อย่าถามว่าอะไรที่แข็ง ส่วนไหนที่มือฟ่างสัมผัสอยู่ก็ตรงนั้นแหละ
“อยู่เป็นเพื่อนก่อน...” เสียงฟ่างทั้งแหบพร่าและสั่นแผ่ว ทำเอาหัวใจของผมกระตุกวูบ แต่ก็ได้สติรีบดึงมือยัยมารร้ายออกก่อนที่อะไร ๆ มันจะอันตรายมากไปกว่านี้
จริง ๆ มันก็ไปไกลเกินกว่าคำว่าอันตรายแล้ว แต่...
“ตอนนี้ไม่มั่นใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนได้” ผมย่อตัวลงพอประมาณกระทั่งระดับสายตาอยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกัน เห็นริมฝีปากสีแดงสดเผยอขึ้นเล็กน้อย...ผมก็คล้ายจะใจแตก “กลัวจะอยู่เป็นผัวเธอมากกว่า”
“มะ ไม่อยากมีผัว” ฟ่างเข้าใจสิ่งที่ผมพูด แต่ตอนตื่นขึ้นมาคงจำไม่ได้แน่ ๆ “ผู้ชายแม่งเฮงซวย...”
อยู่ดี ๆ ก็ปากปีจอ สงสัยคงแค้นไอ้หนึ่งน่าดู หรือบางทีเธออาจกำลังด่าผมอยู่ก็ได้ ทั้งไอ้หนึ่งและผม...ผู้ชายทั้งคู่นี่เนอะ
“เออ งั้นก็นอนซะ เดี๋ยวทนไม่ไหวขึ้นมาแล้วจะซวย” ผมส่งคำเตือนก่อนหยัดตัวขึ้นยืน
ขณะนั้น บริเวณจุดกึ่งกลางของร่างกายส่งสัญญาณบางอย่างจนรู้สึกขนลุกซู่ อยากกระชากยัยมารร้ายขึ้นมาด่าจริง ๆ อยู่ดีไม่ว่าดี...
“งืม กลัวตายเลย” เตรียมออกไประงับอารมณ์ข้างนอกและจัดการกับความอึดอัดที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด แต่รู้ไหม ยัยตัวการทำให้ผมที่กำลังจะเอื้อมมือสัมผัสลูกบิดประตูชะงักกึก หันกลับไปมองปรากฏว่าฟ่างลุกขึ้นนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมาแล้วกวนประสาท ถ้าผมเผลอทำมันเลือดกบปากนี่ไม่ต้องสงสัยนะ “หนีเฉย ปอดแหกกกกก อ๊ะ”
หมับ!
“ไหน ใครปอดแหกลองพูดใหม่ซิ หื้ม?” ผลสุดท้ายจึงตรงเข้าไปบีบแก้มเด็กดื้อด้วยความมันเขี้ยว ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่คนเมาคงตกใจเลยอุทานเสียงดัง ซ้ำยังพยายามปัดมือผมออก
“อย่ามาบีบ อื้อ!” ไม่บีบก็ได้ แต่ขยี้ด้วยปากเลย “ไม่เอาเด้ จักจี้!~” ผมเล็งริมฝีปากเป็นอันดับแรก ก่อนจะเคลื่อนไปคลอเคลียแถว ๆ แก้มที่กำลังแดงเถือกเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
ตอนแรกฟ่างทำเสียงกวนอารมณ์จนผมเกือบจะฝังเขี้ยวลงบนแก้มนุ่ม ๆ นั่นแล้ว แต่สักพักเธอกลับหัวเราะคิกคักเหมือนเด็กพลางหดคอหนี ราวกับว่าผมเป็นพี่ชาย เป็นพ่อ หรือใครสักคนที่กำลังหยอกล้อเธอตามประสา
ซึ่งก็ใช่ แต่...ผมเพิ่งเคยเห็นโมเมนต์นี้เต็ม ๆ ตา
“...” ผมเงียบเลย ทำเพียงจ้องมองฟ่างโดยไม่พูดอะไร ส่งผลให้เจ้าตัวหยุดแล้วใช้ปั้นเล็ก ๆ แต่แข็งแรงเหมือนหินทุบกลางกบาลผมอย่างไม่พอใจ
ผัวะ
“เล่นต่อสิวะ!~” งอแงเหมือนเด็กผู้หญิงน่ะทำไม่เป็นหรอก ฮาร์ดคอร์ตลอด
“ไม่เล่นแล้ว” ผมคว้าข้อมือฟ่าง ก่อนเปลี่ยนมากอบกำเอาไว้แบบหลวม ๆ ออกแรงนิดหน่อยให้ยัยนั่นถลาเข้ามาใกล้จนร่างกายเราแนบชิดกัน “เลิกเล่น”
“ทำไม” ตะคอกกลับเสียงพร่า สองตาพยายามปรือมอง
เจอมาแทบทุกรูปแบบแล้ว เวลาฟ่างเมามักทำตัวกวนตีน ชอบหาเรื่อง แถมยังงอแงแบบเถื่อน ๆ จนผมเจ็บตัวกลับมาทุกครั้ง
ก็ทนได้ หมายถึงทนให้มันทุบตีได้
แต่ข้างในเริ่มไม่ไหวแล้ว
“เมาแล้วเป็นแบบนี้ทุกที โคตรรำคาญเลย” ผมบ่น “นอนซะไอ้ฟ่าง”
“มึนหัวนิดหน่อย ไม่มาววว” เพื่อนตัวร้ายทำเสียงแข็งขันคล้ายยืนยันว่าตัวเองสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ แต่กลับยานครางจนต้องใช้มืออีกข้างเขกหัวมันอย่างทนไม่ไหว
“เหรอ” ถามและเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาจนปลายจมูกเราชนกัน... “งั้นพิสูจน์ไหม”
“...นะ หนักนะเว้ย” เมื่อกี้ยังแค่โน้มตัวเข้าหา แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาฟ่างก็ถูกผมผลักลงบนเตียงซะแล้ว “ไม่ชอบเปียกกก”
เจ้าตัวเริ่มดิ้นเมื่อปลายลิ้นผมเผลอแตะโดนใบหูเล็ก รสชาติของฟ่างติดอยู่บนปลายลิ้นทันที สักพักผมก็กระซิบข้างจุดเปียกชื้นที่เพิ่งไล้เลียไป
“ถ้าไม่เมา ตื่นมาเธอจะจำได้ว่าเราทำอะไรกันบ้าง”
“อ๊ะ...”
“สัมผัสตรงไหน...” ปลายนิ้วผมแตะโดนขาอ่อนคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อน ลากสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงซิปกางเกงที่ยัยนั่นสวม “เคลื่อนไหวยังไง”
“ฮะ เฮือก!”
“และ...ใช้เวลานานกี่ชั่วโมง”
End Describe.
ตอนเช้า
อะไรหนัก ๆ ทำให้ฉันรู้สึกตัวตื่น
ปวดหัว เบลอนิด ๆ อาการเหมือนจะแฮงก์ยังไงก็ไม่รู้
สงสัยเมื่อคืนดื่มหนักเกินไปหน่อย ยังดีนะที่มีคนพามาส่งที่ห้องอย่างปลอดภัย...หรือเปล่า?
ฉันชะงักเมื่อสองตาเปิดขึ้นอย่างเต็มที่ เพดานห้อง...ไม่ใช่ของหอฉันนี่ อย่าบอกนะว่า...
สูดลมหายใจเข้าปอดก่อนหลุบมองบางสิ่งที่กำลังทับตัวฉัน พบว่าบริเวณหน้าอกมีผู้ชายคนหนึ่งเอาแก้มซบลงมาเหมือนหมอนใบโปรด...แถมยังหลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งสิ้น!
ผมทรงนี้ สีทองแบบนี้...ไอ้ดิน!
ผัวะ ๆ ๆ!
ฉันใช้มือทุบตีมันทันที ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยง สบถหยาบคายเป็นสิบ ๆ คำอย่างหงุดหงิด แต่คนที่หงุดหงิดมันควรเป็นฉันมากกว่าไหม! กล้าดียังไงมาซุกนมฉัน หนำซ้ำ! สภาพของเราสองคนยัง...
เวรแล้ว ตอนนี้ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวฉันสักชิ้นเดียว แถมยังมีรอยแดงกระจัดกระจายจนดูไม่ได้อีกด้วย พอเคลื่อนสายตาไปทางไอ้ดิน ปรากฏว่ามันเองก็มีแค่บ๊อกเซอร์สีดำเพียงตัวเดียว ริมฝีปากแดงก่ำ มีรอยเลือดเกรอะกรังเล็กน้อย
อะ...อะไร
ทำไมฉันถึงอยู่ในสภาพทุเรศแบบนี้!
ทำไมถึงนอนอยู่บนเตียงเดียวกับมัน!
แล้วที่นี่มัน...ห้องพักในร้านแอลกอฮอล์ไม่ใช่เหรอ?
“รอยพวกนี้มันคืออะไร! พูด!” เป็นฉันที่เปิดประเด็น ทางด้านไอ้ดินหลังจากถูกปลุกด้วยความรุนแรงจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิทั้งที่ยังสะลึมสะลือ ก่อนยกมือขยี้ตาเหมือนเด็กขี้เกียจตื่นในตอนเช้า “อ้ำอึ้งทำไม อธิบายมา!”
ทำท่าจะเข้าไปทุบตีมันอีกครั้ง แต่ไอ้ดินไวกว่า มันคว้าข้อมือฉันไว้ ตรึงด้วยแรงพอประมาณ จนฉันซึ่งเสียเปรียบกว่าในทุกด้านทำอะไรไม่ได้นอกจากถลึงตามองอย่างโกรธแค้น
กล้าดียังไง มันกล้าดียังไงมาฉวยโอกาสตอนฉันเมา
“จำไม่ได้เหรอ” เสียงทุ้มแหบดังขึ้นขณะที่นัยน์ตาตาคมกริบค่อย ๆ สำรวจรอยแดงบนตัวฉันอย่างเงียบเชียบและใจเย็น “ไหนว่าไม่เมาไง?”
“นายทำใช่ไหม!”
ฉันเพิ่มเสียง ตอนนี้อยากต่อยมัน จะต่อยมัน...จะต่อยมัน!
“ใจเย็น ค่อย ๆ คุยดิ...” เพื่อนชั่วทำเสียงอ่อนอกอ่อนใจเมื่อฉันดิ้นและพยายามปลดพันธนาการ
ใจเย็นเหรอ ประทับรอยไว้บนตัวฉันขนาดนี้ ทำไมยังมีหน้ามาบอกให้ฉันใจเย็นได้ ฉันเป็นผู้หญิงนะ
ไอ้สันดานเสีย เลวชาติจริง ๆ
“เย็นบ้าเย็นบออะไร นายฉวยโอกาสกับฉัน แถมยัง...” สะอึกเมื่อต้องพูดเรื่องบัดสีบัดเถลิงต่อหน้าคนที่ลงมือทำเรื่องอย่างว่ากับตัวเอง
“ยัง” ผู้ก่อเหตุเคลื่อนสายตากลับมา “แค่นิ้วยังสอดไม่เข้าเลย อย่างอื่นที่ใหญ่กว่านั้นจะเอาเข้าไปยังงะ...อะ โอ๊ย ฟ่างจ๋า ดินเจ็บ!~”
ได้ยินคำว่า ‘นิ้ว’ ‘สอด’ และ ‘ใหญ่’ สัญชาตญาณก็ออกคำสั่งให้ใช้หัวโหม่งเพื่อนเลวทันที แน่นอนว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลให้มันยอมปล่อยฉันจากการเกาะกุมอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก่อนเปลี่ยนมาร้องโอดโอยจะเป็นจะตายแทน
โอเวอร์แอคติงมาก
ตอแหลได้โล่เลย