“คุณอีธาน”
“ว่ายังไงเจ้าสัวอิทธิ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะระหว่างคนสองคนที่จ้องตากันผ่านหน้าจอโทรศัพท์กล้องวิดีโอคอล
ฝ่ายที่ถูกเรียกชื่อก่อนคืออีธาน อีธานเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหรือเรียกอีกอย่างคือหัวหน้าการก่ออาชญากรรมเป็นบอสใหญ่ขององค์กรค้ามนุษย์ข้ามชาติรวมถึงสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งตอนนี้พักอาศัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษเพื่อไปขยายธุรกิจมืดที่นั่น
ชายหนุ่มอีธานกำลังคุยโทรศัพท์กับเจ้าสัวอิทธินายหน้าองค์กรค้ามนุษย์ข้ามชาติทางตอนเหนือรายใหญ่ของประเทศไทย เดิมทีทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันค่อนข้างมากเพราะเจ้าสัวอิทธิจะเป็นฝ่ายจัดหาสินค้ามีชีวิตส่งไปให้อีธานเสมอทั้งสองจึงพูดคุยกันด้วยดีเสมอมา
แต่ตอนนี้เจ้าสัวอิทธิไม่สามารถส่งสินค้าให้กับอีธานมาแล้วหลายครั้ง ทำให้เขาเสียผลประโยชน์ไปอย่างมหาศาล ดังนั้นบรรยากาศการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ของคนทั้งคู่จึงไม่ดีนัก
ส่วนเจ้าสัวอิทธิ คือผู้มีอิทธิพลค่อนข้างมากในจังหวัดทางตอนเหนือของประเทศไทย และเป็นผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลลำดับต้น ๆ ของประเทศ เนื่องจากเจ้าสัวอิทธิชอบบริจาคเงินช่วยเหลือบ้านเด็กกำพร้าหรือศูนย์ดูแลผู้สูงอายุอยู่เสมอ ผู้คนจึงรู้จักเขาในชื่อ เจ้าสัวนักบุญ
“คุณดูไม่เดือดร้อนเลยนะครับ” เจ้าสัวอิทธิว่า อีกฝ่ายยิ้มแล้วจึงพูดตอบกลับ
“เดือดร้อนสิ นั่นผลประโยชน์ของผมทั้งนั้นนะ ไหนจะลูกน้องผมที่เสียไปอีก ฝีมือดี ๆ ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าที่ผมดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอย่างที่ควรจะเป็นนั่นก็เป็นเพราะ...”
“...”
“เพราะว่าผมกำลังคิดว่าประเทศไทยมันเหมาะสมแล้วเหรอที่จะทำธุรกิจนี้ต่อไป หรือว่าจริง ๆ แล้วมันเหมาะสม แต่คนที่ดูแลไม่เหมาะสมเอง อืม... หรือว่าผมควรจะเปลี่ยนนายหน้าจัดหารายใหญ่ใหม่ดีนะ”
“นี่คุณหมายความว่า!” เจ้าสัวอิทธิพูดด้วยสีหน้าดำคล้ำ เขารู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองกำลังถูกตัดหางปล่อยวัด
“หึหึหึ ตอนนี้ยังหรอก มันยังเป็นเพียงความคิดเท่านั้น แต่เจ้าสัว... คุณต้องคิดให้ดีนะครับว่าผมเสียผลประโยชน์ไปแล้วตั้งเท่าไหร่ กี่ครั้งแล้วที่คุณส่งสินค้าให้ผมไม่ได้ จนผมต้องขอโทษลูกค้าและต้องเสียเงินเพื่อรักษามิตรภาพเหล่านั้นไว้อีก แน่นอนว่ามันไม่ใช่เงินน้อย ๆ”
“...”
“ถ้าคุณไม่อยากเสียหน้าที่และรายได้ตรงส่วนนี้ไป คุณก็ควรที่จะทำอะไรที่มันจริงจังและเด็ดขาดสักทีนะครับ แค่นี้นะครับเจ้าสัวผมมีประชุม” พูดจบอีธานก็วางสายไปทันที
เจ้าสัวอิทธิมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ หัวสมองพาลขบคิดไปถึงกลุ่มคนที่บุกเข้าทลายโกดังเก็บสินค้าของเขา ยิ่งคิดมือทั้งสองยิ่งกำเข้าหากันแน่น
“ไอ้พวกหาที่ตาย!” เจ้าสัวอิทธิสบถออกมา ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา!” ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่เจ้าสัวจึงกระชากเสียงบอกคนข้างนอกให้เข้ามา
“ขออนุญาตครับท่าน”
“ว่าไง รู้หรือยังว่าใคร” เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นใครเจ้าสัวจึงเอ่ยปากถามทันที ส่วนคนที่เข้ามาในห้องคือนายองอาจ ลูกน้องคนสนิทของเจ้าสัวอิทธิ
“รู้แล้วครับเป็นหน่วยปราบปรามพิเศษของกองกำลังตำรวจและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน นำโดยผู้กองเพลิงและผู้กองปราบครับท่าน”
“หึ! เป็นพวกมันอีกแล้ว”
ที่เจ้าสัวอิทธิพูดออกมาแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้สองสามครั้ง คนที่เข้าจับกุมและไปทลายโกดังสินค้าของเขาคือผู้กองทั้งสองคนทั้งนั้น
“แล้วหัวหน้าของพวกมันล่ะเป็นใคร”
“ว่าไง” เมื่อไม่เห็นว่าลูกน้องคนสนิทจะพูดออกมา เจ้าสัวอิทธิจึงได้ถามออกมาอีกครั้ง
“ขออภัยครับท่าน เรื่องนี้ยังไม่แน่ชัดว่าใครกันแน่คือหัวหน้าของ
ผู้กองทั้งสอง แต่คนที่น่าสงสัยและเข้าข่ายที่สุดคือผู้การณรงค์ครับ” ได้ฟังคำตอบของลูกน้องคนสนิท คิ้วเข้มของเจ้าสัวอิทธิก็ขมวดมุ่น แววตาครุ่นคิดแล้วพูดว่า
“ผู้การณรงค์ ใช่นายพลณรงค์ เดชอนันต์หรือเปล่า”
“ใช่ครับท่าน”
“เหอะ อยู่ดีไม่ว่าดี แส่ไม่เข้าเรื่องหาเรื่องตายจริง ๆ” เจ้าสัวอิทธิสบถออกมา
“แต่ก็เอาเถอะในเมื่อยังไม่แน่ใจ งั้นก็จับตาดูผู้การคนนี้เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ว่าแต่ผู้การคนนี้มีลูกสาวคนสวยด้วยใช่ไหม” เจ้าสัวอิทธิถามอย่างสนใจ
“ครับ ชื่อณิชญารีย์ เดชอนันต์ หรือ หนูนิดครับท่าน อายุยี่สิบสองปี” นายองอาจบอกกล่าวข้อมูลที่เขาได้ทำการสืบหามาแล้วอย่างดีให้ผู้เป็นนายได้ฟัง
“น่าเสียดาย” ได้ยินคำพูดของผู้เป็นนาย นายองอาจก็ขมวดคิ้วและมองเจ้าสัวอิทธิด้วยความสงสัย
“หึ! ที่บอกว่าน่าเสียดายเพราะฉันไม่มีลูกไม่มีครอบครัว ไม่อย่างนั้นหนูนิดคนนั้นฉันคงให้ลูกชายแต่งงานกับลูกสาวของผู้การณรงค์ไปแล้ว มาคิด ๆ ดูตำแหน่งและอำนาจของผู้การคนนี้ก็ไม่เลวเลย น่าเสียดายจริง ๆ”
นายองอาจครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดบางอย่างออกมาจนเจ้าสัวอิทธิหัวเราะร่า
“หากเสียดาย ทำไมเจ้าสัวอิทธิไม่เปลี่ยนสถานะตัวเองให้เป็นลูกเขยของผู้การณรงค์ซะเองล่ะครับ”
“วะฮะฮะฮะ องอาจ! นายนี่สมกับเป็นลูกน้องฉันจริง ๆ นั่นสินะทำไมฉันถึงคิดไม่ได้กัน สวยก็สวยอายุก็กำลังพอดี หากว่าได้เธอมาอยู่ใต้ร่างคงทำให้ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าดีไม่เบา”
เจ้าสัวอิทธิพูดพร้อมกับมองหน้านายองอาจด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ซึ่งลูกน้องที่ดีที่สุดก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นเดียวกัน
“เอาละ เรื่องนี้ยังสามารถรอได้ เรามาจัดการสองผู้กองนี่ก่อนดีกว่า”
“ครับ เจ้าสัวเชิญสั่ง”
จากนั้นการวางแผนการกำจัดสองผู้กองจึงได้เริ่มขึ้น เจ้าสัวอิทธิไม่คิดให้โอกาสให้ทั้งสองได้มีชีวิตรอด จึงมีคำสั่งลงไปให้กำจัดทิ้งทันที มือปืนที่ดีที่สุดในสังกัดของเจ้าสัวอิทธิจึงได้รับหน้าที่นี้ไปด้วยใบหน้า
แย้มยิ้ม
“องอาจ นายว่าฉันควรไปทำความรู้จักกับคุณนิตยาว่าที่แม่ยายหน่อยดีไหม”
“ดีครับท่าน จากที่ผมสืบมาได้ตอนนี้คุณนิตยากำลังมองหาว่าที่ลูกเขยให้คุณหนูนิดอยู่ครับ”
“อืม... ถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วล่ะ ด้วยความที่ฉันดูแลตัวเองอยู่ตลอดเวลา แม้อายุจริงจะสี่สิบปี แต่ลักษณะทางกายภาพกลับเหมือนคนอายุสามสิบ ไหนจะเป็นเจ้าสัวผู้ใจบุญอีก ฉันคิดว่าคงเข้าทางคุณนิตยาได้ไม่ยาก”
“ครับท่าน วันพรุ่งนี้ตอนหกโมงเย็นคุณนิตยาจะไปงานเลี้ยงการกุศลหนึ่งของโรงแรมในตัวจังหวัดครับ ผมว่าท่านควรไปปรากฏตัวในงานนั้น”
“ขอบคุณมากองอาจ หึ! งั้นก็ให้คนจัดเตรียมชุดให้ฉันหน่อยแล้วกัน แล้วก็อย่าลืมเตรียมของกำนัลไว้ด้วยล่ะ”
“ครับท่าน”
“อีกอย่าง... ติดต่อนายอำเภอห่างไกลนั่นด้วย ให้เริ่มแผนการที่ได้วางไว้ได้แล้ว”
“ครับ ผมจะรีบดำเนินการ”
“อืม... นายไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอบคุณครับ”
คล้อยหลังลูกน้องคนสนิทอย่างองอาจ เจ้าสัวอิทธิก็นั่งมองรูปของหนูนิดด้วยรอยยิ้มพึงใจ ในความคิดเริ่มวาดฝันถึงการได้บดขยี้ร่างแน่งน้อยนี้ยากจะพรรณนา