10 ~ ความทรงจำที่เจ็บปวด

1656 Words
ขณะนั่งรถกลับบ้าน มาริสาก็หวนนึกถึงอดีต...เมื่อ 17ปีก่อน ณ บ้านสวนในอัมพวา ครอบครัวของมาริสาอยู่ในบ้านเช่าหลังเล็กๆ เด็กหญิงมาริสาวัย 8ปี ลูกสาวของมัทนากับองศา องศาเป็นคนเจ้าชู้มักมากแม้จะมีเมียมีลูกอยู่แล้วเขาก็ยังมีผู้หญิงคนอื่นๆไปเรื่อยจนมัทนาเสียใจล้มป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอดก็ยิ่งทำให้องศาเบื่อหน่ายและตัดสินใจแยกทางกับเธอ “เราจบกันแค่นี้นะมัท ฉันจะไปอยู่กับแหวน” “แหวน! นี่พี่มีเมียใหม่อีกแล้วเหรอ แล้วฉันกับลูกล่ะ” “ลูกของเธอ เธอก็ดูแลเอาเองละกัน ฉันจะพาลูกฉันไป น้องแหวนมารอฉันอยู่หน้าบ้านแล้ว” “พี่..อย่าทิ้งฉันกับลูกไปเลยนะ ฮือๆ” มัทนาเข้าไปดึงแขนองศาแล้วร้องไห้ขอร้องพยายามจะรั้งเขาไว้ “กูบอกให้ปล่อย! มึงไม่ยอมปล่อยใช่มั้ย!” องศารำคาญทั้งเตะทั้งตบสะบัดแขนผลักมัทนาออกจนมัทนาล้มลงบนพื้น มาริสาได้ยินพ่อกับแม่เถียงกันก็ยืนแอบดูอยู่ข้างมุมตู้ เมื่อเห็นแม่ล้มลงก็รีบวิ่งเข้าไปหาแม่ “ฮือๆ..พี่องศา..อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ” “แม่..แม่เจ็บมั้ยคะ” เด็กน้อยถามแม่แล้วหันไปกอดขาพ่อร้องไห้ “พ่อจะไปไหน..อย่าไปเลยนะคะ แม่ไม่สบาย พ่ออย่าทิ้งแม่กับหนูไปนะคะ” “ยังไงกูก็จะไป แกก็อยู่กับแม่ของแกไปสิ!” องศาพยายามแกะมือมาริสาออก “พ่อ..พ่ออย่าทิ้งพวกเราไปเลยนะ” มาริสากอดขาองศาแน่น “ปล่อย! มึงนี่อีกคน พูดไม่รู้เรื่องหรือไง กูบอกให้ปล่อย!” “อย่าทำร้ายลูกนะพี่..” มัทนาเข้ามาห้ามก็ถูกองศาผลักทั้งเธอและลูกสาวที่เกาะกอดขาเขาอยู่กระเด็นออกมา แล้วเขาก็เดินไปหาเมียใหม่ไม่หันกลับมามองมัทนากับมาริสาอีกเลย “พ่อออ!” มาริสาหันไปกอดแม่ร้องไห้เด็กน้อยมองตามหลังนึกโกรธและเกลียดชังผู้เป็นพ่อที่ทิ้งเธอกับแม่ไปอย่างไม่ใยดี.. ครอบครัวของ ม.ร.ว.เมฆา มาราสกุล ท่านชายผู้สุขุมใจเย็นใจดี ท่านเป็นปลัดอำเภออยู่กับท่านผู้หญิงรวิวรรณ พลอยพรรณ ในบ้านเรือนไทยใหญ่โตสวยงาม บ้านนี้เป็นมรดกของบรรพบุรุษที่ตกทอดมาถึงคุณยาย ทั้งคู่มีทายาทบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวคือ ราเมศ วัย 12ปี ศึกษาอยู่ในโรงเรียนประจำมาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อต้องการฝึกให้เขามีระเบียบวินัยและเข้มแข็ง ราเมศเพิ่งได้กลับมาเยี่ยมบ้านสวนของคุณยายได้แค่ไม่กี่วัน ท่านชายเมฆาเป็นคนรักเดียวใจเดียวเป็นสุภาพบุรุษและท่านก็ปลูกฝังอบรมให้บุตรชายซึมซับความรู้สึกนี้ ครอบครัวของราเมศจึงเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มัทนาหลังจากถูกองศาทิ้งไป เธอป่วยทั้งเป็นโรคซึมเศร้าและตรอมใจจนไม่สามารถทำงานได้ เงินจะจ่ายค่าเช่าบ้านก็ไม่มี มัทนาไม่อยากมีชีวิตอยู่ให้ทุกข์ทรมานทั้งกายและใจ เธอจึงตัดสินใจคิดสั้นไปกระโดดน้ำที่คลองท้ายสวนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบ้านเช่ามากนัก แต่โชคยังดีที่คุณหญิงรวิวรรณบังเอิญมาเห็นเข้าและช่วยเหลือเธอไว้ได้ทันท่วงที “มัท..นี่เธอจริงๆใช่มั้ย ผอมลงผิดหูผิดตาจนฉันจำแทบไม่ได้” คุณหญิงรวิวรรณเอ่ยถามเพื่อนในวัยเรียน มัทนาได้แต่พยักหน้าร่ำไห้พูดอะไรไม่ออก “ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้.. หายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกฉันมาตรงๆว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง เราเป็นเพื่อนกันเสมอนะ มัท” “ฉันถูกสามีทิ้ง ป่วยเรื้อรังจนไม่มีแรงจะทำงาน ไม่มีเงินจะรักษา เงินจะจ่ายค่าเช่าบ้านก็ไม่มีจนถูกไล่ออกจากบ้าน ฉันไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ชีวิตของฉันหมดสิ้น หมดหนทางแล้วจริงๆ ฮือๆ” “เธอไม่มีลูกเหรอ แล้วพ่อแม่ล่ะ ทำไมไม่คิดถึงคนข้างหลัง ถ้าเธอเป็นอะไรไป คนที่รักเธอเขาจะอยู่ได้ยังไง” “ยัยนิ ลูก!..ฉันไม่เหลือใครแล้วนอกจากลูกสาวคนเดียว ฮือๆ” มัทนานึกถึงลูกสาว เธอบอกเพื่อนไปแล้วก็ร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกผิดที่คิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว คิดจะทิ้งลูกให้เผชิญกับเรื่องราวเลวร้ายนี้เพียงลำพังถ้าหากว่าเธอจากโลกนี้ไป “เอาอย่างนี้นะ เธอรีบกลับไปหาลูกก่อน ตอนนี้คงจะตามหาเธอแย่แล้วล่ะ พรุ่งนี้เธอค่อยพาลูกมาหาฉันที่บ้าน อย่าคิดสั้นอีกนะ รักลูกสาวให้มากกว่าคนที่ไม่เห็นค่าในตัวเธอ ฉันจะหาทางออกให้เธอเอง” คุณหญิงรวิวรรณให้คนสวนพามัทนาไปส่งที่บ้านเช่า “นิ ลูกแม่..” มัทนากลับถึงบ้านก็โผเข้ากอดลูกสาวแล้วร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกผิดต่อลูก “แม่..ฮือ..ฮือ..แม่หายไปไหนมาคะ แม่อย่าทิ้งหนูไปไหนอีกนะ แม่อย่าทิ้งหนูไปอีกคนนะคะ ฮือๆ" “แม่ขอโทษนะลูก แม่ขอโทษ..ต่อไปแม่จะอยู่ แม่จะสู้เพื่อลูก..” มัทนากับมาริสา สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้โฮ เช้าวันต่อมา.. เมฆาออกไปทำงานที่อำเภอตั้งแต่เช้า วันนี้เขาพาราเมศไปทำงานกับเขาด้วย ฝ่ายคุณหญิงรวิวรรณหลังจากจัดเตรียมสำรับกับข้าวให้แม่วรรณ แม่ของเธอเรียบร้อยแล้วก็ออกมานั่งรอมัทนาที่ศาลาริมน้ำข้างบ้าน สมัยเรียนเธอกับมัทนาถือว่าเป็นเพื่อนสนิทเพื่อนรักกันเลยก็ว่าได้ แต่มาห่างหายไม่ได้ติดต่อกันก็ช่วงที่ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปมีครอบครัว เธอทราบเพียงแต่ว่ามัทนาย้ายตามสามีไปทำงานตามจังหวัดต่างๆไม่เป็นหลักแหล่ง มาเจออีกทีก็มีเรื่องให้เสียใจ รวิวรรณนั่งคิดถึงอดีตได้ไม่นานก็เห็นมัทนาจูงเด็กน้อยหน้าตาน่ารักเดินตรงมายังศาลา “นั่งก่อนสิ มัท มานี่สาวน้อย..มานั่งข้างป้าซิ” รวิวรรณชวนให้เพื่อนนั่งลงแล้วเรียกเด็กน้อยให้ไปนั่งใกล้ๆเธอ มาริสาพนมมือก้มลงไหว้รวิวรรณอย่างอ่อนน้อมแล้วเข้าไปนั่งใกล้ๆคุณหญิง “ชื่ออะไรจ๊ะสาวน้อย หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูเชียว กิริยามารยาทก็อ่อนน้อม” “หนูชื่อด.ญ.มาริสา ค่ะ” เด็กน้อยตอบคุณหญิงรวิวรรณ “มาริสาเหรอลูก..ป้าขอเรียกว่า”หนูริสา”นะลูก เธอนี่น่าอิจฉามากเลยรู้ตัวมั้ยมัท ฉันล่ะอยากมีลูกสาวแต่กลับมีลูกชายแค่คนเดียว” “เอ่อ..แล้วท่านชายสามีของเธอกับลูกไม่อยู่เหรอ” มัทนาพูดออกมาอย่างเกรงใจที่มารบกวน “คุณเมฆาพาลูกไปทำงานที่อำเภอด้วยน่ะวันนี้ เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ” “เอ่อ..ฉัน..ฉันไม่อยากจะรบกวนเธอกับครอบครัว” “รบกงรบกวนอะไรกัน เธอเป็นเพื่อนรักของฉันนะมัท” “แต่...” “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ฉันคิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ เอาอย่างนี้นะ..ฉันจะให้เธอไปคิดตัดสินใจดูนะว่าเธอจะทำอะไรต่อ เธอถนัดงานอะไร ฉันจะลงทุนให้เธอเอง ส่วนหนูริสาฉันจะอุปการะส่งเสียค่าใช้จ่ายให้เรียนจนจบเอง เธอไม่ต้องกังวลและไม่ต้องเกรงใจด้วย ฉันมีลูกชายแค่คนเดียวถือว่าลูกของเธอก็เหมือนลูกของฉัน” “แล้วสามีกับลูกชายเธอจะไม่ว่าเอาเหรอ” “ฉันปรึกษากับเขาแล้ว ทั้งสองคนเห็นดีด้วย เธออย่าปฏิเสธความปรารถนาดีของพวกเราเลยนะ” มัทนาครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจหันไปบอกกับลูกสาว “กราบขอบคุณ ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณหญิงรวิวรรณเสียสิลูก” “ขอบพระคุณคุณหญิงมากค่ะที่เมตตาหนู” หนูน้อยมาริสาก้มกราบลงบนตักคุณหญิงรวิวรรณ “เรียกป้าดีกว่านะจ๊ะลูก” คุณหญิงรวิวรรณดึงมาริสาเข้าไปกอด เธอรู้สึกเอ็นดูและถูกชะตากับเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก “ค่ะ คุณหญิงป้า” มาริสากอดตอบคุณหญิงและยิ้มออกมาอย่างรู้สึกอบอุ่น หลังจากได้รับความช่วยเหลือจากคุณหญิงรวิวรรณแล้ว มัทนาก็พาลูกกลับมาที่บ้าน เธอไม่อยากไปพบเจอใครให้เจ็บปวดอีก เธอจึงรับผ้าจากโรงงานมาเย็บประกอบเป็นเสื้อแล้วส่งคืนโรงงาน ค่าแรงแม้จะน้อยแต่เธอก็ได้อยู่บ้านกับลูก มาริสาก็ช่วยแม่ทำงานเท่าที่ทำได้ เธอเลยกลายเป็นเด็กที่เก็บตัวไม่ค่อยมีเพื่อน “นิ” “ขาแม่” “ออกไปเล่นกับเพื่อนบ้างเถอะลูก แม่ทำเรื่อยๆอีกไม่นานก็จะเสร็จแล้ว ปิดเทอมอยู่ช่วยงานแม่ตลอด ไม่ออกไปเล่นอย่างเพื่อนๆเขาบ้างล่ะลูก” “นิอยากช่วยแม่หนิคะ” “ไปเถอะลูก ออกไปเดินเล่นหรือไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆบ้าง” “ก็ได้ค่ะแม่ หนูขอไปเดินเล่นที่ท้ายสวนใกล้ๆนี้นะคะ” “จ้ะลูก” เมื่อมาริสาออกไปแล้วมัทนาก็ก้มเย็บผ้าตรงหน้าต่อ แม้รวิวรรณจะยื่นมือมาช่วยเธอ แต่เธอก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนมากนัก เธอพยายามทำงานและประหยัดมัธยัสที่สุด เธอหวังแค่ให้มาริสาได้เรียนในสิ่งที่ลูกรัก ให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก เมื่อถึงวันที่ลูกได้ทำงาน เธอกับลูกคงจะได้ทดแทนบุญคุณและชดใช้เงินให้เพื่อนบ้างไม่มากก็น้อย.. มาริสานึกถึงอดีตแล้วมองออกไปนอกรถอย่างว่างเปล่าไร้จุดหมาย แต่สายตานั้นกลับหมองเศร้า...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD