บทที่ 13
ผู้หญิงของฉัน
SAIPAN’S PART ;
ข้อมือของฉันถูกฉุดรั้งให้เข้ามาในห้องห้องหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่าเป็นห้องที่คุณไตรใช้มันเป็นที่ทำงาน เนื่องจากฉันเห็นว่าภายในห้องนี้มีทั้งโต๊ะและชั้นวางเอกสารมากมาย ไม่ต่างจากสำนักงานขนาดย่อมเลยสักนิด
ทันทีที่เข้ามาในห้องคนตัวใหญ่ก็ผลักให้ฉันนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวก็เดินอ้อมแล้วนั่งประจำที่เก้าอี้หนังสีดำฝั่งตรงข้าม ราวกับเป็นการสัมภาษณ์งานระหว่างเจ้านายและลูกน้องไม่มีผิด
ถ้าจะผิดก็คือฉันไม่ใช่ลูกน้อง และคุณไตรเองก็ไม่ใช่เจ้านายของฉันเช่นกัน!
“ป่านนี้คุณหมอคงโกรธแย่เลยนะคะ” ฉันเปิดประโยคออกมาเป็นคนแรก เนื่องจากเห็นว่าบรรยากาศภายในห้องเริ่มเกิดความอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วไง”
“ก็คุณกับคุณหมอ...”
“หมอรินเป็นแค่หมอ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากกว่านั้น”
“อ้อ...” ฉันยิ้มรับบาง ๆ พลางพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดหนักแน่นจนต้องรีบหลบสายตาหนี
“จำได้ใช่ไหม เรื่องเมื่อคืน”
“อึก...” ฉันถึงกับกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ เมื่อได้ยินหัวข้อสนทนาใหม่นั่นก็คือเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนนี้
ทั้งที่ในตอนแรกตั้งใจจะถามเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอเห็นสายตาดุ ๆ บวกกับภาพแนบชิดของฉันและเขาเมื่อคืนมันก็กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันเอาแต่นั่งนิ่ง เม้มปากแน่น มือสองข้างก็บีบเข้าหากัน แถมในใจก็ไม่คิดอยากจะรื้อฟื้นถามถึงให้อับอายอีก
ฉันจำได้แม่นว่ามันเกิดขึ้นแบบไหน แถมความรู้สึกหวามไหวเหล่านั้นก็ยังคงตราตรึง จนฉันอยากจะสะบัดมันออกไปให้พ้น ๆ
“ได้ยินไหม ถามก็ตอบ” คนตรงหน้ากระแอมในลำคอเบา ๆ ก่อนที่น้ำเสียงของเขาจะกดต่ำและเอ่ยย้ำอีกครั้งถึงคำถามเมื่อครู่
“จะ...จำได้ค่ะ” ฉันตอบเสียงแผ่ว ศีรษะก็พยักตอบรับ หากแต่ใบหน้ากลับก้มงุดเพราะไม่อาจหาญพอที่จะสบสายตามองเขาได้
เหตุการณ์เมื่อคืนมันเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์ยา แต่ฉันเองก็กล้ายอมรับเลยว่าตัวฉันเองนี่แหละที่เรียกร้องและอ้อนวอนขอสัมผัสหวิวหวามจากเขา
เป็นฝ่ายรุก เป็นฝ่ายเสนอ ฉันนี่แหละที่เริ่มต้นมันทั้งหมด!
“แล้วรู้หรือเปล่าว่าถ้าไอ้รุตไปช่วยไม่ทัน ตอนนี้เธอจะอยู่ในสภาพแบบไหน”
ประโยคนั้นทำเอาฉันถึงกับเชยใบหน้าขึ้นมอง รับรู้ว่าก่อนที่ร่างกายตัวเองจะถูกชายชุดดำหิ้วไปยังรถตู้ก็มีผู้ชายคนนี้ที่มีอาวุธปืนเข้ามาช่วยเหลือ แต่ในตอนนั้นฉันเองก็ไม่ได้มีสติมากพอที่จะมองว่าเขาคนนั้นเป็นใคร กระทั่งมารู้ตัวอีกครั้งก็ตอนฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนของคุณไตรนี่แหละ
“คุณรุตมาช่วยฉันเหรอคะ คุณเป็นคนบอกให้คุณรุตมาช่วยเหรอ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าจะมีคนทำร้ายฉัน” ความสงสัยที่มีอยู่เต็มอกถูกเปิดเผยออกไป
ภายในใจก็รู้สึกระอากับโชคชะตาของตัวเองเหมือนกันที่ต้องพบเจอแต่เรื่องร้าย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการช่วยเหลือจากคุณไตรนั้นนับได้ว่าเขาเป็นเรื่องดี ๆ ในชีวิตของฉันเช่นกัน
“ไอ้เสี่ยนั่นมันจ้องเธอตาเป็นมัน” เสียงเข้มเอ่ยบอก ภายในประโยคก็มีแรงขบขันที่ดังเล็ดลอดออกมา
“เสี่ย...ลูกค้าคนเมื่อคืนเหรอคะ! เสี่ยคนนั้นเป็นคนทำเหรอ!”
เสี่ยที่คุณไตรพูดถึงทำให้ฉันคิดเป็นอื่นไม่ได้เลยว่าเสี่ยคนนั้นคือลูกค้าคนสำคัญที่ฉันรับหน้าที่ดูแล รู้อยู่ลึก ๆ ว่าเสี่ยคนนี้เ*******ูและเจ้าชู้ไม่น้อย แต่ใครจะไปคิดว่าการกระทำเลวร้ายอุกอาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองแบบนี้
“มันมองเธอตาเยิ้มตั้งแต่เข้ามาในร้าน ไม่ถูกมันอุ้มระหว่างทำงานก็ถือว่าโชคดีเท่าไหร่”
“เขา...เขาเลวขนาดนั้นเลยเหรอคะ” น้ำเสียงสั่นพร่าเช่นเดียวกับหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ
ไม่อยากจะคิดเลยว่าหากไม่มีคนเข้ามาช่วยแล้วสภาพของฉันในตอนนี้จะเป็นยังไง
มันคงยับเยินโสมม หรือไม่ก็คงถูกฆ่าตายหลังจากถูกยัดเยียดความสกปรก
“แต่เธอรู้ใช่ไหมว่าเมื่อคืนมันไม่ได้เกินเลยไปมากกว่าจูบ...และนิ้วของฉัน”
ทว่าความเสียใจที่เกิดขึ้นเป็นต้องดับสิ้นเพราะคำพูดถัดมาของคนตรงหน้า คราวนี้ฉันรู้ได้ว่าพวงแก้มสองข้างของตัวเองกำลังออกสีแดงซ่าน มันเป็นเพราะความอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าได้ไหว
รู้ดีว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ข่มเหงรังแก แต่ถึงแบบนั้นฉันก็อับอายจนไม่กล้าสู้หน้าเขาอยู่ดี!
“มาเป็นผู้หญิงของฉันสิ”
ทว่าความอับอายที่พึงมีหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของเขา ฉันเชยใบหน้าขึ้นมองในขณะที่สายตากดมองเขาด้วยความสงสัย หากแต่ในใจกลับมีความกรุ่นโกรธปรากฏขึ้นมาจาง ๆ
“มาเป็นผู้หญิงของฉัน แล้วเธอจะได้ทุกอย่าง”
“คะ?” ไม่สามารถปิดปากเงียบได้อีกต่อไปเนื่องจากคุณไตรเน้นย้ำถึงคำพูดตัวเองเป็นครั้งที่สอง
ผู้หญิงของเขา?
“เธอจะได้ทุกอย่าง เงิน ความสุข อำนาจ ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อยแบบนี้ด้วย”
“…”
“ในเมื่อเมื่อคืนฉันและเธอ...”
“ไม่ค่ะ ฉันขอปฏิเสธ!” เงียบไปชั่วอึดใจก็ได้คำตอบที่แน่ชัด ซึ่งมันคือการปฏิเสธอย่างที่ไม่มีความลังเลใจใด ๆ แฝงซ่อน
“คุณช่วยลืมมันไปได้ไหมคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดแบบนี้ทำไม แต่เมื่อคืนฉันไม่มีสติ มันเลยทำให้ฉันพลั้งพลาดทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้นออกไป ถ้าจะกรุณาฉันขอให้คุณช่วยลืมเรื่องเมื่อคืนไปเถอะค่ะ ฉันไม่อยาก...”
“ลืม? ฮึ...ง่ายขนาดนั้นเลยสินะ!”
คำพูดของฉันสะดุดกึกเมื่อถูกแทรก ตามมาด้วยเสียงแค่นหัวเราะพร้อมกับรอยยิ้มเหยียดหยัน ราวกับว่าเขากำลังไม่พอใจกับสิ่งที่ฉันพูดออกไปเมื่อครู่
“มันไม่ง่ายหรอกค่ะ แต่มันก็ไม่ได้น่าจดจำ มันเป็นเรื่องน่าอับอาย แค่นี้ฉันก็...อ๊ะ!”
ทว่าน้ำเสียงสั่น ๆ เป็นต้องชะงักงันไปอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มันถูกกลืนกลับด้วยการกระทำของคุณไตรพัฒน์ที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาเดินเข้ามาประชิดตัวเพียงไม่กี่ก้าวหลังจากนั้นก็ใช้วงแขนแกร่งโอบอุ้มให้ร่างกายของฉันนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน โดยที่มีร่างกำยำกักกันจนเนื้อกายแนบชิดสัมผัสกันและกัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ราวกับว่าเขามีพลังเวทมนตร์หยุดเวลา และพละกำลังมหาศาลที่สามารถยกตัวของฉันให้ลอยหวือเหนือพื้นไม่ต่างจากปุยนุ่น
“เมื่อคืนเราใกล้ชิดกันแบบนี้” ไม่ว่าเปล่าเขายังโน้มใบหน้าจนปลายจมูกแตะสัมผัสที่แก้มของฉัน
ฉันถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ครั้นตั้งสติได้ก็รีบเบี่ยงใบหน้าหนีและผลักแผ่นอกแกร่งให้ออกห่าง
ไม่รู้เลยว่าคุณไตรทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แล้วก็ไม่รู้ทำไมหัวใจของฉันมันถึงได้เต้นกระหน่ำจนแทบทะลักออกมาแบบนี้!
“คะ...คุณไตร ทำอะไรของคุณ”
“แค่อยากจะพิสูจน์ว่าเธอจะลืมมันได้จริงไหม”
ฉันเชยใบหน้าขึ้นและถลึงตาโตใส่ด้วยความหงุดหงิด ก็บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันง่าย ๆ เพียงแต่ฉันต้องการลืมและลบเลือนมันออกจากความทรงจำเท่านั้น
แกร๊ก!
“นายครับ เรื่องใหญ่แล้ว ล็อตนี้...อุ้ย! ซวยแล้วกู!”
ทว่าแรงประตูที่เปิดออกตามมาด้วยบุคคลใหม่ที่เดินเข้ามาในห้อง พลันทำให้ฉันรีบซุกตัวหนีหวังให้ความกำยำของคุณไตรช่วยบดบังร่างกายของฉันเอาไว้ แม้ว่าจะล่วงรู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม
“บ้านมึงไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไงไอ้รุต มีเหี้ยอะไร!” คุณไตรตะคอกเสียงดังลั่น หากแต่ร่างกายของเขายังหยุดอยู่ที่เดิม ราวกับรู้ว่าฉันอับอายจนไม่อาจหาญพอที่จะโผล่หน้าออกไปได้
“เอ่อ...ผมขอโทษครับนาย ผมไม่รู้ว่านาย...”
“ค่อยคุยทีหลัง”
“ฉะ...ฉันจะกลับพอดีค่ะคุณรุต” ฉันตัดสินใจโพล่งออกไปทั้ง ๆ ที่ใจจริงอยากจมหายไปกับอากาศ หากมันเป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะรีบออกไปจากที่แห่งนี้ได้
“เรื่องใหญ่จริง ๆ ครับนาย” คนที่เข้ามาใหม่ย้ำคำอีกครั้ง สายตาก็ดูลนลานรู้สึกผิดที่เดินพรวดพราดเข้ามา แต่ฉันกลับมองออกว่าเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องแจ้งต่อผู้เป็นนายจริง ๆ
แล้วฉันก็มองว่าคุณรุตนี่แหละที่เป็นเหมือนพรจากสวรรค์ที่เข้ามาช่วยเหลือฉันได้ทันเวลา!
“เธอยังไปไหนไม่ได้” มือใหญ่คว้าหมับเมื่อฉันพยายามขยับตัวหนี ซึ่งฉันเองก็ไม่ยอมลดละ และตั้งใจทิ้งท้ายคำพูดออกไปอย่างเจ็บแสบเพื่อตอกหน้าเขา
“ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วค่ะ ฉันยืนยันในคำตอบ แล้วก็อย่าไปพูดแบบนี้กับใครนะคะ มันทุเรศมาก!”
SAIPAN’S PART ; END