื้นไม่ต่างจากปุยนุ่น “เมื่อคืนเราใกล้ชิดกันแบบนี้” ไม่ว่าเปล่าเขายังโน้มใบหน้าจนปลายจมูกแตะสัมผัสที่แก้มของฉัน ฉันถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ครั้นตั้งสติได้ก็รีบเบี่ยงใบหน้าหนีและผลักแผ่นอกแกร่งให้ออกห่าง ไม่รู้เลยว่าคุณไตรทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แล้วก็ไม่รู้ทำไมหัวใจของฉันมันถึงได้เต้นกระหน่ำจนแทบทะลักออกมาแบบนี้! “คะ...คุณไตร ทำอะไรของคุณ” “แค่อยากจะพิสูจน์ว่าเธอจะลืมมันได้จริงไหม” ฉันเชยใบหน้าขึ้นและถลึงตาโตใส่ด้วยความหงุดหงิด ก็บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันง่าย ๆ เพียงแต่ฉันต้องการลืมและลบเลือนมันออกจากความทรงจำเท่านั้น แกร๊ก! “นายครับ เรื่องใหญ่แล้ว ล็อตนี้...อุ้ย! ซวยแล้วกู!” ทว่าแรงประตูที่เปิดออกตามมาด้วยบุคคลใหม่ที่เดินเข้ามาในห้อง พลันทำให้ฉันรีบซุกตัวหนีหวังให้ความกำยำของคุณไตรช่วยบดบังร่างกายของฉันเอาไว้ แม้ว่าจะล่วงรู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม “บ้านมึงไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไงไอ้รุต มีเหี้ยอะไร!” คุณไตรตะคอกเสียงดังลั่น หากแต่ร่างกายของเขายังหยุดอยู่ที่เดิม ราวกับรู้ว่าฉันอับอายจนไม่อาจหาญพอที่จะโผล่หน้าออกไปได้ “เอ่อ...ผมขอโทษครับนาย ผมไม่รู้ว่านาย...” “ค่อยคุยทีหลัง” “ฉะ...ฉันจะกลับพอดีค่ะคุณรุต” ฉันตัดสินใจโพล่งออกไปทั้ง ๆ ที่ใจจริงอยากจมหายไปกับอากาศ หากมันเป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะรีบออกไปจากที่แห่งนี้ได้ “เรื่องใหญ่จริง ๆ ครับนาย” คนที่เข้ามาใหม่ย้ำคำอีกครั้ง สายตาก็ดูลนลานรู้สึกผิดที่เดินพรวดพราดเข้ามา แต่ฉันกลับมองออกว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งต่อผู้เป็นนายจริง ๆ แล้วฉันก็มองว่าคุณรุตนี่แหละที่เป็นเหมือนพรจากสวรรค์ที่เข้ามาช่วยเหลือฉันได้ทันเวลา! “เธอยังไปไหนไม่ได้” มือใหญ่คว้าหมับเมื่อฉันพยายามขยับตัวหนี ซึ่งฉันเองก็ไม่ยอมลดละ และตั้งใจทิ้งท้ายคำพูดออกไปอย่างเจ็บแสบเพื่อตอกหน้าเขา “ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วค่ะ ฉันยืนยันในคำตอบ แล้วก็อย่าไปพูดแบบนี้กับใครนะคะ มันทุเรศมาก!” SAIPAN’S PART ; END
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD